เมื่อวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2013 ได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดโคจิ (Kochi) 1 ใน 4 ของจังหวัดที่อยู่บนเกาะชิโกะกุ เกาะที่เล็กที่สุดของญี่ปุ่น (จากสี่เกาะใหญ่) มาค่ะ ก็เลยขออนุญาตมารีวิวพาเที่ยว เพราะคิด (เอาเอง) ว่าน่าจะยังไม่ค่อยมีคนรีวิวจังหวัดนี้เท่าไหร่นัก
ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในจังหวัดคากะว่า (Kagawa) จังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น มีของดีที่รู้จักกันก็คือ "อุด้ง" (ซึ่งตอนนี้จังหวัดเปลี่ยนชื่อเป็น "จังหวัดอุด้ง" เพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาสองปี กะขายอุด้งกันตั้งแต่ชื่อเลยทีเดียว) ไปเที่ยวครั้งนี้ขับรถไปโดยไม่ขึ้นทางด่วนค่ะ เป้าหมายแรกที่อยากไปก็คือ Ichigo-gari หรือบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่
ปกติแล้วบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นจะเปิดให้กินได้ในช่วงเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงที่สตรอเบอร์รี่ลูกโตที่สุดก็คือช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. เพราะว่าอากาศหนาวสตรอเบอร์รี่จะค่อยๆ โต กว่าจะสุกพร้อมกิน ลูกก็ใหญ่มากน่ะค่ะ (อันนี้เจ้าของสวนสตรอเบอร์รี่ที่โทกุชิม่าบอกเอาไว้ปีที่แล้ว) ถ้ามาปลายฤดูอย่างช่วงเดือนเม.ย. พ.ค. หรือมิ.ย. ก็จะได้ลูกเล็กหน่อย แต่ก็ยังใหญ่กว่าที่เมืองไทยอยู่ดี ซึ่งราคาของการกินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ส่วนใหญ่ช่วงต้นฤดูจะแพงกว่าปลายฤดูค่ะ
ครั้งนี้วางแผนไปกินที่สวน Nishijima (西島園芸団地) ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสตรอเบอร์รี่เท่านั้น แต่ยังมี Musk Melon, แตงโม, มะเขือเทศผลไม้ ขายด้วย เป็นสวนผลไม้ (ที่ปลูกอยู่ในไวนิลเฮ้าส์อย่างเดียว) สถานที่ค่อนข้างใหญ่มากค่ะ นอกจากนั้นยังมีพวกดอกไม้เมืองร้อน (มีเฟื่องฟ้าด้วย) ต้นมะม่วง ต้นมะเฟือง ต้นขนุนให้ดูด้วย
คราวนี้เราไปกะกินสตรอเบอร์รี่อย่างเดียว และชอบที่นี่อย่างหนึ่งคือไม่มีกำหนดเวลา (ส่วนใหญ่ที่อื่นๆ จะกำหนดเวลาคือ 20 นาทีบ้าง 30 นาทีบ้าง) ราคาก็คือ 1,300 เยน ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. และ 1,000 เยน ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. เด็กอายุ 3 ขวบถึงประถมจ่ายแค่ 500 เยน เด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบฟรี จากบ้านเราไปสวนนี้ขับรถโดยไม่ขึ้นทางด่วนใช้เวลาประมาณ 2.30-3 ชั่วโมงค่ะ
สตรอเบอร์รี่ของที่นี่เป็นพันธุ์ 紅ほっぺ (Benihoppe แก้มแดง <- แปลตรงตัวเลย) ดังนั้นต้องรอให้ผลแดงจัดก่อนถึงจะหวานอร่อยค่ะ ในเว็บไม่ได้เขียนว่าเปิดให้เข้ากินได้ตั้งแต่กี่โมง (แต่คิดว่าน่าจะ 9.00 น.) และเปิดจนกว่าลูกสีแดงจะหมด ดังนั้นก่อนไปควรจะโทรไปถามก่อนว่ายังสามารถเข้าไปกินได้มั้ย (ปีที่แล้วช่วง Golden Week จะพาที่บ้านที่มาจากเมืองไทยไปกิน แต่พบว่าหมดแล้ว เพราะคนเยอะมาก เลยไปที่โทกุชิม่าแทน) นอกจากพันธุ์แก้มแดงแล้ว ยังมีอีกพันธุ์ก็คือ さちのか (sachinoka) ซึ่งจะลูกเล็กกว่าพันธุ์แก้มแดง รสชาติจะหวานอมเปรี้ยว (แต่ที่เราไปกินเป็นพันธุ์แก้มแดงค่ะ)
รายละเอียดของสวนนะคะ เป็นเว็บภาษาญี่ปุ่น เผื่อใครสนใจ
http://www.nishijima.or.jp/about/entry-44.html
ถ้าไม่มีรถไปเองจะไม่สะดวกเลย เพราะสวนตั้งอยู่แบบกลางนามากๆ
** รูปนี้เป็นรูปที่ไปมาเมื่อสองปีก่อน คราวนี้ไม่ได้ถ่ายรูปด้านหน้าสวนไว้ เนื่องจากรีบมาก ไปถึงตอนบ่ายสามแล้ว กลัวปิดมาก ประกอบกับเห็นรถบัสพาทัวร์มาลง เลยรีบพุ่งเข้าไปซื้อตั๋วด้านในไวนิลเฮ้าส์ที่มีป้าย Nishijima ทันที ทำให้พลาดมากๆ เพราะเขามีขายเป็นเซต Ichigo-gari + Ichigo sweets = 1,500 yen ซึ่งคุ้มมากๆ (แต่ถึงซื้อก็คาดว่ากินขนมไม่ไหวแล้ว เนื่องเพราะกินสตรอเบอร์รี่จนจุก)
ได้ตั๋วก็รีบเข้าไปในเฮ้าส์ที่เขาเปิดให้กินบุฟเฟ่ต์ทันที
พอยื่นตั๋ว เราจะได้ถาดโฟมเล็กๆ มาคนละใบ (เอาไว้ใส่จุกสตรอเบอร์รี่) และนมข้นหวานหนึ่งถ้วยเล็กๆ (ถ้วยมีฝาปิดแบบครีมที่ใส่ในกาแฟอ่ะค่ะ ) บ้านเรากินสตรอเบอร์รี่จิ้มเกลือ แต่ที่นี่จะกินสตรอเบอร์รี่ราดนมข้นหวานค่ะ ขออภัยไม่ได้ถ่ายรูปนะคะ เพราะตอนนั้นมีภาระอยู่บนตัวหนึ่งคน
** รูปส่วนใหญ่ถ่ายจากไอโฟน เพราะงั้นอาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ
สตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่มาก เทียบกับมือได้เลย (ขออนุญาตเซนเซอร์หน้าตัวเอง เขิน ^^'') เด็กน้อยอายุเก้าเดือนสิบวันกินฟรี (เธอกินคุ้มมากด้วย ตื่นเต้นมากๆ ตอนเห็นสตรอเบอร์รี่ยักษ์) เจ้าหน้าที่จะสอนวิธีเด็ดค่ะ คือให้เลือกลูกที่สีแดงจัดๆ จับลูกไว้ในอุ้งมือ คว่ำมือลงแล้วดึง ก็จะได้สตรอเบอร์รี่พร้อมกินมาอยู่ในมือ
รสชาติอร่อยมาก เด็กน้อยยืนยัน ^_^ ตอนนั้นคนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ ทัวร์ไม่ได้มากินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ แต่พาไปดูเรือนปลูกมาส์กเมลอนแทน โชคดีมาก
พวกเรากินกันนานมากๆ จนคนที่เข้ามาทีแรกออกไปแล้ว เราก็ยังกินอยู่ มีกลุ่มสองเข้ามาแล้วออกไป เราก็ยังกินอยู่ -_-' (กะว่าเอาให้คุ้มเลย) เด็กน้อยกินไม่ไหวถึงขั้นอิ่ม เห็นสตรอเบอร์รี่แล้วเบือนหน้าหนี แต่ยื่นมือไปอยากเด็ดเพื่อจะเอามาขยำเล่น ต้องคอยคว้ามือกันไว้ เลยทำให้ถ่ายภาพมาได้ไม่เยอะเท่าไหร่นะคะ (ดูลูกด้วย ห่วงกินด้วย)
ระหว่างที่กินลูกแดงๆ ไป พวกเราก็พยายามเก็บ top 5 ลูกใหญ่สุดๆ กัน แม้ตอนนั้นแทบจะกินไม่ไหวแล้วก็ตาม ก็ได้มาตามภาพข้างบน เด็กน้อยเห็นลูกใหญ่อดไม่ได้ ของับไปหนึ่งคำ ที่เหลือพ่อกับแม่ก็จัดการให้หมด อิ่มมากๆๆๆ รู้สึกว่าเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยอ่ะค่ะ ออกจากเฮ้าส์ปุ๊บ เจ้าหน้าที่ก็ปิดเรือนเลย
แต่สวนยังไม่ปิดนะคะ (ตอนนั้นสี่โมงนิดๆ ได้แล้ว) ก็เลยเดินไปดูร้านขายของฝาก จริงๆ อยากกินมาร์สเมลอนมากๆ ในร้านขายถูกอ่ะค่ะ ชิ้นละ 600 เยนเท่านั้นเอง (พร้อมด้วย soft ice-cream) แต่กินไม่ไหวแล้ว อิ่มมากๆ ก็เลยตัดใจ เดินไปดูเรือนปลูกเมลอนที่เขาเปิดให้คนภายนอกเข้าชมได้ ถ่ายรูปจากกล้องใหญ่มาเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เอาลงคอม (^^'') เลยขออนุญาตเอารูปเก่ามาเล่าใหม่นะคะ
มาร์สเมลอน (Musk Melon) เป็นเมลอนที่ราคาแพงมาก หนึ่งต้นจะให้แค่หนึ่งผลเท่านั้น (เพื่อให้ผลนั้นมีความสมบูรณ์สุด) ตอนคราวก่อนที่มามีเจ้าหน้าที่มาบรรยายด้วย (แต่คราวนี้มาเย็นแล้วไม่มีใครเลย) เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้ามีเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เมลอนผลิตผลที่สมบูรณ์ได้ต้นละลูกสอง จะยอมทุ่มเงินซื้อเคล็ดลับอันนั้นเลยค่ะ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นหนึ่งต้นจึงจะให้ผลแค่หนึ่งลูก (ที่สมบูรณ์) เท่านั้น
ล่างซ้ายคือของฝากที่วางขาย ราคาไม่แพงนะคะ (2 ลูก 6,300 yen) เพราะที่เห็นขายกันปกติคือลูกละ 5,000-10,000 yen ตามขนาด (30,000 yen ก็เคยเห็นนะ จะแพงไปไหน >_< ) ส่วนล่างขวาคือเมลอนที่ถูกคัดออกเนื่องจากผลไม่สมบูรณ์ ขายเป็นกองๆ กองละ 2,000 yen เอาไปทำน้ำผลไม้ปั่น
คราวนี้ไปได้แต่ดู ไม่ได้ซื้ออะไรเลยค่ะ กินก็ไม่ได้กิน เพราะว่าอิ่มมากๆ อยู่กันเป็นกลุ่มสุดท้ายของสวนเลยค่ะ ที่นี่จะมีพวก Bus Tour พามากินสตรอเบอร์รี่ ดูการปลูกแตงโม (แตงโมที่นี่ก็แพงมากจริงๆ มีรูปอยู่ในกล้องใหญ่ แตงโมหนึ่งลูก เมลอนหนึ่งลูก จัดเป็นเซต ราคา 5,000 yen) ปลูกเมลอน และมะเขือเทศผลไม้ ถ้ามีโอกาสอยากให้ได้ลองไปกินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ที่นี่นะคะ มันอร่อยมาก และกินได้ไม่อั้นจริงๆ ค่ะ
*** รีวิวยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวขอเขียนในคอมเม้นต์ต่อไป แบ่งเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ยาวมากไปค่ะ ^_^
พาเที่ยวจังหวัด Kochi บนเกาะชิโกะกุ-ญี่ปุ่น (กินสตรอเบอร์รี่+เดินเที่ยวตลาดเช้าวันอาทิตย์)
ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในจังหวัดคากะว่า (Kagawa) จังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น มีของดีที่รู้จักกันก็คือ "อุด้ง" (ซึ่งตอนนี้จังหวัดเปลี่ยนชื่อเป็น "จังหวัดอุด้ง" เพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาสองปี กะขายอุด้งกันตั้งแต่ชื่อเลยทีเดียว) ไปเที่ยวครั้งนี้ขับรถไปโดยไม่ขึ้นทางด่วนค่ะ เป้าหมายแรกที่อยากไปก็คือ Ichigo-gari หรือบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่
ปกติแล้วบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นจะเปิดให้กินได้ในช่วงเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงที่สตรอเบอร์รี่ลูกโตที่สุดก็คือช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. เพราะว่าอากาศหนาวสตรอเบอร์รี่จะค่อยๆ โต กว่าจะสุกพร้อมกิน ลูกก็ใหญ่มากน่ะค่ะ (อันนี้เจ้าของสวนสตรอเบอร์รี่ที่โทกุชิม่าบอกเอาไว้ปีที่แล้ว) ถ้ามาปลายฤดูอย่างช่วงเดือนเม.ย. พ.ค. หรือมิ.ย. ก็จะได้ลูกเล็กหน่อย แต่ก็ยังใหญ่กว่าที่เมืองไทยอยู่ดี ซึ่งราคาของการกินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ส่วนใหญ่ช่วงต้นฤดูจะแพงกว่าปลายฤดูค่ะ
ครั้งนี้วางแผนไปกินที่สวน Nishijima (西島園芸団地) ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสตรอเบอร์รี่เท่านั้น แต่ยังมี Musk Melon, แตงโม, มะเขือเทศผลไม้ ขายด้วย เป็นสวนผลไม้ (ที่ปลูกอยู่ในไวนิลเฮ้าส์อย่างเดียว) สถานที่ค่อนข้างใหญ่มากค่ะ นอกจากนั้นยังมีพวกดอกไม้เมืองร้อน (มีเฟื่องฟ้าด้วย) ต้นมะม่วง ต้นมะเฟือง ต้นขนุนให้ดูด้วย
คราวนี้เราไปกะกินสตรอเบอร์รี่อย่างเดียว และชอบที่นี่อย่างหนึ่งคือไม่มีกำหนดเวลา (ส่วนใหญ่ที่อื่นๆ จะกำหนดเวลาคือ 20 นาทีบ้าง 30 นาทีบ้าง) ราคาก็คือ 1,300 เยน ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. และ 1,000 เยน ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. เด็กอายุ 3 ขวบถึงประถมจ่ายแค่ 500 เยน เด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบฟรี จากบ้านเราไปสวนนี้ขับรถโดยไม่ขึ้นทางด่วนใช้เวลาประมาณ 2.30-3 ชั่วโมงค่ะ
สตรอเบอร์รี่ของที่นี่เป็นพันธุ์ 紅ほっぺ (Benihoppe แก้มแดง <- แปลตรงตัวเลย) ดังนั้นต้องรอให้ผลแดงจัดก่อนถึงจะหวานอร่อยค่ะ ในเว็บไม่ได้เขียนว่าเปิดให้เข้ากินได้ตั้งแต่กี่โมง (แต่คิดว่าน่าจะ 9.00 น.) และเปิดจนกว่าลูกสีแดงจะหมด ดังนั้นก่อนไปควรจะโทรไปถามก่อนว่ายังสามารถเข้าไปกินได้มั้ย (ปีที่แล้วช่วง Golden Week จะพาที่บ้านที่มาจากเมืองไทยไปกิน แต่พบว่าหมดแล้ว เพราะคนเยอะมาก เลยไปที่โทกุชิม่าแทน) นอกจากพันธุ์แก้มแดงแล้ว ยังมีอีกพันธุ์ก็คือ さちのか (sachinoka) ซึ่งจะลูกเล็กกว่าพันธุ์แก้มแดง รสชาติจะหวานอมเปรี้ยว (แต่ที่เราไปกินเป็นพันธุ์แก้มแดงค่ะ)
รายละเอียดของสวนนะคะ เป็นเว็บภาษาญี่ปุ่น เผื่อใครสนใจ http://www.nishijima.or.jp/about/entry-44.html
ถ้าไม่มีรถไปเองจะไม่สะดวกเลย เพราะสวนตั้งอยู่แบบกลางนามากๆ
** รูปนี้เป็นรูปที่ไปมาเมื่อสองปีก่อน คราวนี้ไม่ได้ถ่ายรูปด้านหน้าสวนไว้ เนื่องจากรีบมาก ไปถึงตอนบ่ายสามแล้ว กลัวปิดมาก ประกอบกับเห็นรถบัสพาทัวร์มาลง เลยรีบพุ่งเข้าไปซื้อตั๋วด้านในไวนิลเฮ้าส์ที่มีป้าย Nishijima ทันที ทำให้พลาดมากๆ เพราะเขามีขายเป็นเซต Ichigo-gari + Ichigo sweets = 1,500 yen ซึ่งคุ้มมากๆ (แต่ถึงซื้อก็คาดว่ากินขนมไม่ไหวแล้ว เนื่องเพราะกินสตรอเบอร์รี่จนจุก)
ได้ตั๋วก็รีบเข้าไปในเฮ้าส์ที่เขาเปิดให้กินบุฟเฟ่ต์ทันที
พอยื่นตั๋ว เราจะได้ถาดโฟมเล็กๆ มาคนละใบ (เอาไว้ใส่จุกสตรอเบอร์รี่) และนมข้นหวานหนึ่งถ้วยเล็กๆ (ถ้วยมีฝาปิดแบบครีมที่ใส่ในกาแฟอ่ะค่ะ ) บ้านเรากินสตรอเบอร์รี่จิ้มเกลือ แต่ที่นี่จะกินสตรอเบอร์รี่ราดนมข้นหวานค่ะ ขออภัยไม่ได้ถ่ายรูปนะคะ เพราะตอนนั้นมีภาระอยู่บนตัวหนึ่งคน
** รูปส่วนใหญ่ถ่ายจากไอโฟน เพราะงั้นอาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ
สตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่มาก เทียบกับมือได้เลย (ขออนุญาตเซนเซอร์หน้าตัวเอง เขิน ^^'') เด็กน้อยอายุเก้าเดือนสิบวันกินฟรี (เธอกินคุ้มมากด้วย ตื่นเต้นมากๆ ตอนเห็นสตรอเบอร์รี่ยักษ์) เจ้าหน้าที่จะสอนวิธีเด็ดค่ะ คือให้เลือกลูกที่สีแดงจัดๆ จับลูกไว้ในอุ้งมือ คว่ำมือลงแล้วดึง ก็จะได้สตรอเบอร์รี่พร้อมกินมาอยู่ในมือ
รสชาติอร่อยมาก เด็กน้อยยืนยัน ^_^ ตอนนั้นคนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ ทัวร์ไม่ได้มากินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ แต่พาไปดูเรือนปลูกมาส์กเมลอนแทน โชคดีมาก
พวกเรากินกันนานมากๆ จนคนที่เข้ามาทีแรกออกไปแล้ว เราก็ยังกินอยู่ มีกลุ่มสองเข้ามาแล้วออกไป เราก็ยังกินอยู่ -_-' (กะว่าเอาให้คุ้มเลย) เด็กน้อยกินไม่ไหวถึงขั้นอิ่ม เห็นสตรอเบอร์รี่แล้วเบือนหน้าหนี แต่ยื่นมือไปอยากเด็ดเพื่อจะเอามาขยำเล่น ต้องคอยคว้ามือกันไว้ เลยทำให้ถ่ายภาพมาได้ไม่เยอะเท่าไหร่นะคะ (ดูลูกด้วย ห่วงกินด้วย)
ระหว่างที่กินลูกแดงๆ ไป พวกเราก็พยายามเก็บ top 5 ลูกใหญ่สุดๆ กัน แม้ตอนนั้นแทบจะกินไม่ไหวแล้วก็ตาม ก็ได้มาตามภาพข้างบน เด็กน้อยเห็นลูกใหญ่อดไม่ได้ ของับไปหนึ่งคำ ที่เหลือพ่อกับแม่ก็จัดการให้หมด อิ่มมากๆๆๆ รู้สึกว่าเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยอ่ะค่ะ ออกจากเฮ้าส์ปุ๊บ เจ้าหน้าที่ก็ปิดเรือนเลย
แต่สวนยังไม่ปิดนะคะ (ตอนนั้นสี่โมงนิดๆ ได้แล้ว) ก็เลยเดินไปดูร้านขายของฝาก จริงๆ อยากกินมาร์สเมลอนมากๆ ในร้านขายถูกอ่ะค่ะ ชิ้นละ 600 เยนเท่านั้นเอง (พร้อมด้วย soft ice-cream) แต่กินไม่ไหวแล้ว อิ่มมากๆ ก็เลยตัดใจ เดินไปดูเรือนปลูกเมลอนที่เขาเปิดให้คนภายนอกเข้าชมได้ ถ่ายรูปจากกล้องใหญ่มาเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เอาลงคอม (^^'') เลยขออนุญาตเอารูปเก่ามาเล่าใหม่นะคะ
มาร์สเมลอน (Musk Melon) เป็นเมลอนที่ราคาแพงมาก หนึ่งต้นจะให้แค่หนึ่งผลเท่านั้น (เพื่อให้ผลนั้นมีความสมบูรณ์สุด) ตอนคราวก่อนที่มามีเจ้าหน้าที่มาบรรยายด้วย (แต่คราวนี้มาเย็นแล้วไม่มีใครเลย) เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้ามีเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เมลอนผลิตผลที่สมบูรณ์ได้ต้นละลูกสอง จะยอมทุ่มเงินซื้อเคล็ดลับอันนั้นเลยค่ะ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นหนึ่งต้นจึงจะให้ผลแค่หนึ่งลูก (ที่สมบูรณ์) เท่านั้น
ล่างซ้ายคือของฝากที่วางขาย ราคาไม่แพงนะคะ (2 ลูก 6,300 yen) เพราะที่เห็นขายกันปกติคือลูกละ 5,000-10,000 yen ตามขนาด (30,000 yen ก็เคยเห็นนะ จะแพงไปไหน >_< ) ส่วนล่างขวาคือเมลอนที่ถูกคัดออกเนื่องจากผลไม่สมบูรณ์ ขายเป็นกองๆ กองละ 2,000 yen เอาไปทำน้ำผลไม้ปั่น
คราวนี้ไปได้แต่ดู ไม่ได้ซื้ออะไรเลยค่ะ กินก็ไม่ได้กิน เพราะว่าอิ่มมากๆ อยู่กันเป็นกลุ่มสุดท้ายของสวนเลยค่ะ ที่นี่จะมีพวก Bus Tour พามากินสตรอเบอร์รี่ ดูการปลูกแตงโม (แตงโมที่นี่ก็แพงมากจริงๆ มีรูปอยู่ในกล้องใหญ่ แตงโมหนึ่งลูก เมลอนหนึ่งลูก จัดเป็นเซต ราคา 5,000 yen) ปลูกเมลอน และมะเขือเทศผลไม้ ถ้ามีโอกาสอยากให้ได้ลองไปกินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอร์รี่ที่นี่นะคะ มันอร่อยมาก และกินได้ไม่อั้นจริงๆ ค่ะ
*** รีวิวยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวขอเขียนในคอมเม้นต์ต่อไป แบ่งเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ยาวมากไปค่ะ ^_^