"ฉันรักแกว่ะ" ความในใจจาก "เพื่อนสนิท"

คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม?

ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อหรอก แต่มีคนคนนึงทำให้เราเชื่อ ว่าพรหมลิขิตมีจริง

***อาจจะยาวไปหน่อยนะคะ พยายามเล่าให้ครอบคลุมและกระชับที่สุดแล้วค่ะ***




ฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง วันๆ เอาแต่เรียน ใส่แว่นตั้งแต่อยู่ป. 2 เด็กเนิร์ดดีๆ นี่เอง

ชีวิตก็ดำเนินไปเรื่อยๆ เรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา จนกระทั่งเรากลายเป็นเด็ก ม. ปลาย

กระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งจากท้ายแถวในวันเปิดเทอมวันที่ 3 ที่มีแต่เพื่อนใหม่ ฉันยังจำชื่อใครไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ

"เฮ้ย!! รูปเราสมัยประถมตอนประกวดร้องเพลงแล้วได้ลงวารสารโรงเรียนนี่นา ใครเอามาเนี่ย"

ผู้ชายคนนั้น...เจ้าของแผ่นกระดาษแห่งความทรงจำ ไม่คุ้นตาเราเลย ไม่แม้แต่จะจำได้ รู้แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ห้องเดียวกัน

แต่เขาจำเราได้ จำได้แม้กระทั่งตอนอนุบาลเราขาหักต้องใส่เฝือก....คุณเป็นใครกันนะ? ตอบฉันที



เหมือนฟ้ากำหนดเอาไว้แล้ว วันนั้นอาจารย์สลับที่นั่ง ให้นักเรียนหญิงนั่งกับนักเรียนชาย และเราได้นั่งด้วยกัน

ช่วงเวลาผ่านไป ความสนิทที่เพิ่มพูน จากคนไม่คุ้นเคย กลายเป็น "เพื่อนสนิท" ที่ใครๆ ก็ลุ้นให้เป็นมากกว่านั้น

ทุกครั้งที่ใครแซว เรา 2 คนจะตอบพร้อมกันว่า "โหย....ไม่เอาหรอก ทำไม่ได้อ่ะ ยี้ๆๆๆๆๆ ขนลุกว่ะ"



3 ปีกับชีวิตนักเรียน ม. ปลายที่นั่งเรียนด้วยกันตลอด ทะเลาะ ร้องไห้ มีความสุข เราผ่านช่วงเวลานั้นมาด้วยกัน

3 ปี จบลงพร้อมคำว่าเพื่อนรัก ที่เรียกกันว่า "ที่รัก" รักมากเกินกว่าคำไหนๆ มากกว่าเพื่อน และมากกว่าแฟน

เรา 2 คนตอบไม่ได้ว่ารักแบบไหน รู้แต่ว่ารักแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ



น้ำตาไหลรินในวันที่ต้องเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เราห่างกัน แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ "ฉัน" กับ "แก" ไม่เคยเลิกคิดถึงกัน

แล้ววันที่ทำให้เราเปลี่ยนไปก็มาถึง....ฉันมีแฟน แต่แก....ยังไม่มีใคร



ฉันห่างเหินกับแก และแกก็ห่างฉันไป เพราะกลัวใครคนนั้นไม่เข้าใจว่าฉันกับแกเป็นเพื่อนรักกัน

ฉันแคร์ใครคนนั้นมากกว่าแก จนทำให้แกเสียใจ

ฉันเสียใจเพราะใครคนนั้นใจร้าย แกกลับมาหาฉันและนั่งเช็ดน้ำตาให้

ฉันกลับไปหาคนใจร้าย และปล่อยให้แกนั่งเหงาอยู่คนเดียว

ฉันทะเลาะกับคนใจร้าย แกโกรธแทนฉันเป็นร้อยเป็นพันเท่า

ฉันร้องไห้กับแกถึงตี 2 แกก็ยังอยู่ในสาย ไม่หลับไม่นอน



ฉันแอบแฟนไปดูหนังเรื่อง "เพื่อนสนิท" กับแก เรานั่งร้องไห้กัน 2 คน ได้แต่มองหน้ากันและยิ้ม...




วันเวลาผ่านไป ฉันทำให้แกเสียใจสารพัด แกโกรธฉัน ไม่คุยกับฉันเป็นปี

เพราะไม่ยอมเลิกกับคนใจร้ายที่บอกเลิกฉันนับครั้งไม่ถ้วน

ฉันรู้ว่าแกหวังดี แต่ฉัน...ยังไม่รู้ใจตัวเอง



และวันที่ฉันรักตัวเองมากกว่าคนใจร้ายก็มาถึง ฉันนั่งร้องไห้อยู่ในรถ แกก็โทรมา ปลอบใจฉันเหมือนทุกครั้ง

ฉันบอกแกว่า ฉันเลิกกับคนใจร้ายแล้ว แต่แกไม่เชื่อ ก็น่าเชื่ออยู่หรอก เลิกกันนับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็ใจอ่อนกลับไปดีทุกที

เวลาผ่านไปเป็นปี แกเชื่อฉันแล้วว่าฉันไม่กลับไป แต่ความสัมพันธ์ของเราไม่เหมือนเดิม ฉันกับแกห่างเหินกัน



เข้าสู่วัยทำงาน...ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตัวเอง

แล้ววันหนึ่งแกก็กลับมาหาฉัน แกรู้ไหมฉันดีใจแค่ไหน แกไม่รู้หรอก ฉันมันปากแข็ง

เวลาผ่านไปพร้อมกับกำแพงที่เขียนว่า "เพื่อนสนิท" ค่อยๆ ทะลายลง



แกมาฉลองวันเกิดกับฉัน และแกก็ทิ้งซองเอกสารเอาไว้ในรถ โทรมาบอกให้ฉันเก็บไว้ให้ เปิดอ่านก็ได้นะ

ฉันไม่อ่าน เพราะไม่อยากไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของแก แต่แกก็โทรมาย้ำให้เปิดอ่าน

"กระดาษเปล่า? อักษรเบลล์?......"

ฉันนั่งแกะอักษรเบลล์ในกระดาษ A4 อยู่เกือบ 3 ชั่วโมงเพื่อจะรู้ว่าแกเขียนมาแต่น้ำ ยืดยาว น่าโมโห

จับใจความสำคัญได้แค่บรรทัดสุดท้าย ที่อ่านแล้วน้ำตาซึม แต่ปากยิ้มกว้างจนแก้มจะแตก




"ไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว เป็นแฟนกันนะ"




เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็ไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน

ขอบคุณ พรหมลิขิตที่ทำให้ฉันกับแกมาเจอกัน เจอกันตั้งแต่อนุบาล แต่ฉันมองผ่านแกไป
ขอบคุณ "เพื่อนสนิท" หนังในตำนานที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจ หนังที่ทำให้ใจฉันไม่เหมือนเดิม
ขอบคุณ แกที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่า "รักแบบไม่มีเงื่อนไข" แกไม่เคยเรียกร้องอะไร ขอแค่ฉันอยู่ข้างแกก็พอ
ขอบคุณ ที่ไม่เคยบอกรักฉัน แต่แกก็โรแมนติกเสมอต้นเสมอปลาย
ขอบคุณ ที่ไม่เคยทิ้งกัน แม้ฉันจะติสต์แตกใส่แกตามสไตล์สาว AB



"ขอบคุณ ที่ทำให้ฉันมีวันวาเลนไทน์ ตลอด 365 วัน มา 2 ปีแล้ว"



จากเพื่อนสนิทในวันนั้น "ฉันรักแกว่ะ เพื่อนรัก"

กลายเป็น "เค้ารักตะเองนะ ฮันนี่ของเค้า" ในวันนี้

Happy Valentine's Day 2013
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่