ต่อจากตอนแรกที่นี่นะคะ
http://pantip.com/topic/30134762
ประเภทต่างๆ ของคาร์ซีท
จากที่ศีกษามาพบว่า คาร์ซีทแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ค่ะ
1. Infant Car Seat (คาร์ซีทแบบกระเช้า)
คาร์ซีทประเภทนี้ออกแบบสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ น้ำหนักเด็กจะต้องไม่เกิน 9-13 กก (แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อค่ะ ต้องอ่านคู่มือเอาว่าคาร์ซีทที่เราซื้อมานั้นใช้ได้จนถึงลูกน้ำหนักและส่วนสูงเท่าใด) เวลาติดตั้งต้องติดแบบ rear-facing position (หันหน้าเด็กเข้าหาเบาะหลังรถ) เท่านั้น เพราะเป็นรูปแบบการติดตั้งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็กเล็ก คาร์ซีทแบบนี้ใช้ได้ไม่นานมาก ส่วนใหญ่ประมาณ 9-12 เดือน ลูกก็จะตัวใหญ่กว่าคาร์ซีทไปแล้ว แต่ข้อดีคือ หอบลูกไปไหนต่อไหนได้สะดวก เพราะน้ำหนักคาร์ซีทไม่มาก และมีหูหิ้วให้เหมือนตระกร้า ยิ่งเวลาลูกเล็กๆ เค้าหลับบ่อย ถ้าใช้คาร์ซีทอันนี้ เราก็แกะออกจากรถหิ้วไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องกวนเค้าให้ตื่นเลย แต่ถ้าใช้คาร์ซีทแบบ Convertible เราจะต้องแกะเค้าออกจากคาร์ซีทเพื่ออุ้มออกมา ส่วนใหญ่ลูกจะตื่นตอนแกะออกมานี่ล่ะค่ะ คาร์ซีทแบบนี้ต้องปรับมุมการนั่งให้ได้ 45 องศา (car seat บางรุ่นจะมีขีดแสดงระดับองศา) โดย car seat ที่ออกแบบสำหรับหันด้านหลังโดยเฉพาะจะเหมาะสำหรับทารก มากกว่ารุ่นที่ออกแบบให้หันหน้าหันหลังได้ บางรุ่นจะมีอุปกรณ์เสริมรองเบาะรถ หรือสามารถสวมเข้ากับรถเข็นได้ ควรเลือกให้เหมาะกับวิธีการใช้ของคุณ
2. Convertible Car Seat
คาร์ซีทประเภทนี้ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดเช่นกัน มันออกแบบมาให้ติดตั้งได้ทั้งแบบ rear-facing และ forward-facing position โดยส่วนมากแล้วจะกำหนดให้เด็กที่น้ำหนักอยู่ในช่วง 2.3-9.0 กก ต้องนั่งแบบ rear-facing position แต่เนื่องจากงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาว่าควรให้เด็กนั่งแบบ rear-facing position ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าจะน้ำหนักเกินกว่าที่เค้ากำหนดไว้ หรืออย่างต่ำสัก 2 ขวบก็ยังดี ไม่ใช่อย่างต่ำ 1 ขวบอย่างที่เมื่อก่อนปฏิบัติกัน (ตัวเลขอายุนี่บอกให้เห็นภาพคร่าวๆนะคะ จริงๆ ต้องดู นน.และส่วนสูงเด็กเป็นหลัก) เพราะเป็น position ที่ปลอดภัยที่สุดต่อหัว ลำคอและกระดูกสันหลังของเด็กเวลาเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น คาร์ซีทแบบนี้ รุ่นใหม่ๆ อาจทำให้เด็กนั่ง rear-facing position ได้ถึงน้ำหนัก 18 กก หรือมากกว่ากว่านั้นเลยทีเดียว แล้วแต่รุ่นค่ะ ต้องอ่านคู่มือของรุ่นที่ซื้อไปดูอีกเช่นกัน
สำหรับการติดตั้งแบบ forward facing position ก็แล้วแต่รุ่นอีก ปกติจะกำหนดให้นั่งแบบ forward facing ได้ตั้งแต่เด็ก 9 กก ขึ้นไปจนถึงมากสุดประมาณ 30 กก. แล้วแต่รุ่นค่ะ บางรุ่นก็นั่งได้ถึงแค่ 18 กก. ก็มี ต้องอ่านคู่มือเช่นกัน แต่อย่าลืมว่าคำแนะนำปัจจุบันคือควรจะให้เด็กนั่งแบบ rear facing ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ไม่ต้องรีบเปลี่ยนเป็น forward facing ค่ะ แม้ว่าลูกคุณจะน้ำหนักถึงขั้นต่ำ (9 กก) ที่เปลี่ยนได้แล้วก็ตาม
คาร์ซีทแบบนี้ข้อดีคือใช้ประโยชน์ได้นานกว่าแบบกระเช้า แต่ข้อเสียคือการติดตั้งจะยุ่งยากกว่าแบบกระเช้าบวกกับน้ำหนักของคาร์ซีท ทำให้ไม่สะดวกเวลาที่จะเคลื่อนย้ายเด็กเล็ก ถ้าเป็นคาร์ซีทของญี่ปุ่นบางยี่ห้อ เช่น combi alibebe จะมีรุ่นที่ออกแบบมาให้หมุนได้ 360 องศา ทำให้สะดวกเวลาเอาเด็กเข้าออกจากรถมากกว่า แต่ถ้าเป็นยี่ห้อของอเมริกาหรือยุโรป เช่น
Britax Graco Ricaro จะไม่สามารถหมุน 360 องศาได้ เวลาเอาลูกเล็กเข้าออกจะไม่สะดวกเล็กน้อย แต่ถ้าลูกโตแล้วจะไม่มีปัญหาเพราะเขาปีนเข้าออกเองได้ แต่ถ้าพูดถึงความปลอดภัย ยี่ห้อ Britax กับ Ricaro เป็นยี่ห้อที่ปลอดภัยลำดับต้นๆเลยทีเดียว
3. Combination Car Seat
คาร์ซีทแบบนี้เป็นของเด็กโตหน่อยคือจะเป็นแบบให้ติดตั้งแบบ forward facing เท่านั้น น้ำหนักเด็กต้อง 9 กก ขึ้นไป (ดูคู่มือด้วยนะคะ อาจมีแตกต่างไปตามรุ่น) คาร์ซีทแบบนี้เมื่อเด็กหนักเกินกว่า 18 กก แล้ว ก็จะปรับเปลี่ยนเป็นแบบ Booster Seat และสามารถใช้ต่อไปจนเด็กมีน้ำหนักประมาณ 36- 45 กก เลยทีเดียว เวลาปรับเป็น Booster seat ต้องดึงเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับคาร์ซีทออก และมาใช้เข็มขัดนิรภัยของตัวรถแทน ซึ่งมีความปลอดภัยต่ำกว่า
4. Booster Seat แบบมีพนักพิงด้านหลัง และแบบไม่มีพนักพิงด้านหลัง
คาร์ซีทประเภทนี้เป็นของเด็กโตมากๆ น้ำหนักเด็กต้องเกิน 18 กก ขึ้นไป และนั่งได้จนน้ำหนักประมาณ 36-45 กก สาเหตุที่เด็กยังต้องนั่ง Booster seat เป็นเพราะส่วนสูงของเด็กจะยังไม่ถึงระดับที่นั่งแล้วจะรัดเข็มขัดนิรภัยรถได้ถูกต้อง เวลาเกิดอุบัติเหตุจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ Booster Seat จึงมีมาเพื่อรองก้นเด็กให้สูงขึ้นถึงระดับที่จะรัดเข็มชัดนิรภัยรถได้ถูกต้อง และหลายรุ่นจะมีช่องให้สอดสายเข็มขัดนิรภัยเพื่อให้รัดเข็มขัดเด็กได้ถูกตำแหน่งด้วยโดยปกติเมื่อเด็กอายุ 6 ขวบ หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กสามารถนั่งได้ตัวตรงแล้ว เขาสามารถนั่ง Booster seat แบบไม่ต้องมีพนักพิงได้ใหญ่ได้พอดี
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของ Booster Seat จะต่ำกว่าคาร์ซีทแบบ Convertible มาก เพราะส่วนที่กันกระแทกด้านข้าง และข้างหัว จะน้อยกว่า และเข็มขัดที่ใช้รัดเด็กจะเป็นเข็มขัดที่มากับรถ จะไม่รัดเด็กได้แน่นเท่ากับเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับคาร์ซีท ดังนั้น คำแนะนำคือ ให้ลูกใช้คาร์ซีทไปให้นานที่สุด ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Booster seat เดี๋ยวนี้คาร์ซีทรุ่นใหม่พวก Convertible บางรุ่น สามารถนั่งได้จนเด็ก นน ประมาณ 31 กก เลยทีเดียว
เด็ก จะพร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถโดยไม่ต้องนั่ง Booster seat ได้ความสูงของเด็กจะต้องได้ประมาณ 150 ซม. หรือประมาณ 8 ขวบ (ความสูงของเด็กบางคนจะไม่ไปตามอายุ บางคนมีอายุ 10-11 ขวบก็อาจจะยังต้องใช้ Booster seat อยู่ก็มี ดูความสูงเด็กเป็นหลักค่ะ)
เด็กจะพร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถได้ตามปกติเมื่อ
1.เขาสูงเพียงพอที่ขาและเข่าของเขาสามารถนั่งห้อยขาได้เบาะนั่งรถได้พอดี
2.เขาโตพอที่จะสามารถนั่งตัวตรง หลังพิงพนักพิงได้ตรง
3.เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่างจะต้องรัดได้ตรงส่วนกระดูกเชิงกราน ไม่ใช้รัดตรงท้อง
4.เข็มขัดที่พาดส่วนบ่า จะต้องพาดผ่านมาตรงส่วนหน้าอก ไม่ใช่ผ่านมาตรงแขนหรือคอ
ประเภทของการรัดของเข็ดขัดนิรภัยของคาร์ซีท
1.แบบ 3 จุด จะมีสายรัด 3 เส้น รัดตรงบ่า 2 ข้างลงมาเชื่อมล็อคใกล้ๆ ด้านล่างของที่นั่ง
2.แบบ 5 จุด จะมีสายรัด 5 เส้น 2 เส้นที่บ่า 2 เส้นที่สะโพก และอีกเส้นที่ เป้ากางเกง (คาร์ซีทจากอเมริกาจะเป็นแบบ 5 จุดหมด ซึ่งปลอดภัยกว่าแบบ 3 จุด)
3.แบบ Overhead shield จะมีเป็นคานป้องกันการกระแทกหรือการเหวี่ยงตัวของเด็ก
4.แบบ t-shield จะมีเป็นคานรูปสามเหลี่ยมอยู่ติดกับสายรัดช่วงบ่า
จะเลือกคาร์ซีทแบบไหนดี
อันนี้แล้วแต่งบประมาณ น้ำหนักและส่วนสูงลูก ของแต่ละบ้านเลยนะคะ ถ้างบน้อยใช้ของจีนก็ได้ (ยังปลอดภัยกว่าไม่ใช้อยู่ดีนะ) แต่ถ้างบเยอะหน่อยแนะนำของอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นไปค่ะ ขอไม่เชียร์ยี่ห้อใดๆตรงนี้แล้วกันค่ะ
สำหรับเรา เราซื้อคาร์ซีทแบบกระเช้าให้ลูกตอนแรกเกิด เพื่อความสะดวกให้การหอบลูกไปไหนต่อไหน พอสัก 7 เดือน ลูกเริ่มตัวใหญ่ เราก็เปลี่ยนเป็น convertible car seat รุ่นที่หมุนได้ 360 องศา และต่อมาเราซื้อคาร์ซีทใหม่มาติดรถอีกคัน เพราะคิดว่าอาจต้องใช้รถสองคันในการรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน คราวนี้เราซื้อ convertible car seat รุ่นที่สามารถใช้ได้ไปจนถึง 31 กก เลย เพื่อให้ลูกนั่งคาร์ซีทไปให้นานที่สุดก่อนที่จะต้องเปลี่ยนเป็น Booster seat ค่ะ โดยส่วนตัวเราไม่สน combination car seat เลยค่ะ เพราะ convertible car seat ที่เราซื้อก็ใช้ไปได้อีกนานแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนตอนนั้นก็เปลี่ยนเป็น Booster seat เลยค่ะ
อายุคาร์ซีท
อายุการใช้งานคาร์ซีทโดยเฉลี่ยจะแค่ 6-7 ปีเท่านั้น และวัสดุของคาร์ซีทจะเสื่อมแล้ว เมื่อครบกำหนดอายุมันต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันทีค่ะ เพื่อความปลอดภัยของลูก ดังนั้นเวลาซื้อ ไม่ต้องซื้อคาร์ซีทเผื่อลูกโตมากนักก็ได้ค่ะ
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะต้องเปลี่ยนคาร์ซีทใหม่ให้ลูกทันทีเช่นกันนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
เทคนิคการฝึกลูกให้นั่งคาร์ซีท
1. ฝึกตั้งแต่แรกเกิด ให้นั่งทุกครั้งค่ะ ยิ่งเล็กยิ่งฝึกง่ายค่ะ ให้นั่งจนเขาชิน
2. เวลาลูกร้องไห้ เช็คก่อนว่าเขาไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า เช่น หิวไหม อึหรือฉี่เต็มแพมเพิรส์ไหม เสื้อผ้าเค้ารัดแน่นไป หรือผ้ามันคันไปหรือเปล่า นั่งมานานจนเมื่อยหรือไม่ เป็นต้น หาที่จอดรถแล้วเช็คดูค่ะ แก้ปัญหาที่จุดนั้นให้เสร็จ ให้อารมณ์ดีขึ้น แล้วจับนั่งคาร์ซีทเดินทางต่อ ไม่ใช่เอาออกมาจากคาร์ซีทแล้วไม่เอากลับไปนะคะ เมื่อรถออกวิ่ง ยังไงเค้าจะต้องนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ
3. ถ้าเป็นคาร์ซีทแบบกระเช้า จะมีโมบายไว้ติดกับกระเช้าได้ ซื้อไว้หลอกล่อเค้าจะดีมากค่ะ เค้าจะได้ไม่เบื่อ หรือไม่ก็หาของเล่น และซีดีเพลงที่ลูกชอบติดรถเอาไว้เลย เวลาเค้าเริ่มอารมณ์ไม่ดีก็เอามาหลอกล่อได้ ของกินเล่นใช้ล่อหลอกได้บ้าง แต่ไม่ค่อยแนะนำเพราะกลัวจะสำลักจนติดคอได้น่ะค่ะ
4. ถ้าเป็นเด็กโต ของเล่นกับเพลงที่เค้าชอบก็ใช้ได้ ไม่ก็ชี้ชวนเค้าดูวิว ดูป้ายข้างท้างที่น่าสนใจ อาจชวนเค้านับจำนวนรถสีแดง หรือสีไหนๆก็ได้ที่เค้าเลือก อาจแข่งกันนับ เช่นแม่เลือกรถสีขาว หนูเลือกรถสีแดง ดูสิว่าจากบ้านถึงที่หมาย ใครจะเจอรถสีที่ตัวเองเลือกมากกว่ากัน เป็นต้น ชวนให้เขานับเสาไฟ ข้างทางก็ยังได้ค่ะ ไม่ก็บอกว่ารถจะไม่ออกเดินทางจนกว่าเขาจะนั่งคาร์ซีท แล้วเขาจะอดไปเที่ยวถ้าไม่ยอมนั่งก็ได้ค่ะ
5. ถ้าเดินทางไกลควรหยุดรถที่จุดแวะพักทุกๆ 1-2 ชั่วโมงเพื่อเอาเขาออกจากคาร์ซีทไปยืดเส้นยืดสายค่ะ แต่พอขึ้นรถก็ต้องให้นั่งคาร์ซีทต่อ โดยบอกเค้าว่าถ้าหนูไม่นั่ง รถก็จะไม่ออก และหนูจะอดเที่ยวนะคะ
6. บอกข้อดีของคาร์ซีทให้เขาฟัง เช่น “มีคาร์ซีทนี่ดีเนอะ หนูเลยนั่งได้สูงขึ้น เห็นวิวชัด ไม่ต้องยืนให้เมื่อยเลย” หรือ “ เก้าอี้หนูสวยจังเลยลูก หนูมีเก้าอี้ส่วนตัวด้วย” “นั่งเก้าอี้นี้ดีเนอะ เวลารถชนหนูไม่กระเด็นไปชนกระจกล่ะ” (อันนี้ต้องเด็กโตหน่อยถึงจะเข้าใจนะคะ) เป็นต้นค่ะ
7. สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องใจแข็งค่ะ ถ้าเขาร้องโดยไม่มีเหตุผลเรื่องหิว อึ ฉี่ ต่างๆข้างต้นที่พูดมา ก็ห้ามเอาเขาออกจากคาร์ซีทเวลารถออกวิ่งเด็ดขาดค่ะ ถ้าจะเอาออก ต้องจอดรถ เอาออกมาเดินเล่นพักนึงได้ แต่พอขึ้นรถยังไงๆ ก็ต้องให้นั่งให้ได้ค่ะ ถ้าใจอ่อนสักหน หนต่อไปจะฝึกยากแล้วค่ะ เพราะเขาจะรู้ว่าร้องก็ไม่ต้องนั่งคาร์ซีท ต่อไปเค้าก็จะร้องทุกครั้งที่นั่งคาร์ซีทเลยล่ะ ท่องไว้เลยนะคะ “ลูกร้องจนคอแตกก็ไม่ตาย แต่ถ้าคอหักเพราะเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ไดนั่งคาร์ซีทน่ะอาจตายได้นะคะ”
สถิติที่น่าสนใจ
1.อุบัติเหตุรถยนต์เพียงแค่ 48.3 km/h ผู้โดยสารที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเป็น 30-60 เท่าของน้ำหนักตัวเอง
2. เข็มขัดนิรภัยถูกออกแบบมาเพื่อยึดตัวคุณเองไว้ในรถ และลดแรงกระแทกต่อตัวคุณ ลดโอกาสการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บหนักได้ถึง 50%
3. สถาบัน NHTSA (Nation Highway Traffic Safety Administration) กล่าวไว้ว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งเบาะด้านหลังรถ
4. ตามผลการวิจัยของสถาบัน NHTSA การให้เด็กนั่งด้านหลัง แทนการนั่งหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ 27 % ไม่ว่ารถคุณจะมี airbag ด้านข้างหรือไม่ก็ตาม
ยาวมากเลยเนอะ จบดีกว่า สงสัยอะไรถามได้นะคะ หรือมีเทคนิคช่วยให้ลูกนั่งคาร์ซีทได้นาน ก็ช่วยแชร์ได้นะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่า ^^
ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเลือกซื้อและติดตั้งคาร์ซีท ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/30134762
ประเภทต่างๆ ของคาร์ซีท
จากที่ศีกษามาพบว่า คาร์ซีทแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ค่ะ
1. Infant Car Seat (คาร์ซีทแบบกระเช้า)
คาร์ซีทประเภทนี้ออกแบบสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ น้ำหนักเด็กจะต้องไม่เกิน 9-13 กก (แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อค่ะ ต้องอ่านคู่มือเอาว่าคาร์ซีทที่เราซื้อมานั้นใช้ได้จนถึงลูกน้ำหนักและส่วนสูงเท่าใด) เวลาติดตั้งต้องติดแบบ rear-facing position (หันหน้าเด็กเข้าหาเบาะหลังรถ) เท่านั้น เพราะเป็นรูปแบบการติดตั้งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็กเล็ก คาร์ซีทแบบนี้ใช้ได้ไม่นานมาก ส่วนใหญ่ประมาณ 9-12 เดือน ลูกก็จะตัวใหญ่กว่าคาร์ซีทไปแล้ว แต่ข้อดีคือ หอบลูกไปไหนต่อไหนได้สะดวก เพราะน้ำหนักคาร์ซีทไม่มาก และมีหูหิ้วให้เหมือนตระกร้า ยิ่งเวลาลูกเล็กๆ เค้าหลับบ่อย ถ้าใช้คาร์ซีทอันนี้ เราก็แกะออกจากรถหิ้วไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องกวนเค้าให้ตื่นเลย แต่ถ้าใช้คาร์ซีทแบบ Convertible เราจะต้องแกะเค้าออกจากคาร์ซีทเพื่ออุ้มออกมา ส่วนใหญ่ลูกจะตื่นตอนแกะออกมานี่ล่ะค่ะ คาร์ซีทแบบนี้ต้องปรับมุมการนั่งให้ได้ 45 องศา (car seat บางรุ่นจะมีขีดแสดงระดับองศา) โดย car seat ที่ออกแบบสำหรับหันด้านหลังโดยเฉพาะจะเหมาะสำหรับทารก มากกว่ารุ่นที่ออกแบบให้หันหน้าหันหลังได้ บางรุ่นจะมีอุปกรณ์เสริมรองเบาะรถ หรือสามารถสวมเข้ากับรถเข็นได้ ควรเลือกให้เหมาะกับวิธีการใช้ของคุณ
2. Convertible Car Seat
คาร์ซีทประเภทนี้ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดเช่นกัน มันออกแบบมาให้ติดตั้งได้ทั้งแบบ rear-facing และ forward-facing position โดยส่วนมากแล้วจะกำหนดให้เด็กที่น้ำหนักอยู่ในช่วง 2.3-9.0 กก ต้องนั่งแบบ rear-facing position แต่เนื่องจากงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาว่าควรให้เด็กนั่งแบบ rear-facing position ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าจะน้ำหนักเกินกว่าที่เค้ากำหนดไว้ หรืออย่างต่ำสัก 2 ขวบก็ยังดี ไม่ใช่อย่างต่ำ 1 ขวบอย่างที่เมื่อก่อนปฏิบัติกัน (ตัวเลขอายุนี่บอกให้เห็นภาพคร่าวๆนะคะ จริงๆ ต้องดู นน.และส่วนสูงเด็กเป็นหลัก) เพราะเป็น position ที่ปลอดภัยที่สุดต่อหัว ลำคอและกระดูกสันหลังของเด็กเวลาเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น คาร์ซีทแบบนี้ รุ่นใหม่ๆ อาจทำให้เด็กนั่ง rear-facing position ได้ถึงน้ำหนัก 18 กก หรือมากกว่ากว่านั้นเลยทีเดียว แล้วแต่รุ่นค่ะ ต้องอ่านคู่มือของรุ่นที่ซื้อไปดูอีกเช่นกัน
สำหรับการติดตั้งแบบ forward facing position ก็แล้วแต่รุ่นอีก ปกติจะกำหนดให้นั่งแบบ forward facing ได้ตั้งแต่เด็ก 9 กก ขึ้นไปจนถึงมากสุดประมาณ 30 กก. แล้วแต่รุ่นค่ะ บางรุ่นก็นั่งได้ถึงแค่ 18 กก. ก็มี ต้องอ่านคู่มือเช่นกัน แต่อย่าลืมว่าคำแนะนำปัจจุบันคือควรจะให้เด็กนั่งแบบ rear facing ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ไม่ต้องรีบเปลี่ยนเป็น forward facing ค่ะ แม้ว่าลูกคุณจะน้ำหนักถึงขั้นต่ำ (9 กก) ที่เปลี่ยนได้แล้วก็ตาม
คาร์ซีทแบบนี้ข้อดีคือใช้ประโยชน์ได้นานกว่าแบบกระเช้า แต่ข้อเสียคือการติดตั้งจะยุ่งยากกว่าแบบกระเช้าบวกกับน้ำหนักของคาร์ซีท ทำให้ไม่สะดวกเวลาที่จะเคลื่อนย้ายเด็กเล็ก ถ้าเป็นคาร์ซีทของญี่ปุ่นบางยี่ห้อ เช่น combi alibebe จะมีรุ่นที่ออกแบบมาให้หมุนได้ 360 องศา ทำให้สะดวกเวลาเอาเด็กเข้าออกจากรถมากกว่า แต่ถ้าเป็นยี่ห้อของอเมริกาหรือยุโรป เช่น
Britax Graco Ricaro จะไม่สามารถหมุน 360 องศาได้ เวลาเอาลูกเล็กเข้าออกจะไม่สะดวกเล็กน้อย แต่ถ้าลูกโตแล้วจะไม่มีปัญหาเพราะเขาปีนเข้าออกเองได้ แต่ถ้าพูดถึงความปลอดภัย ยี่ห้อ Britax กับ Ricaro เป็นยี่ห้อที่ปลอดภัยลำดับต้นๆเลยทีเดียว
3. Combination Car Seat
คาร์ซีทแบบนี้เป็นของเด็กโตหน่อยคือจะเป็นแบบให้ติดตั้งแบบ forward facing เท่านั้น น้ำหนักเด็กต้อง 9 กก ขึ้นไป (ดูคู่มือด้วยนะคะ อาจมีแตกต่างไปตามรุ่น) คาร์ซีทแบบนี้เมื่อเด็กหนักเกินกว่า 18 กก แล้ว ก็จะปรับเปลี่ยนเป็นแบบ Booster Seat และสามารถใช้ต่อไปจนเด็กมีน้ำหนักประมาณ 36- 45 กก เลยทีเดียว เวลาปรับเป็น Booster seat ต้องดึงเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับคาร์ซีทออก และมาใช้เข็มขัดนิรภัยของตัวรถแทน ซึ่งมีความปลอดภัยต่ำกว่า
4. Booster Seat แบบมีพนักพิงด้านหลัง และแบบไม่มีพนักพิงด้านหลัง
คาร์ซีทประเภทนี้เป็นของเด็กโตมากๆ น้ำหนักเด็กต้องเกิน 18 กก ขึ้นไป และนั่งได้จนน้ำหนักประมาณ 36-45 กก สาเหตุที่เด็กยังต้องนั่ง Booster seat เป็นเพราะส่วนสูงของเด็กจะยังไม่ถึงระดับที่นั่งแล้วจะรัดเข็มขัดนิรภัยรถได้ถูกต้อง เวลาเกิดอุบัติเหตุจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ Booster Seat จึงมีมาเพื่อรองก้นเด็กให้สูงขึ้นถึงระดับที่จะรัดเข็มชัดนิรภัยรถได้ถูกต้อง และหลายรุ่นจะมีช่องให้สอดสายเข็มขัดนิรภัยเพื่อให้รัดเข็มขัดเด็กได้ถูกตำแหน่งด้วยโดยปกติเมื่อเด็กอายุ 6 ขวบ หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กสามารถนั่งได้ตัวตรงแล้ว เขาสามารถนั่ง Booster seat แบบไม่ต้องมีพนักพิงได้ใหญ่ได้พอดี
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของ Booster Seat จะต่ำกว่าคาร์ซีทแบบ Convertible มาก เพราะส่วนที่กันกระแทกด้านข้าง และข้างหัว จะน้อยกว่า และเข็มขัดที่ใช้รัดเด็กจะเป็นเข็มขัดที่มากับรถ จะไม่รัดเด็กได้แน่นเท่ากับเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับคาร์ซีท ดังนั้น คำแนะนำคือ ให้ลูกใช้คาร์ซีทไปให้นานที่สุด ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Booster seat เดี๋ยวนี้คาร์ซีทรุ่นใหม่พวก Convertible บางรุ่น สามารถนั่งได้จนเด็ก นน ประมาณ 31 กก เลยทีเดียว
เด็ก จะพร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถโดยไม่ต้องนั่ง Booster seat ได้ความสูงของเด็กจะต้องได้ประมาณ 150 ซม. หรือประมาณ 8 ขวบ (ความสูงของเด็กบางคนจะไม่ไปตามอายุ บางคนมีอายุ 10-11 ขวบก็อาจจะยังต้องใช้ Booster seat อยู่ก็มี ดูความสูงเด็กเป็นหลักค่ะ)
เด็กจะพร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถได้ตามปกติเมื่อ
1.เขาสูงเพียงพอที่ขาและเข่าของเขาสามารถนั่งห้อยขาได้เบาะนั่งรถได้พอดี
2.เขาโตพอที่จะสามารถนั่งตัวตรง หลังพิงพนักพิงได้ตรง
3.เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่างจะต้องรัดได้ตรงส่วนกระดูกเชิงกราน ไม่ใช้รัดตรงท้อง
4.เข็มขัดที่พาดส่วนบ่า จะต้องพาดผ่านมาตรงส่วนหน้าอก ไม่ใช่ผ่านมาตรงแขนหรือคอ
ประเภทของการรัดของเข็ดขัดนิรภัยของคาร์ซีท
1.แบบ 3 จุด จะมีสายรัด 3 เส้น รัดตรงบ่า 2 ข้างลงมาเชื่อมล็อคใกล้ๆ ด้านล่างของที่นั่ง
2.แบบ 5 จุด จะมีสายรัด 5 เส้น 2 เส้นที่บ่า 2 เส้นที่สะโพก และอีกเส้นที่ เป้ากางเกง (คาร์ซีทจากอเมริกาจะเป็นแบบ 5 จุดหมด ซึ่งปลอดภัยกว่าแบบ 3 จุด)
3.แบบ Overhead shield จะมีเป็นคานป้องกันการกระแทกหรือการเหวี่ยงตัวของเด็ก
4.แบบ t-shield จะมีเป็นคานรูปสามเหลี่ยมอยู่ติดกับสายรัดช่วงบ่า
จะเลือกคาร์ซีทแบบไหนดี
อันนี้แล้วแต่งบประมาณ น้ำหนักและส่วนสูงลูก ของแต่ละบ้านเลยนะคะ ถ้างบน้อยใช้ของจีนก็ได้ (ยังปลอดภัยกว่าไม่ใช้อยู่ดีนะ) แต่ถ้างบเยอะหน่อยแนะนำของอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นไปค่ะ ขอไม่เชียร์ยี่ห้อใดๆตรงนี้แล้วกันค่ะ
สำหรับเรา เราซื้อคาร์ซีทแบบกระเช้าให้ลูกตอนแรกเกิด เพื่อความสะดวกให้การหอบลูกไปไหนต่อไหน พอสัก 7 เดือน ลูกเริ่มตัวใหญ่ เราก็เปลี่ยนเป็น convertible car seat รุ่นที่หมุนได้ 360 องศา และต่อมาเราซื้อคาร์ซีทใหม่มาติดรถอีกคัน เพราะคิดว่าอาจต้องใช้รถสองคันในการรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน คราวนี้เราซื้อ convertible car seat รุ่นที่สามารถใช้ได้ไปจนถึง 31 กก เลย เพื่อให้ลูกนั่งคาร์ซีทไปให้นานที่สุดก่อนที่จะต้องเปลี่ยนเป็น Booster seat ค่ะ โดยส่วนตัวเราไม่สน combination car seat เลยค่ะ เพราะ convertible car seat ที่เราซื้อก็ใช้ไปได้อีกนานแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนตอนนั้นก็เปลี่ยนเป็น Booster seat เลยค่ะ
อายุคาร์ซีท
อายุการใช้งานคาร์ซีทโดยเฉลี่ยจะแค่ 6-7 ปีเท่านั้น และวัสดุของคาร์ซีทจะเสื่อมแล้ว เมื่อครบกำหนดอายุมันต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันทีค่ะ เพื่อความปลอดภัยของลูก ดังนั้นเวลาซื้อ ไม่ต้องซื้อคาร์ซีทเผื่อลูกโตมากนักก็ได้ค่ะ
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะต้องเปลี่ยนคาร์ซีทใหม่ให้ลูกทันทีเช่นกันนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
เทคนิคการฝึกลูกให้นั่งคาร์ซีท
1. ฝึกตั้งแต่แรกเกิด ให้นั่งทุกครั้งค่ะ ยิ่งเล็กยิ่งฝึกง่ายค่ะ ให้นั่งจนเขาชิน
2. เวลาลูกร้องไห้ เช็คก่อนว่าเขาไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า เช่น หิวไหม อึหรือฉี่เต็มแพมเพิรส์ไหม เสื้อผ้าเค้ารัดแน่นไป หรือผ้ามันคันไปหรือเปล่า นั่งมานานจนเมื่อยหรือไม่ เป็นต้น หาที่จอดรถแล้วเช็คดูค่ะ แก้ปัญหาที่จุดนั้นให้เสร็จ ให้อารมณ์ดีขึ้น แล้วจับนั่งคาร์ซีทเดินทางต่อ ไม่ใช่เอาออกมาจากคาร์ซีทแล้วไม่เอากลับไปนะคะ เมื่อรถออกวิ่ง ยังไงเค้าจะต้องนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ
3. ถ้าเป็นคาร์ซีทแบบกระเช้า จะมีโมบายไว้ติดกับกระเช้าได้ ซื้อไว้หลอกล่อเค้าจะดีมากค่ะ เค้าจะได้ไม่เบื่อ หรือไม่ก็หาของเล่น และซีดีเพลงที่ลูกชอบติดรถเอาไว้เลย เวลาเค้าเริ่มอารมณ์ไม่ดีก็เอามาหลอกล่อได้ ของกินเล่นใช้ล่อหลอกได้บ้าง แต่ไม่ค่อยแนะนำเพราะกลัวจะสำลักจนติดคอได้น่ะค่ะ
4. ถ้าเป็นเด็กโต ของเล่นกับเพลงที่เค้าชอบก็ใช้ได้ ไม่ก็ชี้ชวนเค้าดูวิว ดูป้ายข้างท้างที่น่าสนใจ อาจชวนเค้านับจำนวนรถสีแดง หรือสีไหนๆก็ได้ที่เค้าเลือก อาจแข่งกันนับ เช่นแม่เลือกรถสีขาว หนูเลือกรถสีแดง ดูสิว่าจากบ้านถึงที่หมาย ใครจะเจอรถสีที่ตัวเองเลือกมากกว่ากัน เป็นต้น ชวนให้เขานับเสาไฟ ข้างทางก็ยังได้ค่ะ ไม่ก็บอกว่ารถจะไม่ออกเดินทางจนกว่าเขาจะนั่งคาร์ซีท แล้วเขาจะอดไปเที่ยวถ้าไม่ยอมนั่งก็ได้ค่ะ
5. ถ้าเดินทางไกลควรหยุดรถที่จุดแวะพักทุกๆ 1-2 ชั่วโมงเพื่อเอาเขาออกจากคาร์ซีทไปยืดเส้นยืดสายค่ะ แต่พอขึ้นรถก็ต้องให้นั่งคาร์ซีทต่อ โดยบอกเค้าว่าถ้าหนูไม่นั่ง รถก็จะไม่ออก และหนูจะอดเที่ยวนะคะ
6. บอกข้อดีของคาร์ซีทให้เขาฟัง เช่น “มีคาร์ซีทนี่ดีเนอะ หนูเลยนั่งได้สูงขึ้น เห็นวิวชัด ไม่ต้องยืนให้เมื่อยเลย” หรือ “ เก้าอี้หนูสวยจังเลยลูก หนูมีเก้าอี้ส่วนตัวด้วย” “นั่งเก้าอี้นี้ดีเนอะ เวลารถชนหนูไม่กระเด็นไปชนกระจกล่ะ” (อันนี้ต้องเด็กโตหน่อยถึงจะเข้าใจนะคะ) เป็นต้นค่ะ
7. สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องใจแข็งค่ะ ถ้าเขาร้องโดยไม่มีเหตุผลเรื่องหิว อึ ฉี่ ต่างๆข้างต้นที่พูดมา ก็ห้ามเอาเขาออกจากคาร์ซีทเวลารถออกวิ่งเด็ดขาดค่ะ ถ้าจะเอาออก ต้องจอดรถ เอาออกมาเดินเล่นพักนึงได้ แต่พอขึ้นรถยังไงๆ ก็ต้องให้นั่งให้ได้ค่ะ ถ้าใจอ่อนสักหน หนต่อไปจะฝึกยากแล้วค่ะ เพราะเขาจะรู้ว่าร้องก็ไม่ต้องนั่งคาร์ซีท ต่อไปเค้าก็จะร้องทุกครั้งที่นั่งคาร์ซีทเลยล่ะ ท่องไว้เลยนะคะ “ลูกร้องจนคอแตกก็ไม่ตาย แต่ถ้าคอหักเพราะเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ไดนั่งคาร์ซีทน่ะอาจตายได้นะคะ”
สถิติที่น่าสนใจ
1.อุบัติเหตุรถยนต์เพียงแค่ 48.3 km/h ผู้โดยสารที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเป็น 30-60 เท่าของน้ำหนักตัวเอง
2. เข็มขัดนิรภัยถูกออกแบบมาเพื่อยึดตัวคุณเองไว้ในรถ และลดแรงกระแทกต่อตัวคุณ ลดโอกาสการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บหนักได้ถึง 50%
3. สถาบัน NHTSA (Nation Highway Traffic Safety Administration) กล่าวไว้ว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งเบาะด้านหลังรถ
4. ตามผลการวิจัยของสถาบัน NHTSA การให้เด็กนั่งด้านหลัง แทนการนั่งหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ 27 % ไม่ว่ารถคุณจะมี airbag ด้านข้างหรือไม่ก็ตาม
ยาวมากเลยเนอะ จบดีกว่า สงสัยอะไรถามได้นะคะ หรือมีเทคนิคช่วยให้ลูกนั่งคาร์ซีทได้นาน ก็ช่วยแชร์ได้นะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่า ^^