เรื่องราวการสร้างมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์กุรอานบอกให้เรารู้ว่า เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมและเฮาวาขึ้นมาเป็นมนุษย์คู่แรกในอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ได้ให้ทั้งสองมีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ประทานขนแก่มัน เพียงแต่สัตว์ไม่สามารถเปลี่ยนขนของมันได้เหมือนกับที่มนุษย์เปลี่ยนเสื้อผ้าตามแฟชั่นได้เท่านั้น
นอกจากนี้แล้วเสื้อผ้าของมนุษย์ยังได้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับจิตสำนึกทางศีลธรรมที่ถูกปลูกฝังไว้ในธรรมชาติของมนุษย์ด้วย นั่นคือ ความละอาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางจิตใจที่จะปกป้องมนุษย์ทั้งสองเพศให้พ้นจากความเสื่อมทรามทางเพศ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นผู้หญิงในอดีตส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆที่ปกปิดร่างกายมิดชิด
เมื่อโลกเจริญขึ้นภายใต้วัฒนธรรมตะวันตก เครื่องจักรสามารถทำให้มนุษย์ผลิตเสื้อผ้าได้มากขึ้น แต่ความละอายอันเป็นคุณค่าสำคัญของเพศหญิงกลับลดน้อยลง เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายผู้หญิงจึงหดหายตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงตกเป็นเป้าหมายของการลวนลาม หรือไม่ก็กลายเป็นสินค้าทางกามารมณ์และสถิติอาชญากรรมทางเพศสูงขึ้นแต่เมื่อ
ผู้หญิงมุสลิมโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐต้องการจะแต่งกายโดยการสวมใส่อาภรณ์อิสลามที่เรียกฮิญาบเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสตรีเพศ สื่อมวลชน สังคม และรัฐบาลในประเทศตะวันตกบางประเทศที่ยกย่องเชิดชูเสรีภาพส่วนบุคคลกลับสร้างกระแสว่าการแต่งกายด้วยอาภรณ์ฮิญาบเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงและเป็นการกดขี่สตรีเพศ จนเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นขัดแย้งอย่างหนึ่งในสังคม
ผลของความขัดแย้งนี้ทำให้ผู้หญิงที่มิใช่มุสลิมกลุ่มหนึ่งรณรงค์ให้มีการสวมฮิญาบกันในวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และพวกเธอจะประกาศให้วันนี้เป็น “วันฮิญาบโลก” โดยหวังที่จะให้เกิดการยอมรับสิทธิในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาและเข้าใจถึงคุณค่าของการสวมอาภรณ์ฮิญาบ เพราะยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่าผู้หญิงมุสลิมสวมใส่ฮิญาบเพราะถูกบังคับ
เอสเธอร์ เดล คุณแม่ลูกสามวัย 28 ปี อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย บอกผู้สื่อข่าวของบีบีซี กระบอกเสียงของอังกฤษว่า “การสวมฮิญาบเป็นเรื่องของพฤติกรรมรักนวลสงวนตัว มันไม่ใช่แค่การสวมใส่เสื้อผ้า มีการเข้าใจผิดๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาว่าผู้หญิงมุสลิมสวมใส่ฮิญาบเพราะถูกบังคับ ซึ่งไม่เป็นความจริง” แม้เดลจะมิใช่มุสลิม แต่เธอก็เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้งานรณรงค์วันฮิญาบโลก
เริ่มต้นโดยนัซมะฮฺ คาน ผู้หญิงชาวบังกลาเทศที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐตั้งแต่อายุ 11 ขวบ และเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่สวมฮิญาบในโรงเรียนโดยที่ไม่ใครรังเกียจเธอ แต่พอเธอเข้าเรียนชั้นมัธยมฯ เธอเล่าถึงประสบการณ์ว่า
“ดิฉันถูกเพื่อนๆเรียกว่ามนุษย์ค้างคาวหรือไม่ก็นินจา”“เมื่อดิฉันเข้าเรียนในวิทยาลัย และเกิดกรณี 9/11 ขึ้น พวกเขาเรียกฉันว่าอุซามะฮฺ บิน ลาดิน หรือไม่ก็ผู้ก่อการร้าย มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ดิฉันจึงคิดว่าทางเดียวที่จะทำให้คนในสังคมเลิกความรู้สึกแปลกแยกก็คือเราจะขอร้องพี่น้องผองเพื่อนผู้หญิงของเราให้ลองสวมใส่ฮิญาบดูเพื่อได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเอง”
ความคิดของนัซมะฮฺได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงทั่วโลกโดยมีเพื่อนทางสื่อออนไลน์แปลความคิดของเธอออกมาเป็น 22 ภาษาเพื่อหาแนวร่วม หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้รับการติดต่อจากกลุ่มผู้หญิงที่เห็นด้วยกับเธอจากอังกฤษ ออสเตรเลีย อินเดีย ปากีสถาน ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้นเจสส์ โรดส์ นักศึกษาสาวชาวอังกฤษวัย 21 ปีจากเมืองนอว์ริช ตัดสินใจที่จะสวมใส่ฮิญาบเป็นเวลาหนึ่งเดือนแม้เธอมิใช่มุสลิม
ทั้งนี้ เพื่อรับประสบการณ์ตรงหลังจากที่เธอรับรู้ข่าวเรื่องนี้จากทางอินเทอร์เน็ตจากวิดยาน อัลอบูดี เพื่อนทางเฟซบุ๊คของเธอในออสเตรเลีย“เพราะดิฉันไม่มีความชำนิชำนาญในการสวมใส่ ฉันจึงเอาสิ่งที่เรียกว่าฮิญาบผืนเดียวมาใส่ คุณก็แค่เอาผ้าผืนหนึ่งวางบนหัว แต่ดิฉันพบว่ามันไม่ได้จบแค่นั้น มันมีทางเลือกอีกมากมาย เพื่อนดิฉันบอกว่าดิฉันมิจำเป็นต้องเป็นมุสลิมก็ได้ เพราะการใช้ผ้าโพกหัวเป็นเรื่องความรักนวลสงวนตัว ถึงแม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับอิสลาม
ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่าทำไมไม่ลองดูล่ะ” โรดส์กล่าว เธอเล่าต่อว่า “พ่อแม่ของฉันสงสัยว่าการทำเช่นนั้นเป็นความคิดที่ดีหรือ นี่คือปฏิกิริยาของท่าน พ่อกังวลว่าดิฉันจะถูกโจมตีในท้องถนนเพราะคนในสังคมไม่ใจกว้างพอ” แน่นอนโรดส์เองก็กังวลต่อปฏิกิริยาจากคนในสังคมเช่นกัน เธอกล่าวว่า “ดิฉันไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ แต่ผู้คนตามห้างร้านช่วยเหลือดิฉันเป็นอย่างมาก”
สำหรับเดลที่เป็นชาวคริสเตียนนิกายมอร์มอนในแคลิฟอร์เนียนั้น เธอเข้าใจดีถึงความสำคัญของการปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันและรู้ดีถึงความอคติที่ผู้คนมีต่อการสวมฮิญาบของผู้หญิงมสุลิม เธอจึงหวังว่าการรณรงค์ในเรื่องนี้จะเป็นโอกาสสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้คน เดลกล่าวว่า “มันเป็นโอกาสดีที่จะให้การศึกษาแก่ผู้คนว่าคุณไม่สามารถตัดสินคนได้อย่างถูกต้องโดยอาศัยสิ่งที่เขาสวมใส่เพียงอย่างเดียว”
ส่วนโรดส์กล่าวว่า “ผ้าคลุมผมเป็นทางเลือกของดิฉัน ดิฉันจะสวมใส่มันเป็นบางครั้ง ฉันกำลังจะบอกโลกว่าความงามของดิฉันเพื่อครอบครัวของฉันและคู่ครองของดิฉัน ผู้หญิงคนใดจะใช้ผ้าคุลมก็สามารถทำได้
”ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 398 วันที่ 9-15 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 29 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=17721
‘1 กุมภาพันธ์’วันฮิญาบโลก'
นอกจากนี้แล้วเสื้อผ้าของมนุษย์ยังได้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับจิตสำนึกทางศีลธรรมที่ถูกปลูกฝังไว้ในธรรมชาติของมนุษย์ด้วย นั่นคือ ความละอาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางจิตใจที่จะปกป้องมนุษย์ทั้งสองเพศให้พ้นจากความเสื่อมทรามทางเพศ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นผู้หญิงในอดีตส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆที่ปกปิดร่างกายมิดชิด
เมื่อโลกเจริญขึ้นภายใต้วัฒนธรรมตะวันตก เครื่องจักรสามารถทำให้มนุษย์ผลิตเสื้อผ้าได้มากขึ้น แต่ความละอายอันเป็นคุณค่าสำคัญของเพศหญิงกลับลดน้อยลง เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายผู้หญิงจึงหดหายตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงตกเป็นเป้าหมายของการลวนลาม หรือไม่ก็กลายเป็นสินค้าทางกามารมณ์และสถิติอาชญากรรมทางเพศสูงขึ้นแต่เมื่อ
ผู้หญิงมุสลิมโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐต้องการจะแต่งกายโดยการสวมใส่อาภรณ์อิสลามที่เรียกฮิญาบเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสตรีเพศ สื่อมวลชน สังคม และรัฐบาลในประเทศตะวันตกบางประเทศที่ยกย่องเชิดชูเสรีภาพส่วนบุคคลกลับสร้างกระแสว่าการแต่งกายด้วยอาภรณ์ฮิญาบเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงและเป็นการกดขี่สตรีเพศ จนเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นขัดแย้งอย่างหนึ่งในสังคม
ผลของความขัดแย้งนี้ทำให้ผู้หญิงที่มิใช่มุสลิมกลุ่มหนึ่งรณรงค์ให้มีการสวมฮิญาบกันในวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และพวกเธอจะประกาศให้วันนี้เป็น “วันฮิญาบโลก” โดยหวังที่จะให้เกิดการยอมรับสิทธิในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาและเข้าใจถึงคุณค่าของการสวมอาภรณ์ฮิญาบ เพราะยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่าผู้หญิงมุสลิมสวมใส่ฮิญาบเพราะถูกบังคับ
เอสเธอร์ เดล คุณแม่ลูกสามวัย 28 ปี อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย บอกผู้สื่อข่าวของบีบีซี กระบอกเสียงของอังกฤษว่า “การสวมฮิญาบเป็นเรื่องของพฤติกรรมรักนวลสงวนตัว มันไม่ใช่แค่การสวมใส่เสื้อผ้า มีการเข้าใจผิดๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาว่าผู้หญิงมุสลิมสวมใส่ฮิญาบเพราะถูกบังคับ ซึ่งไม่เป็นความจริง” แม้เดลจะมิใช่มุสลิม แต่เธอก็เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้งานรณรงค์วันฮิญาบโลก
เริ่มต้นโดยนัซมะฮฺ คาน ผู้หญิงชาวบังกลาเทศที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐตั้งแต่อายุ 11 ขวบ และเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่สวมฮิญาบในโรงเรียนโดยที่ไม่ใครรังเกียจเธอ แต่พอเธอเข้าเรียนชั้นมัธยมฯ เธอเล่าถึงประสบการณ์ว่า
“ดิฉันถูกเพื่อนๆเรียกว่ามนุษย์ค้างคาวหรือไม่ก็นินจา”“เมื่อดิฉันเข้าเรียนในวิทยาลัย และเกิดกรณี 9/11 ขึ้น พวกเขาเรียกฉันว่าอุซามะฮฺ บิน ลาดิน หรือไม่ก็ผู้ก่อการร้าย มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ดิฉันจึงคิดว่าทางเดียวที่จะทำให้คนในสังคมเลิกความรู้สึกแปลกแยกก็คือเราจะขอร้องพี่น้องผองเพื่อนผู้หญิงของเราให้ลองสวมใส่ฮิญาบดูเพื่อได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเอง”
ความคิดของนัซมะฮฺได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงทั่วโลกโดยมีเพื่อนทางสื่อออนไลน์แปลความคิดของเธอออกมาเป็น 22 ภาษาเพื่อหาแนวร่วม หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้รับการติดต่อจากกลุ่มผู้หญิงที่เห็นด้วยกับเธอจากอังกฤษ ออสเตรเลีย อินเดีย ปากีสถาน ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้นเจสส์ โรดส์ นักศึกษาสาวชาวอังกฤษวัย 21 ปีจากเมืองนอว์ริช ตัดสินใจที่จะสวมใส่ฮิญาบเป็นเวลาหนึ่งเดือนแม้เธอมิใช่มุสลิม
ทั้งนี้ เพื่อรับประสบการณ์ตรงหลังจากที่เธอรับรู้ข่าวเรื่องนี้จากทางอินเทอร์เน็ตจากวิดยาน อัลอบูดี เพื่อนทางเฟซบุ๊คของเธอในออสเตรเลีย“เพราะดิฉันไม่มีความชำนิชำนาญในการสวมใส่ ฉันจึงเอาสิ่งที่เรียกว่าฮิญาบผืนเดียวมาใส่ คุณก็แค่เอาผ้าผืนหนึ่งวางบนหัว แต่ดิฉันพบว่ามันไม่ได้จบแค่นั้น มันมีทางเลือกอีกมากมาย เพื่อนดิฉันบอกว่าดิฉันมิจำเป็นต้องเป็นมุสลิมก็ได้ เพราะการใช้ผ้าโพกหัวเป็นเรื่องความรักนวลสงวนตัว ถึงแม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับอิสลาม
ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่าทำไมไม่ลองดูล่ะ” โรดส์กล่าว เธอเล่าต่อว่า “พ่อแม่ของฉันสงสัยว่าการทำเช่นนั้นเป็นความคิดที่ดีหรือ นี่คือปฏิกิริยาของท่าน พ่อกังวลว่าดิฉันจะถูกโจมตีในท้องถนนเพราะคนในสังคมไม่ใจกว้างพอ” แน่นอนโรดส์เองก็กังวลต่อปฏิกิริยาจากคนในสังคมเช่นกัน เธอกล่าวว่า “ดิฉันไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ แต่ผู้คนตามห้างร้านช่วยเหลือดิฉันเป็นอย่างมาก”
สำหรับเดลที่เป็นชาวคริสเตียนนิกายมอร์มอนในแคลิฟอร์เนียนั้น เธอเข้าใจดีถึงความสำคัญของการปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันและรู้ดีถึงความอคติที่ผู้คนมีต่อการสวมฮิญาบของผู้หญิงมสุลิม เธอจึงหวังว่าการรณรงค์ในเรื่องนี้จะเป็นโอกาสสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้คน เดลกล่าวว่า “มันเป็นโอกาสดีที่จะให้การศึกษาแก่ผู้คนว่าคุณไม่สามารถตัดสินคนได้อย่างถูกต้องโดยอาศัยสิ่งที่เขาสวมใส่เพียงอย่างเดียว”
ส่วนโรดส์กล่าวว่า “ผ้าคลุมผมเป็นทางเลือกของดิฉัน ดิฉันจะสวมใส่มันเป็นบางครั้ง ฉันกำลังจะบอกโลกว่าความงามของดิฉันเพื่อครอบครัวของฉันและคู่ครองของดิฉัน ผู้หญิงคนใดจะใช้ผ้าคุลมก็สามารถทำได้
”ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 398 วันที่ 9-15 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 29 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=17721