สร้างรักริมใจ

กระทู้สนทนา
บทที่ 1

ที่ดินขนาดสี่ร้อยตารางวาปกคลุมด้วยพื้นหญ้าสีเขียวขจี ถูกตัดสั้นเป็นระเบียบเสมอกัน แสดงถึงความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันของโครงการ
ถนนด้านหน้าปูลาดด้วยคอนกรีตหนา ต้นไม้ขนาดกลางจำพวกทรงบาดาลและอินทนิล ปลูกเรียงรายสลับคละเคล้ากันไประหว่างเส้นทาง
อันทอดยาว  ถัดออกไปจากถนนคือทะเลสาบกว้าง ลำน้ำทอดนิ่ง จะพริ้วไหวบ้างก็ต่อเมื่อสายลมโปรยผ่านระรอกริ้วระยับ ยามกระทบกับแสงแดดยามบ่ายคล้อยเช่นนี้

“หนูแดงแน่ใจแล้วหรือ ที่จะปลูกบ้านในโครงการนี้”

บรุษร่างท้วมดวงหน้าเย็นจืด เอ่ยถามสตรีร่างระหงในชุดกางเกงยีนส์สีซีด กับเสื้อแขนกุดสีโอล์ดโรสจับจีบระบายด้วยลูกไม้ขนาดเล็ก
ขับผิวที่ขาวดุจกระเบื้องเคลือบนั้นให้กระจ่างตายิ่งนัก

“แน่ใจซิค่ะพี่ฉาย...ก็มันเป็นที่ดินผืนเดียวที่คุณพ่อตั้งใจจะกลับมาใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณที่นี้  ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต”

นาถนพินบอกอย่างเชื่อมั่น ครอบครัวของเธอได้อพยพไปลงหลักปักฐานถึง ดินแดนอันไกลโพ้นอีกซีกโลกหนึ่ง ‘สหรัฐอเมริกา’ แผ่นดินอันศิวิไลซ์และทันสมัยที่คนไทยหลายคนนิยมไปขุดทองที่นั้น รวมทั้งครอบครัวของเธอเอง ...บิดาซึ่งทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วหลายปีเพื่อปูทางสำหรับครอบครัว เมื่อทุกอย่างลงตัวทั้งงานและที่อยู่อาศัย จึงตัดสินใจหอบหิ้วภรรยาและลูกสาวคนเดียวที่กำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน้น...แม้จะจากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานนับสิบปี หากบิดามารดาก็มิได้ละเลยที่จะอบรมสั่งสอนถึงวัฒนธรรมอันดั่งเดิมของบรรพชน ความเป็นคนไทยสำนึกรักบ้านเกิดเมืองนอนถูกฝั่งลึกเข้าสู่หัวใจของ ‘นาถนพิน’

“แต่ถ้าหนูแดงจะปลูกบ้านที่นี้จริงๆ ก็อาจจะห่างไกลจากญาติพี่น้องนะ...ทำไมไม่ไปปลูกที่อยุธยาล่ะ ที่ดินของคุณยายก็กว้างขวางอยู่นะ”

อรุณฉายท้วงขึ้นอีกครั้ง เขาเห็นญาติผู้น้องคนนี้มาตั้งแต่เล็ก เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของน้าทวีพร ซึ่งเป็นน้องสาวของมารดา

“คุณแม่อยากให้ปลูกที่นี้ค่ะ เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า เราจะกลับมาอยู่เมืองไทยพร้อมหน้ากัน พ่อแม่ลูก”

ปลายประโยคน้ำเสียงของเจ้าตัวสั่นเครือเล็กน้อย เมื่อนึกถึงบิดา...อุษัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ผู้ให้กำเนิด จากไปอย่างไม่มีวันกลับ…

“อยากได้บ้านไตส์ไหนล่ะ ชั้นเดียว สองชั้น หรือประเภทเล่นระดับตีลังกาหน้าหลัง”

อรุณฉายถามญาติผู้น้อง น้ำเสียงกลั้นหัวเราะ ด้วยอาชีพสถาปนิกทำให้เขาพอจะประเมินบุคลิกของลูกค้ากับรสนิยมส่วนตัวได้
แม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ หากก็ ‘เฉียดถูก’ มาหลายครั้ง

“แล้วพี่ฉายคิดว่าหนูแดงจะเลือกแบบบ้านไหนดีคะ?”

หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าดูแจ่มใสขึ้นกว่าเมื่อครู่ หญิงสาวเดินข้ามถนนคอนกรีตนั้นไปยืนใต้ร่มเงาของต้นอินทนิล ดอกสีม่วงแกมชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น บางส่วนปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน ดูละลานตาละม้ายคล้ายพรมสีหวาน  หญิงสาวหันหลังให้กับทะเลสาบกว้างมองตรงไปยังพื้นดินที่เธอเป็นเจ้าของบ้านในความฝันของเธอ ต้องหันหน้าออกสู่ทะเลสาบ หน้าต่างประตูเปิดกว้าง เพื่อต้อนรับสายลมอันพลิ้วไหว...

“แบบโมเดิร์นมั้ง...เน้นความหรูหราแบบกระทัดรัด” ญาติผู้พี่บอกขณะเดินข้ามถนนตามมา

“ผิดค่ะ!”

“เฮ้ย! ไม่น่าพลาดมือชั้นเซียนขนาดนี้เดาผิดได้ไงวะเนี่ย มิน่าล่ะเขาถึงว่าอย่าเอานิยายอะไรกับนักเขียน เพ้อเจ้อไม่น่าเชื่อถือ”

อรุณฉายพาลพาดพิงไปถึงอาชีพของอีกฝ่าย ด้วยท่าที่หยอกเย้า

“ใครมาให้นิยามไว้ค่ะหนูแดงไม่เคยได้ยิน ฟังดูแปลกๆ”

“นิยามของพี่เองแหละ ประเมินจากตัวหนูแดงเป็นหลัก”

ปลายประโยคเจ้าตัวหัวเราะร่วน ที่สับขาหลอกได้

“โอ๊ย!พี่ฉายเนี่ยทุกทีเลยนะชอบอำหนูแดงตลอด ไม่เบื่อบ้างหรือไงคะ อำตั้งแต่เด็กจนโต”

นาถนพินพูดพลางค้อนให้วงเล็กๆ

“รักดอก จึงหยอกเล่น เจ้าน้องยาเอย...ไป๊กลับเถอะ เห็นโล่งๆอย่างนี้แต่ร้อนอบอ้าวน่าดูท่าเย็นนี้จะมีฝนเสียล่ะมั้ง”

ร่างท้วมของชายหนุ่มก้าวเดินไปยังรถเก๋งสีดำใหม่เอี่ยม ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก โดยมีร่างโปร่งระหงเดินตามไปติดๆ

“แล้วจะให้พี่ไปส่งที่ไหนเนี่ย”

อรุณฉายเอ่ยถามญาติผู้น้อง เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโครงการ มาได้ระยะหนึ่ง

“ที่คอนโดค่ะ คุณแม่รอหนูแดงอยู่”

นาถนพินตอบเบาๆหลังเธอและมารดาตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร และระหว่างรอการปลูกสร้างบ้าน ควรจะมีที่พักชั่วคราว
ที่ไม่ยุ่งยากมากนัก การตัดสินใจเช่าคอนโดมิเนียมอยู่ จึงสมเหตุสมผลมากกว่าสิ่งใด

“อยู่บ้านคุณยายที่อยุธยาเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาเปลืองค่าเช่าอยู่ตั้งหลายเดือน คอนโดสองห้องนอนก็ใช่ว่าจะถูก”

คนทำหน้าที่สารถียังบ่นต่อไปอีกเล็กน้อย หากคนนั่งฟังดวงหน้ายังคงเรียบเฉย..จะมีก็เพียงรอยยิ้มบาง ในบางครั้งของเสียงบ่นนั้นไม่ว่า
เวลาจะผ่านไปกี่ปีพี่ฉายก็ยังคงเป็นพี่ฉาย ที่มักจะบ่นกับเธอได้ทุกเรื่อง ‘สม่ำเสมอ’ ไม่เคยเปลี่ยน

...
ตึกสำนักงานขนาดกระทัดรัดสีขาว รูปทรงเน้นดีไซน์แนวใหม่ ผสานความสวยงามและความสะดวกเข้าด้วยกัน ตัวอาคารแยกออกเป็นสองส่วนหากเชื่อมต่อกันด้วยสะพานเหล็ก ทาทับด้วยสีเขียวเข้มทำหลังคากันแดดฝน ด้วยเถาไม้เลื้อยของต้นเล็บมือนาง เนื่องจากวิสัยทัศน์ขององค์กรเน้น ‘ลดโลกร้อน ด้วยพรรณพฤษ’
ร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบของสุภาพบุรุษในสำนักงาน ที่เจ้าตัวคงหล่อตอนเช้าหากพอบ่ายแก่ก็สุดแล้วแต่เวรกรรม ด้วยแขนเสื้อเชิ้ตนั้นถูกพับร่นขึ้นอย่างลวกๆ ผมตั้ดสั้นดูยุ่งเหยิงเมื่อเจ้าของถอดหมวกเซฟตี้ออกจากศีรษะ ขณะเปิดประตูกระจกเข้าไปด้านใน

“เฮ้ย!วันนี้โผล่พระเศียร เข้ามาออฟฟิศได้ไงวะ”

อรุณฉายร้องทักเสียงดังเมื่อร่างสูงเดินเข้าไป

“ก็คิดถึงพี่นะซิก็เลยแวะเข้ามา”

กรกฎพูดพลางเหวี่ยงหมวกสีขาวใบนั้นไปยังโซฟามุมห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามคนร้องทัก ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันจนโยงใยมาถึงการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจร่วมกัน อรุณฉายรับผิดชอบงานออกแบบ ส่วนเขารับผิดชอบด้านงานก่อสร้าง

“ใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่หรือโรงงานที่สมุทรสาคร”

“เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อยครับพี่ กลางเดือนหน้าก็ส่งมอบงานให้ลูกค้าได้”

“จบงานนี้พี่จะขอให้ปูสร้างบ้านให้ญาติพี่หน่อยวะ… เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนี่แหละ เมื่อก่อนเขาอยู่เมกา ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยถาวรก็เลยจะปลูกบ้านอยู่ ที่ดินอยู่แถวปทุมพวกโครงการจัดสรรแต่ลูกค้าเลือกแบบบ้านเองได้”

กรกฏรับฟังอีกฝ่ายเงียบๆ พื้นเพของรุ่นพี่คนนี้ฐานะทางครอบครัวอยู่ในขั้นดีไม่น้อย ‘ญาติ’ ก็คงไม่ต่างกันนัก แม้จะรู้จักกันในรั้วสถาบันการศึกษา หากเมื่อความสนิทสนมเพิ่มพูนชายหนุ่มจึงรับรู้อีกข้อหนึ่งว่า หุ้นส่วนรุ่นพี่ของเขามีญาติทางมารดา เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับปู่ของเขาด้วย

“จะสร้างบ้านแบบไหนเหรอพี่ สองชั้นหรือชั้นเดียว”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม พลางหยิบปากกาบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายมาหมุนเล่น

“ยังไม่ได้คุยกันละเอียดเท่าไรเห็นว่าจะเข้ามา จนป่านนี้ยังไม่มาเลยสงสัยวันจันทร์โน้นละมั้ง”

อรุณฉายตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆสายตาแลเลยไปยังประตูกระจกที่มีเงาวูบไหวของใครบางคน ก่อนจะถูกผลักเข้ามา

“เฮ้ย!พี่ปูนึกว่าหนุ่มที่ไหน ตัดผมซะสั้นเชียว...หล่อจนจำเกือบไม่ได้เน่ะ”

เสียงร้องทักอย่างตื่นเต้นจากคนเข้ามาใหม่ ทำให้เจ้าของชื่อต้องหันกลับไปมอง หญิงสาวรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อผิวพรรณละม้ายพุทธาดิบ
ในชุดทำงานทันสมัย ก้าวเร็วเข้ามาจับแขนอีกฝ่ายอย่างถึงเนื้อถึงตัว

“คิดถึงจังเลย… พี่ปูไม่เข้าออฟฟิศเสียตั้งนาน ที่นี้ดูเงียบเหงาไปถนัดใจเชียว”

ตวงตาจีบปากจีบคอพูด มือก็ยังเกาะเกี่ยวล่ำแขนของอีกฝ่ายด้วยความคุ้นเคยจากการทำงานร่วมกัน

“พี่ไม่ใช่นักร้องนะโว้ยไอ้ตา จะได้สร้างความบันเทิงรื่นเริงให้คนทั้งบริษัท”

“แหมพี่ปูก็...ล้อเล่นเฉยๆ”

เจ้าหล่อนบอกพลางกลอกตาขึ้นมองเพดาน ท่าทีเหมือนดาราหนังฝรั่ง “แล้วนี่พี่ปูจะอยู่เย็นไม๊เนี่ยจะได้ชวนไปดริ๊ง...เนอะพี่ฉายเนอะ” ตวงตาพยักพเยิดไปยังสถาปนิกหนุ่ม การทำงานร่วมกันในองค์กรที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ทำให้ความสนิทสนมระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องดูไม่ห่างเหินจนเกินไป

“เออนั้นสิปู...อยู่ฟาดเบียร์ด้วยกันก่อนซิวะไม่ได้ไปไหนกันมาเป็นเดือน ดึกๆค่อยกลับก็ได้...เห็นมีร้านมาเปิดใหม่หน้าปากซอยไปลองนั่งดูกัน”
  
คนอาวุโสสุดในห้องมิได้ค้าน หาก ‘สนับสนุน’ ด้วยกิจกรรมหลังเลิกงานมักวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง

“วันหลังดีกว่าพี่วันนี้ต้องไปบ้านสวนของพ่อ โทรมาตามหลายรอบแล้ว” กรกฎปฎิเสธ

“มีอะไรวะ...หรือจะตามให้ไปแต่งเมีย”

อรุณฉายพูดเสียงกลั้นหัวเราะ ด้วยหุ้นส่วนรุ่นน้องคนนี้เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำงานที่เจ้าตัวทุ่มเทอย่างหนัก

“ไม่ใช่หรอกพี่คงคิดถึงมากกว่าผมไม่ได้กลับไปหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่สร้างโรงงานที่สมุทรสาคร...ไปก่อนนะพี่ สี่โมงแล้วเดี๋ยวรถติดบานตะไท”
พูดจบเจ้าตัวก็ลุกพรวด ซึ่งคนในห้องก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก กับอาการ ‘คิดเร็ว ทำเร็ว’ เช่นนี้  


เรือนไทยแนวประยุกต์ที่ผสมผสานระหว่างความเก่าและความใหม่เข้าด้วยกัน แทรกตัวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพรรณ ถนนจากประตูรั้วเข้าไปสู่ตัวบ้านปูลาดด้วยอิฐมอญสีแดงดูเปียกชื้น หลังหยาดน้ำฝนที่โปรยปรายลงเมื่อครู่ใหญ่…กรกฎจอดรถยนต์ใต้ต้นมะกอกน้ำ เสียงตีระนาดเอกดังแว่วออกมาจากตัวบ้าน ปู่คงซ้อมมือยามเมื่ออารมรณ์ดีอีกเช่นเคย

“ปู่หวัดดีครับ...”

ชายหนุ่มเยี่ยมหน้าเข้าไปพลางยกมือไหว้ชายชราที่ยังดูแข็งแรง ผมเป็นสีขาวทั้งศีรษะหากแววตาและสีหน้าดูแจ่มใสยิ่งนัก เมื่อเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามา

“เจ้าปูมายังไงเนี่ย”

ร้องทักพลางตบพื้นใกล้ตัวเชิญชวนให้หลานชายคนเดียวเข้ามานั่งใกล้ ‘หอกลาง’ นั้นกว้างยกพื้นสูง มีเครื่องดนตรีวางอยู่หลายชิ้นด้วยอาชีพ
ดั่งเดิมของผู้มากวัยแต่เก่าก่อนคือการทำวงปี่พาทย์ หากปัจจุบันได้ละทิ้งเสียแล้ว ด้วยอายุขัยที่เพิ่มขึ้นนานๆครั้งผู้อาวุโสจะหยิบจับขึ้นมาเล่นให้ลูกหลานฟังบ้าง เนื่องในโอกาสพิเศษ หรือ ‘อารมณ์ศิลปิน’ บังเกิด

“ก็ขับรถมาสิปู่ จะให้ผมขี่ม้าศึกมาหรือไง...ไกลเอาการอยู่น่า” ชายหนุ่มตอบสีหน้าดูล้อๆ

“บ๊ะไอ้นี่! ถามดีๆมาตอบกวน เดี๋ยวก็เคาะหัวด้วยไม้นวมเสียนี่”

ท่านผู้เฒ่าชักมีน้ำโหด้วยหลานชายมักชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย “จะมาก็ไม่โทรมาบอกล่วงหน้า ปู่จะให้เอ็งซื้อของมาฝากจั๊กกะหน่อย”

“ซื้ออะไรหรือปู่”

กรกฎเอ่ยถามพลางล้มตัวลงนอนกับพื้นบ้าน ชายหนุ่มลากหมอนใบเล็กๆมาหนุนศีรษะ

“โทรศัพท์มือถือ...” ผู้มากวัยตอบด้วยความมั่นใจ

“หือ...ปู่จะเอาไปทำอะไร?” หลานชายที่นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นถามด้วยความแปลกใจ

“เอ้า! ข้าก็จะเอามาฮัลโหลฮัลเล๋บ้างซิวุ้ย”

“โอ๊ย! รุ่นนี้แล้วปู่จะเอาไปคุยกับใคร” ชายหนุ่มบอกพลางหัวเราะเบาๆ

“อย่าว่าไป ไอ้ผลคลองฝั่งกะโน้นมันยังมีเลย ข้าก็อยากมีมั้งซิ” คราวนี้หลานชายเลยถึงบางอ้อปู่ ‘กลัวน้อยหน้าเพื่อนฝูง’

“เดี๋ยวมาคราวหน้าจะซื้อมาให้นะปู่...แล้วนี่พ่อเขาไม่อยู่หรือมาตั้งนานแล้ว ผมยังไม่ได้ยินเสียงเลย”

เขาเอ่ยถามถึงบิดา คุณวศินอดีตวิศวกรโยธากรมทางหลวงซึ่งเกษียณอายุราชการมาหลายปีแล้ว ตอนนี้หันมาจับงานเพาะชำต้นไม้ ช่วงแรกก็เป็นเพียงงานแก้เบื่อ หากเมื่อนานวันเข้าก็กลับกลายเป็นธุรกิจขนาดเล็กของครอบครัวไปเสีย จากเรือนเพาะชำหลังเล็กๆจนบัดนี้ข้างเรือนไทยจึงมีสารพัดต้นไม้ ทั้งใบประดับ และดอกประดับ

“พ่อเอ็งเขาเข้าไปประชุมในตัวอำเภอ เรื่องปุ๋ยเรื่องยาอะไรเทือกนี้แหละ มืดโน้นละมั้งถึงจะเข้าบ้าน คงอยู่คุยกับเพื่อนกับฝูงก่อน”

หลังมารดาเสียชีวิตเมื่อสามปีที่แล้วบิดามักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานในสวน พบปะเพื่อนฝูงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดห่างจาก
วงสังคมจนเกินไป

“ปู่ไปอาบน้ำก่อนวะวันนี้อบอ้าวพิกล”

“ครับ”
ชายหนุ่มรับรู้ในคำบอกกล่าวนั้น เมื่อลับร่างของผู้มากวัยเขาจึงปิดเปลือกตาลง ความเหนื่อยอ่อนจากการทำงานภาคสนามกับความโล่งโปร่งสบายของตัวเรือน ทำให้เคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย
ร่างผอมบางของเด็กชายอายุประมาณ 8 ขวบเนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำ หอบหิ้วสายบัวกำใหญ่ขึ้นจากศาลาท่าน้ำหลังบ้าน ร่างเล็กๆนั้นหยุดกึกเมื่อสายตาประทะเข้ากับรถยนต์คันโก้ที่จอดอยู่ใต้ต้นมะกอกน้ำ รอยยิ้มลิงโลดจึงผุดพรายขึ้นมาในทันที พร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังลั่นตั้งแต่ยังไม่ถึงหัวกระไดบ้าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่