“...พ่อมีอะไรบางอย่างที่ต้องบอกลูก...”
รถที่มีแม่กับยายนั่งอยู่ยังไม่ทันที่จะเคลื่อนห่างพ้นไปจากระยะสายตา พ่อก็พูดขึ้น ใบหน้าของพ่อจริงจัง ดูเหมือนกำลังใช้ความคิด พอ รอให้เวลาพ่อเรียบเรียงคำถามที่อยู่ในใจให้เรียบร้อย
แล้วเขาก็เห็นมันอีกแล้ว เงาของตัวอะไรบางอย่างที่มีเพียงหัว เงาที่พร้อมจะโผล่ออกมา และหายไปในเวลาเดียวกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็นดวงตาแวววาวคู่นั้น กับรอยยิ้มที่คล้ายเสียสติ 'อาจเป็นแมว' มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของนิทาน แต่เขาไม่รู้จัก 'หรืออาจจะรู้จัก แต่ยังนึกไม่ออก' เขาพยายามนึกดูอีกครั้ง
'อาจต้องลองค้นหาคำตอบจากในอินเตอร์เน็ตดู'
“ที่จริงแล้ว พ่อก็ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับลูก...แต่มันเกี่ยวพันกับอนาคตของลูกด้วย ซึ่งพ่อคิดว่า...” คิ้วของพ่อขมวดเข้าหากัน 'ฉันจะพูดอย่างไรดี'
“...เรื่องอาการป่วยของคุณยายใช่ไหมครับ”
“ใช่” พ่อทำหน้าแปลกใจ “ลูกรู้ได้อย่างไร”
“ผมก็แค่เดาเอา” เขาไม่คิดจะบอกเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้คนในบ้านได้รับรู้ 'พวกเขาจะไม่มีวันเชื่อฉัน'
“เอาล่ะ...คุณยาย ท่านไม่สบายมาก...” มีคำบางคำที่พ่อยังไม่อยากพูดออกมาในตอนนี้ คำสั้นๆ ที่เรียบง่าย และแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของชีวิตอย่างที่สุด
'ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงมัน' ผู้คนส่วนใหญ่มักคิดแบบพ่อ และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ก็กลับกลายเป็นสายเกินไปเสียแล้ว
“...การรักษาก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก อย่างที่ลูกรู้ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”
พวกเขามีบ้าน ที่ต้องผ่อน มีรถ ที่ต้องผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต มีกิจกรรม มีงานประจำ มีเงินเดือน และก็มีค่าใช้จ่ายประจำทุกเดือนเช่นกัน ชีวิตของพวกเขานั้นตั้งอยู่บนสมดุลที่ไม่อาจรองรับสิ่งไม่คาดฝัน โดยเฉพาะสิ่งไม่คาดฝันที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างเร่งด่วนแบบนี้
มันเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวต่างรู้อยู่ลึกๆ ภายในใจ แต่ก็พากันมองข้ามไป จะ บ้านฟาง บ้านไม้ หรือบ้านอิฐ จะมีหมาป่าออกมาหรือไม่ จะเป็นลูกหมูตัวไหน มันเป็นคำถามที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือที่มาของคำตอบ
“ที่เรามีอยู่ในตอนนี้คือเงินที่เตรียมไว้สำหรับการเรียนต่อของลูก ซึ่งถ้าเราต้องเอาออกมาใช้ก่อน มันก็ต้องกระทบกับลูกแน่ พ่อจึงคิดว่าลูกควรต้องรับรู้ไว้”
ความจริงแล้วพ่อยังมีอะไรในใจมากกว่านั้น 'แล้วถ้ามันยังไม่พอ ถ้าเรายังต้องใช้เงินมากกว่านั้น' ทั้งพ่อและแม่คงเหลือทางออกไม่มากนัก ทางออกที่พวกเขาไม่ค่อยอยากเดินเข้าไป 'อย่าพึ่งคิดมากไป' พ่อบอกกับตัวเอง แต่ถ้าคนเราสามารถบังคับความคิดของตนเองได้แบบนั้น ชีวิตคงง่ายขึ้นกว่านี้มากเลยทีเดียว
“ครับ ผมเข้าใจ” เขาตอบ
พ่อจ้องหน้าเขา 'ไม่ ลูกยังไม่เข้าใจ' พ่อคิดว่าเขาไม่มีทางเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ ถึงความสำคัญของการศึกษา จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ บันไดไปสู่อนาคตที่ดีของชีวิต พวกเด็กๆ ไม่มีวันเข้าใจ พวกเขาเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ พวกเขาไม่รู้ว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไร พ่อคิดแบบนี้
ตอนที่พ่อเป็นเด็กนั้นพ่อเคยคิดอย่างไร จนถึงตอนนี้ พ่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตได้แล้วจริงหรือ พ่อเคยคิดถึงมันอย่างจริงจังหรือไม่ หรือที่จริงแล้วพ่อก็แค่เดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆ เดินไปตามเส้นทางที่คนจำนวนมากในสังคมเดินไป เดินไปตามก้อนหิน เศษขนมปังที่มีผู้คนโปรยทิ้งเอาไว้ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าปลายทางนั้นจะเป็นบ้านของตน หรือบ้านขนมกลางป่าแสนวุ่นวาย ที่มีเตาอบขนาดใหญ่หลังนั้นกันแน่
“...ถ้า...”
'ถ้าเราใช้เงินก้อนนั้นไปหมดแล้ว และต้องใช้เพิ่มอีก แต่ก็ยังไม่แน่ว่าคุณยายจะหายป่วยล่ะ ถ้าสุดท้ายเราไม่อาจเปลี่ยนตอนจบที่ถูกกำหนดไว้ เรายังควรจะยังใช้เงินพวกนั้นหรือไม่' คำถามนี้ถูกหยุดเอาไว้ได้ทัน
'นั่นเป็นคำถามสำหรับพวกเรา ไม่ใช่ของลูก' พ่อเตือนตัวเอง
“...ถ้า เย็นนี้แม่ถาม ลูกก็จะตอบแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่ครับ” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“...เพราะอะไร ลูกพอจะบอกพ่อได้ไหม”
'ทำไมฉันถึงถามลูกแบบนี้' อาจเป็นเพราะความมั่นใจนั้นที่ทำให้พ่ออยากรู้ ทั้งๆ ที่พ่อเองก็มีเหตุผลมากมายให้กับตัวเองอยู่แล้ว 'เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรทำ' 'เพราะมันเป็นเรื่องที่เหมาะสม' 'เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง' และอื่นๆ อีกมาก ถึงจะมีหรือไม่มีเหตุผลอีกข้อจากลูก ก็คงไม่แตกต่างอะไร
“เพราะผมรักคุณยายครับ” เขาตอบโดยแทบไม่ต้องคิด
'เปรี้ยง' ถ้าจะมีเทพเจ้าแห่งสายฟ้า อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง และคอยสอดส่องชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างแล้วล่ะก็ ช่วงเวลานี้คือจังหวะเหมาะสมที่สุดที่จะขว้างสายฟ้าลงมาใส่พ่อ
แต่เทพเจ้าแบบนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ชีวิตของเรามีใครคอยเฝ้าดูอยู่จริงหรือ
พ่อพลันนึกถึงความรู้สึกที่คนเองเคยมี ยังคงอยู่ และไม่อาจลืม มันถูกถมทับเอาไว้ด้วยสิ่งอื่นๆ มากมาย จนทำให้คิดไปว่ามันได้สูญหายไปเมื่อนานแล้ว ช่วงเวลาที่พ่อได้รับทราบข่าวร้ายของปู่กับย่า ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนพ่อทำได้แค่เพียงลอยคอไปกับมัน ซึ่งในระหว่างนั้น ความรู้สึกเล็กๆ อย่างหนึ่งมักรบกวนในส่วนลึกของจิตใจอยู่เสมอ
'ฉันน่าจะทำได้ดีกว่านี้'
ชีวิตมักตั้งโจทย์ที่ยาก และที่มากกว่านั้นคือมันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดให้ ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน แต่ละคนจำเป็นต้องหาคำตอบ และทำความเข้าใจกับคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เลิกคิด แกล้งทำเป็นเคยชิน หรือลืมๆ มันไปเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีครับ” เสียงอะตอมทักทายอย่างร่าเริงดังมา
“สวัสดี...” พ่อกลับคืนมาสู่ปัจจุบัน ก่อนรีบยกมือขึ้นรับไหว้ “เอาล่ะ...พ่อคงต้องไปทำงานก่อน แล้วเย็นนี้เจอกัน”
“สวัสดีครับพ่อ” พ่อยื่นมือขนาดใหญ่นั้นมาขยี้หัวเขา ก่อนยิ้มแล้วเดินจากไป
'มันหายไปแล้ว' เขาหมายถึงหัวของตัวอะไรบางอย่างนั้น และเขาไม่ทันรู้ตัวว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อใด
“เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อน” อะตอมทักเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนมาก่อน สีหน้าเรียบๆ ของเพื่อนที่จ้องกลับมาในระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปด้วยกันช้าๆ ทำให้รอยยิ้มของอะตอมค่อยๆ หดลง
“...ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรแกล้งนายแบบนั้น ฉันผิดเอง” อะตอมก้มหน้าลงมองพื้น แต่พอแอบเหลือบมองใบหน้าของเพื่อนอีกครั้ง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
พอ กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่
“เราหายกันแล้วนะ” อะตอมว่า
“ไม่ นายแกล้งฉันตั้งหลายครั้ง” เขาย้อน
“ทั้งหมดเป็นเพราะนายนั่นแหละ นายก็รู้อยู่แล้วว่าฉัน ฉัน...” อะตอมอึกอัก
“นายทำไม ฉันไปทำอะไรให้นายไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไร” เขาถามจริงจัง
“ก็นาย โธ่ ฉันเคยบอกนายไปแล้วใช่ไหม ว่าฉัน ฉัน ฉัน...ชอบ ชอบพริม” เสียงอะตอมเบาลงจนเกือบไม่ได้ยิน ใบหน้าเข้มขึ้นจนมองเห็นได้
“ก็ใช่ แล้วไง”
เขาทำเป็นไม่เข้าใจ แต่จริงๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิด แต่พอมานึกย้อนกลับไปมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา ดูเหมือนเขากับพริมจะสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความรู้สึกแปลกๆ เวลาที่ได้เดินกลับบ้านด้วยกัน ได้แอบมองใบหน้าของเธอจากทางด้านข้างแบบนั้นด้วย
“ไม่ต้องมาพูดเลย ตั้งแต่ที่สระว่ายน้ำแล้ว ที่นายดู ดู สนิทกับเธอจนเกินไป”
“นาย...คิดมากไปแล้ว” เขาไม่กล้าปฏิเสธให้มากกว่านี้ เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเช่นกัน
อะตอมจ้องมา และเขาเป็นฝ่ายที่หลบสายตา 'แย่แล้ว' เขาควรจ้องกลับไปถึงจะถูก
“ฉันรู้แล้ว” อะตอมยิ้มเศร้าๆ “มันไม่ใช่ความผิดของนาย หรือใครทั้งนั้น”
“ความรักไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น”
อะตอมพูดออกมาอย่างมั่นใจ บางที เขาคงแอบไปได้ยินคำพูดนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง และอาจเข้าใจในความหมายของมันเพียงเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันจะผิด แต่ก็คงบอกว่าถูกต้องไม่ได้เช่นกัน
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ยอมแพ้นาย” อะตอมพูดทิ้งท้าย ก่อนที่ทั้งสองจะเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่นแทน
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองจะพึ่งทะเลาะจนไม่ยอมพูดกันก็ตาม แต่สำหรับพวกเด็กๆ แล้ว มันก็ง่ายดายเพียงเท่านี้เอง เด็กแต่ละคนต่างยังคงมีตัวตนที่เล็กจ้อยแตกต่างไปจากพวกผู้ใหญ่ที่มักมีตัวตนใหญ่โตค้ำฟ้า ดังนั้นมิตรภาพที่ก่อเกิดจึงมักยั่งยืนยิ่งกว่า
พอ พยายามคิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่เกิดจากหนังสือนิทานที่หายไปเล่มนั้น เขาควรมีแผนบางอย่างเพื่อรับมือ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเขาจะทำอะไรได้ไม่มากนัก วันนี้เขาต้องเรียนหนังสือทั้งวัน พอตกเย็นก็ต้องรีบกลับบ้าน และถึงแม้พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่แค่การหาเหตุผลเพื่อขอออกจากบ้านก็เป็นเรื่องยากแล้ว
เขานึกถึงเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวเอกในหนังสือนิยายที่เคยอ่านแล้วได้แต่ทอดถอนใจ คงไม่เคยมีตัวเอกคนใดที่เป็นเหมือนกับเขา
'ที่จริงแล้วก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง'
“...พรุ่งนี้นายว่างหรือเปล่า” เขาถามออกไปก่อนที่จะได้คิดให้รอบคอบ
“ว่างสิ นายมีอะไร” อะตอมตอบรับทันที
“นาย...ช่วยแวะมาหาฉันที่บ้านได้ไหม” เขาไม่ควรชวน แต่เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เขาต้องมีใครสักคน
“ได้สิ นายจะทำอะไรล่ะ”
“....แล้วฉันจะบอกทีหลัง” เขาต้องคิดก่อนว่าจะบอกอย่างไร และบอกแค่ไหนถึงจะดี 'หรือบางที การไม่บอกอะไรเลยอาจจะดีที่สุด'
“ก็ตามใจ” อะตอมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะตอนนี้หัวใจดวงนั้นกำลังล่องลอยไปยังที่อื่น อะตอมจ้องตรงไปข้างหน้า ทั้งรอยยิ้ม ใบหน้า และท่วงท่าการเดินของเธอถูกฝังอยู่ในความทรงจำจนไม่อาจลืมเลือน
มันคงพอจะเปรียบเทียบได้กับช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ซินเดอเรลล่าได้พบกับเจ้าชายของเธอ ไม่ใช่ในเวลาที่ทั้งสองอยู่ในงานเต้นรำ ท่ามกลางฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วน ภายใต้เสื้อผ้าหรูหรางดงาม แต่เป็นก่อนหน้านั้น ช่วงเวลาที่ทั้งสองได้เพียงสบตากัน ในความคิด ในความฝัน ในการรอคอยอันแสนยาวนาน
ช่วงเวลาที่หญิงสาวจะหลับตาและฝันถึงเจ้าชายของตน และเจ้าชายก็จะหลับตาและฝันถึงเจ้าหญิงของตนเช่นกัน มันคือช่วงเวลาแห่งความฝันของทุกคน
พริมกำลังเดินยิ้มตรงมาหาพวกเขาทั้งสอง
#####
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 18
รถที่มีแม่กับยายนั่งอยู่ยังไม่ทันที่จะเคลื่อนห่างพ้นไปจากระยะสายตา พ่อก็พูดขึ้น ใบหน้าของพ่อจริงจัง ดูเหมือนกำลังใช้ความคิด พอ รอให้เวลาพ่อเรียบเรียงคำถามที่อยู่ในใจให้เรียบร้อย
แล้วเขาก็เห็นมันอีกแล้ว เงาของตัวอะไรบางอย่างที่มีเพียงหัว เงาที่พร้อมจะโผล่ออกมา และหายไปในเวลาเดียวกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็นดวงตาแวววาวคู่นั้น กับรอยยิ้มที่คล้ายเสียสติ 'อาจเป็นแมว' มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของนิทาน แต่เขาไม่รู้จัก 'หรืออาจจะรู้จัก แต่ยังนึกไม่ออก' เขาพยายามนึกดูอีกครั้ง
'อาจต้องลองค้นหาคำตอบจากในอินเตอร์เน็ตดู'
“ที่จริงแล้ว พ่อก็ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับลูก...แต่มันเกี่ยวพันกับอนาคตของลูกด้วย ซึ่งพ่อคิดว่า...” คิ้วของพ่อขมวดเข้าหากัน 'ฉันจะพูดอย่างไรดี'
“...เรื่องอาการป่วยของคุณยายใช่ไหมครับ”
“ใช่” พ่อทำหน้าแปลกใจ “ลูกรู้ได้อย่างไร”
“ผมก็แค่เดาเอา” เขาไม่คิดจะบอกเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้คนในบ้านได้รับรู้ 'พวกเขาจะไม่มีวันเชื่อฉัน'
“เอาล่ะ...คุณยาย ท่านไม่สบายมาก...” มีคำบางคำที่พ่อยังไม่อยากพูดออกมาในตอนนี้ คำสั้นๆ ที่เรียบง่าย และแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของชีวิตอย่างที่สุด
'ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงมัน' ผู้คนส่วนใหญ่มักคิดแบบพ่อ และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ก็กลับกลายเป็นสายเกินไปเสียแล้ว
“...การรักษาก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก อย่างที่ลูกรู้ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”
พวกเขามีบ้าน ที่ต้องผ่อน มีรถ ที่ต้องผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต มีกิจกรรม มีงานประจำ มีเงินเดือน และก็มีค่าใช้จ่ายประจำทุกเดือนเช่นกัน ชีวิตของพวกเขานั้นตั้งอยู่บนสมดุลที่ไม่อาจรองรับสิ่งไม่คาดฝัน โดยเฉพาะสิ่งไม่คาดฝันที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างเร่งด่วนแบบนี้
มันเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวต่างรู้อยู่ลึกๆ ภายในใจ แต่ก็พากันมองข้ามไป จะ บ้านฟาง บ้านไม้ หรือบ้านอิฐ จะมีหมาป่าออกมาหรือไม่ จะเป็นลูกหมูตัวไหน มันเป็นคำถามที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือที่มาของคำตอบ
“ที่เรามีอยู่ในตอนนี้คือเงินที่เตรียมไว้สำหรับการเรียนต่อของลูก ซึ่งถ้าเราต้องเอาออกมาใช้ก่อน มันก็ต้องกระทบกับลูกแน่ พ่อจึงคิดว่าลูกควรต้องรับรู้ไว้”
ความจริงแล้วพ่อยังมีอะไรในใจมากกว่านั้น 'แล้วถ้ามันยังไม่พอ ถ้าเรายังต้องใช้เงินมากกว่านั้น' ทั้งพ่อและแม่คงเหลือทางออกไม่มากนัก ทางออกที่พวกเขาไม่ค่อยอยากเดินเข้าไป 'อย่าพึ่งคิดมากไป' พ่อบอกกับตัวเอง แต่ถ้าคนเราสามารถบังคับความคิดของตนเองได้แบบนั้น ชีวิตคงง่ายขึ้นกว่านี้มากเลยทีเดียว
“ครับ ผมเข้าใจ” เขาตอบ
พ่อจ้องหน้าเขา 'ไม่ ลูกยังไม่เข้าใจ' พ่อคิดว่าเขาไม่มีทางเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ ถึงความสำคัญของการศึกษา จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ บันไดไปสู่อนาคตที่ดีของชีวิต พวกเด็กๆ ไม่มีวันเข้าใจ พวกเขาเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ พวกเขาไม่รู้ว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไร พ่อคิดแบบนี้
ตอนที่พ่อเป็นเด็กนั้นพ่อเคยคิดอย่างไร จนถึงตอนนี้ พ่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตได้แล้วจริงหรือ พ่อเคยคิดถึงมันอย่างจริงจังหรือไม่ หรือที่จริงแล้วพ่อก็แค่เดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆ เดินไปตามเส้นทางที่คนจำนวนมากในสังคมเดินไป เดินไปตามก้อนหิน เศษขนมปังที่มีผู้คนโปรยทิ้งเอาไว้ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าปลายทางนั้นจะเป็นบ้านของตน หรือบ้านขนมกลางป่าแสนวุ่นวาย ที่มีเตาอบขนาดใหญ่หลังนั้นกันแน่
“...ถ้า...”
'ถ้าเราใช้เงินก้อนนั้นไปหมดแล้ว และต้องใช้เพิ่มอีก แต่ก็ยังไม่แน่ว่าคุณยายจะหายป่วยล่ะ ถ้าสุดท้ายเราไม่อาจเปลี่ยนตอนจบที่ถูกกำหนดไว้ เรายังควรจะยังใช้เงินพวกนั้นหรือไม่' คำถามนี้ถูกหยุดเอาไว้ได้ทัน
'นั่นเป็นคำถามสำหรับพวกเรา ไม่ใช่ของลูก' พ่อเตือนตัวเอง
“...ถ้า เย็นนี้แม่ถาม ลูกก็จะตอบแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่ครับ” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“...เพราะอะไร ลูกพอจะบอกพ่อได้ไหม”
'ทำไมฉันถึงถามลูกแบบนี้' อาจเป็นเพราะความมั่นใจนั้นที่ทำให้พ่ออยากรู้ ทั้งๆ ที่พ่อเองก็มีเหตุผลมากมายให้กับตัวเองอยู่แล้ว 'เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรทำ' 'เพราะมันเป็นเรื่องที่เหมาะสม' 'เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง' และอื่นๆ อีกมาก ถึงจะมีหรือไม่มีเหตุผลอีกข้อจากลูก ก็คงไม่แตกต่างอะไร
“เพราะผมรักคุณยายครับ” เขาตอบโดยแทบไม่ต้องคิด
'เปรี้ยง' ถ้าจะมีเทพเจ้าแห่งสายฟ้า อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง และคอยสอดส่องชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างแล้วล่ะก็ ช่วงเวลานี้คือจังหวะเหมาะสมที่สุดที่จะขว้างสายฟ้าลงมาใส่พ่อ
แต่เทพเจ้าแบบนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ชีวิตของเรามีใครคอยเฝ้าดูอยู่จริงหรือ
พ่อพลันนึกถึงความรู้สึกที่คนเองเคยมี ยังคงอยู่ และไม่อาจลืม มันถูกถมทับเอาไว้ด้วยสิ่งอื่นๆ มากมาย จนทำให้คิดไปว่ามันได้สูญหายไปเมื่อนานแล้ว ช่วงเวลาที่พ่อได้รับทราบข่าวร้ายของปู่กับย่า ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนพ่อทำได้แค่เพียงลอยคอไปกับมัน ซึ่งในระหว่างนั้น ความรู้สึกเล็กๆ อย่างหนึ่งมักรบกวนในส่วนลึกของจิตใจอยู่เสมอ
'ฉันน่าจะทำได้ดีกว่านี้'
ชีวิตมักตั้งโจทย์ที่ยาก และที่มากกว่านั้นคือมันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดให้ ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน แต่ละคนจำเป็นต้องหาคำตอบ และทำความเข้าใจกับคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เลิกคิด แกล้งทำเป็นเคยชิน หรือลืมๆ มันไปเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีครับ” เสียงอะตอมทักทายอย่างร่าเริงดังมา
“สวัสดี...” พ่อกลับคืนมาสู่ปัจจุบัน ก่อนรีบยกมือขึ้นรับไหว้ “เอาล่ะ...พ่อคงต้องไปทำงานก่อน แล้วเย็นนี้เจอกัน”
“สวัสดีครับพ่อ” พ่อยื่นมือขนาดใหญ่นั้นมาขยี้หัวเขา ก่อนยิ้มแล้วเดินจากไป
'มันหายไปแล้ว' เขาหมายถึงหัวของตัวอะไรบางอย่างนั้น และเขาไม่ทันรู้ตัวว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อใด
“เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อน” อะตอมทักเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนมาก่อน สีหน้าเรียบๆ ของเพื่อนที่จ้องกลับมาในระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปด้วยกันช้าๆ ทำให้รอยยิ้มของอะตอมค่อยๆ หดลง
“...ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรแกล้งนายแบบนั้น ฉันผิดเอง” อะตอมก้มหน้าลงมองพื้น แต่พอแอบเหลือบมองใบหน้าของเพื่อนอีกครั้ง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
พอ กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่
“เราหายกันแล้วนะ” อะตอมว่า
“ไม่ นายแกล้งฉันตั้งหลายครั้ง” เขาย้อน
“ทั้งหมดเป็นเพราะนายนั่นแหละ นายก็รู้อยู่แล้วว่าฉัน ฉัน...” อะตอมอึกอัก
“นายทำไม ฉันไปทำอะไรให้นายไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไร” เขาถามจริงจัง
“ก็นาย โธ่ ฉันเคยบอกนายไปแล้วใช่ไหม ว่าฉัน ฉัน ฉัน...ชอบ ชอบพริม” เสียงอะตอมเบาลงจนเกือบไม่ได้ยิน ใบหน้าเข้มขึ้นจนมองเห็นได้
“ก็ใช่ แล้วไง”
เขาทำเป็นไม่เข้าใจ แต่จริงๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิด แต่พอมานึกย้อนกลับไปมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา ดูเหมือนเขากับพริมจะสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความรู้สึกแปลกๆ เวลาที่ได้เดินกลับบ้านด้วยกัน ได้แอบมองใบหน้าของเธอจากทางด้านข้างแบบนั้นด้วย
“ไม่ต้องมาพูดเลย ตั้งแต่ที่สระว่ายน้ำแล้ว ที่นายดู ดู สนิทกับเธอจนเกินไป”
“นาย...คิดมากไปแล้ว” เขาไม่กล้าปฏิเสธให้มากกว่านี้ เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเช่นกัน
อะตอมจ้องมา และเขาเป็นฝ่ายที่หลบสายตา 'แย่แล้ว' เขาควรจ้องกลับไปถึงจะถูก
“ฉันรู้แล้ว” อะตอมยิ้มเศร้าๆ “มันไม่ใช่ความผิดของนาย หรือใครทั้งนั้น”
“ความรักไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น”
อะตอมพูดออกมาอย่างมั่นใจ บางที เขาคงแอบไปได้ยินคำพูดนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง และอาจเข้าใจในความหมายของมันเพียงเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันจะผิด แต่ก็คงบอกว่าถูกต้องไม่ได้เช่นกัน
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ยอมแพ้นาย” อะตอมพูดทิ้งท้าย ก่อนที่ทั้งสองจะเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่นแทน
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองจะพึ่งทะเลาะจนไม่ยอมพูดกันก็ตาม แต่สำหรับพวกเด็กๆ แล้ว มันก็ง่ายดายเพียงเท่านี้เอง เด็กแต่ละคนต่างยังคงมีตัวตนที่เล็กจ้อยแตกต่างไปจากพวกผู้ใหญ่ที่มักมีตัวตนใหญ่โตค้ำฟ้า ดังนั้นมิตรภาพที่ก่อเกิดจึงมักยั่งยืนยิ่งกว่า
พอ พยายามคิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่เกิดจากหนังสือนิทานที่หายไปเล่มนั้น เขาควรมีแผนบางอย่างเพื่อรับมือ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเขาจะทำอะไรได้ไม่มากนัก วันนี้เขาต้องเรียนหนังสือทั้งวัน พอตกเย็นก็ต้องรีบกลับบ้าน และถึงแม้พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่แค่การหาเหตุผลเพื่อขอออกจากบ้านก็เป็นเรื่องยากแล้ว
เขานึกถึงเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวเอกในหนังสือนิยายที่เคยอ่านแล้วได้แต่ทอดถอนใจ คงไม่เคยมีตัวเอกคนใดที่เป็นเหมือนกับเขา
'ที่จริงแล้วก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง'
“...พรุ่งนี้นายว่างหรือเปล่า” เขาถามออกไปก่อนที่จะได้คิดให้รอบคอบ
“ว่างสิ นายมีอะไร” อะตอมตอบรับทันที
“นาย...ช่วยแวะมาหาฉันที่บ้านได้ไหม” เขาไม่ควรชวน แต่เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เขาต้องมีใครสักคน
“ได้สิ นายจะทำอะไรล่ะ”
“....แล้วฉันจะบอกทีหลัง” เขาต้องคิดก่อนว่าจะบอกอย่างไร และบอกแค่ไหนถึงจะดี 'หรือบางที การไม่บอกอะไรเลยอาจจะดีที่สุด'
“ก็ตามใจ” อะตอมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะตอนนี้หัวใจดวงนั้นกำลังล่องลอยไปยังที่อื่น อะตอมจ้องตรงไปข้างหน้า ทั้งรอยยิ้ม ใบหน้า และท่วงท่าการเดินของเธอถูกฝังอยู่ในความทรงจำจนไม่อาจลืมเลือน
มันคงพอจะเปรียบเทียบได้กับช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ซินเดอเรลล่าได้พบกับเจ้าชายของเธอ ไม่ใช่ในเวลาที่ทั้งสองอยู่ในงานเต้นรำ ท่ามกลางฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วน ภายใต้เสื้อผ้าหรูหรางดงาม แต่เป็นก่อนหน้านั้น ช่วงเวลาที่ทั้งสองได้เพียงสบตากัน ในความคิด ในความฝัน ในการรอคอยอันแสนยาวนาน
ช่วงเวลาที่หญิงสาวจะหลับตาและฝันถึงเจ้าชายของตน และเจ้าชายก็จะหลับตาและฝันถึงเจ้าหญิงของตนเช่นกัน มันคือช่วงเวลาแห่งความฝันของทุกคน
พริมกำลังเดินยิ้มตรงมาหาพวกเขาทั้งสอง
#####