นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทที่ 11 คำสั่งที่ถูกระงับ

กระทู้สนทนา
นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=14-11-2012&group=25&gblog=1
บทที่ 10 โคโนท็อกซิน
http://pantip.com/topic/30142222

บทที่ 11 คำสั่งที่ถูกระงับ

เสียงหัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนานของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของห้องอาหารทำให้คริสโตเฟอร์ต้องหันหน้าไปมองและส่ายหน้าด้วยความระอาเมื่อพบว่าทั้งหมดคือสมาชิกกลุ่มเลือดสีน้ำเงิน มีบางคนหันมาส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับโบกมือทักทายซึ่งคริสโตเฟอร์ก็พยักหน้าและยกมือขึ้นรับจากนั้นเขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าอีกครั้งพร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

หลังจากคูเปอร์ถูกพิษจนต้องเข้าโรงพยาบาล คริสโตเฟอร์จับตามองพฤติกรรมของกลุ่มเลือดสีน้ำเงินอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าผู้นำกลุ่มจะลงมือทำร้ายโทมัสเพื่อเป็นการแก้แค้นแต่เด็กหนุ่มก็ต้องแปลกใจเพราะนับตั้งแต่วันเกิดเรื่องกลุ่มเลือดสีน้ำเงินภายในหอจักษุดาราต่างดำเนินชีวิตตามปรกติ พวกที่เคยทำร้ายเขาก็หันกลับมาพูดคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีการทำร้ายนักศึกษาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นชนชั้นต่ำ ไม่มีคำประชดประชันเหมือนอย่างเคย และที่สำคัญไม่มีใครเข้าไปหาเรื่องกับโทมัสเลยสักคน

ส้อมเงินในมือจิ้มลงไปบนมันผรั่งอบขณะคริสโตเฟอร์ใช้ความคิด จะบอกว่าคนเหล่านั้นหวาดกลัวการตอบโต้ของโทมัสก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเท่าที่ผ่านมาแม้กลุ่มเลือดสีน้ำเงินจะทำตัวกร่างวางอำนาจเหนือคนอื่นแต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาถูกนักศึกษาระดับล่างรวมตัวกันต่อต้านจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต โชคดีที่ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เหตุการณ์ทุกอย่างจึงสงบลงด้วยดีแต่ก็ไม่นานนักเพราะสุดท้ายพวกชนชั้นล่างที่มีความคิดรุนแรงจะถูกริดรอนสิทธิและถูกอำนาจของผู้มีอิทธิพลบีบคั้นจนต้องลาออก

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วข้อสมมติฐานเรื่องชาวเลือดสีน้ำเงินหวาดกลัวโทมัสจึงต้องพับไป สิ่งที่คริสโตเฟอร์กังวลต่อไปคือเหตุใดคนเหล่านั้นจึงยังไม่ลงมือ หรือพวกเขากำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่และแผนการที่ว่าจะรุนแรงเหมือนกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับนักศึกษาชนชั้นสามัญที่ถูกพบเป็นศพอยู่ในโบสถ์ร้างเมื่อปีก่อนหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่

ขณะที่เขากำลังจมอยู่กับความคิด คริสโตเฟอร์ไม่ทันสังเกตเห็นนักศึกษาคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารเข้ามาหา แม้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามเขาก็ยังไม่รู้ตัวกระทั่งสำเนียงแปร่งประหลาดเอ่ยทัก

“คิดอะไรอยู่วินเก็ต”

คริสโตเฟอร์สะดุ้งจนแทบจะทำส้อมหลุดมือ คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นหน้าผู้ที่เข้ามาเอ่ยทักกำลังวางถาดอาหารและหย่อนตัวนั่งอยู่ตรงข้าม

“ซิงค์”

“เรียกราเยสก็ได้” นักศึกษาผิวเข้มพูดอย่างอารมณ์ดีขณะจิ้มไก่ทอดชิ้นโตส่งเข้าปาก คริสโตเฟอร์มองเขาด้วยความแปลกใจเพราะโดยปรกติแล้วนักศึกษาผู้นี้จะเว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับเขาด้วยสาเหตุเพียงความแตกต่างระหว่างชนชั้น ประการสำคัญคือราเยส ซิงค์เป็นชาวต่างชาติซึ่งน้อยมากที่จะมีโอกาสเข้ามาเรียนในสแตฟฟอร์ด แน่นอนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มเลือดสีน้ำเงินและมีหลายครั้งที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนัก แต่เพราะความเฉลียวฉลาดผนวกกับความอดทนอันเป็นเลิศทำให้นักศึกษาผิวเข้มคนนี้ยังคงเรียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้จนถึงปีสอง

“มีอะไรเหรอ” ราเยสถาม คริสโตเฟอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ทำไมถามแบบนั้น”

“นายเอาแต่นั่งจ้องหน้าฉัน” ราเยสวางส้อมลงและหันไปเลื่อนชามข้าวโอ๊ตต้มมาไว้ตรงหน้า “มันแปลกมากหรือไง”

“ที่แปลกคือการที่นายเข้ามาทักฉันมากกว่า” คริสโตเฟอร์ตอบขณะมองอีกฝ่ายรับประทานข้าวโอ๊ตอย่างเอร็ดอร่อย “มีธุระอะไร”

ราเยสทำเป็นรับประทานอาหารต่ออย่างไม่สนใจแต่ทิ้งช่วงการตักข้าวโอ๊ตเข้าปากให้ช้าลงขณะตอบ

“ผู้นำปิศาจกำลังวางแผนชั่ว” เขาพูดทั้งที่ดวงตายังคงจ้องชามตรงหน้า “พวกมันคิดจะกำจัดเฮลเลอร์สไตน์”

สิ่งที่ได้ยินเรียกสติที่หลุดลอยเมื่อครู่ของคริสโตเฟอร์กลับมาคืนตัวอีกครั้ง ความหมายของคำว่าผู้นำปิศาจคือหัวหน้าระดับสูงของกลุ่มเลือดสีน้ำเงิน

“นายรู้ได้ยังไง”

“ฉันมีเพื่อนบางคนอยู่ในนั้น” ราเยสตอบพร้อมกับหยิบแก้วน้ำส้มคั้นมาดื่ม คริสโตเฟอร์ขมวดคิ้ว

“พอจะรู้หรือเปล่าว่าพวกเขาจะทำอะไร”

“รู้แค่ว่าจะมีการจัดฉากการตายให้เหมือนอุบัติเหตุ” ราเยสตอบพลางวางแก้วลงในถาดและลุกขึ้น “เฝ้าเฮลเลอร์สไตน์ให้ดี ต่อให้มีไอคิวสูงแค่ไหนก็เอาตัวรอดจากหมาจิ้งจอกฝูงใหญ่ได้ยาก”  

พูดจบก็หยิบถามเดินจากไป คริสโตเฟอร์มองตามหลังอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิดก่อนตัดสินใจคว้าถาดอาหารของตัวเองไปวางไว้ในอ่างจากนั้นจึงเดินข้ามห้องไปยังปีกอีกด้านหนึ่งของตัวอาคารและขึ้นบันไดไปยังห้องพักของโทมัสซึ่งอยู่ชั้นบนสุด

เสียงเคาะประตูทำให้โทมัสจำต้องวางตำราเรียนที่กำลังอ่านและลุกขึ้นไปเปิดอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อเห็นผู้รบกวนเป็นใครความหงุดหงิดก็มลายหายไป

“คริส” เขากล่าวทักพร้อมกับเบี่ยงตัวให้เพื่อนเข้ามาในห้อง “มีธุระอะไร”

“แค่อยากมาคุยด้วย” คริสโตเฟอร์ตอบพลางเดินไปที่โต๊ะ มือข้างที่ไม่เจ็บพลิกปกหนังสือขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้ “นายอ่านหนังสือของปีสี่แล้วเหรอ”

โทมัสไม่ตอบแต่กลับเดินไปดึงหนังสือออกจากมือของเพื่อน

“อยากรู้อะไรก็ว่ามา”

เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเก็บหนังสือเข้าชั้น คริสโตเฟอร์ถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้นวมหน้าเตาผิง

“นายทำอะไรคูเปอร์”

“ก็แค่ให้บทเรียนเขานิดหน่อยเท่านั้น”

“หมอนั่นเป็นอัมพาตไปครึ่งตัวแถมยังมีอาการเหมือนคนความจำเสื่อม แบบนั้นหรือที่นายเรียกว่านิดหน่อย”

คริสโตเฟอร์พูดเสียงเข้มแต่โทมัสกลับยิ้มอย่างใจเย็น

“แต่เขาก็ไม่ตาย”  

“มันก็ใช่ แต่ไม่คิดว่ามันรุนแรงไปหน่อยหรือ” คริสโตเฟอร์ถามและพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่สนใจ “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทอม คิดบ้างหรือเปล่าว่าจะเป็นยังไงถ้าอาจารย์รู้เรื่องพวกนี้”

“ในสวนพฤกษศาสตร์ของสแตฟฟอร์ดมีต้นไม้พิษหลายอย่าง คูเปอร์อาจไปถูกมันเข้าโดยไม่รู้ตัว” โทมัสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยและยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนขมวดคิ้ว “ไม่มีหลักฐานว่าฉันพ่นพิษใส่หมอนั่น อีกอย่างคงไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเด็กปีหนึ่งจะรู้จักสร้างพิษขึ้นมาเอง”

“ไอคิวนาย 195” คริสโตเฟอร์พูด โทมัสยักไหล่น้อยๆ

“แล้วไง”

เขาถามใบหน้าแสดงความไร้เดียงสา ท่าทางที่ดูราวเทพบุตรองค์น้อยผู้แสนบริสุทธิ์ทำให้คริสโตเฟอร์ถอนใจอย่างระอา

“อาจารย์อาจจะเอาผิดไม่ได้แต่พวกเลือดสีน้ำเงินไม่ปล่อยนายไว้แน่”

“ไม่ต้องห่วงฉันมีแผนรับมือคนพวกนั้นแล้ว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่