วันวาเลนไทน์ใกล้เข้ามาแล้ว ไหนๆเราก็เล่นห้องสยามมานานหลายปีดีดัก เลยได้ไอเดียว่าน่าจะมีอะไรดีๆมาแชร์กับชาวสยามซะหน่อย เพื่อเป็นการต้อนรับวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนี้ เราก็เลยขอแชร์ข้อคิดสำหรับชีวิตรักแล้วกัน มันเป็นข้อคิดหรือเคล็ดลับเล็กๆน้อยที่เราได้เรียนรู้มาจากความรักหลายๆครั้งของเรา บวกกับข้อคิดที่คุณแฟนสุดที่เลิฟของเราได้แชร์ร่วมกัน เราสองคนนำมาปรับใช้กับชีวิตรักของเราได้ดีมาก เลยอยากจะเอามาแชร์ให้เพื่อนๆชาวสยามลองเอาไปใช้ดู เพื่อจะได้มีชีวิตรักที่ดีกันถ้วนหน้านะจ๊ะ อาจจะยาวสักหน่อย แต่ลองอ่านดู เราว่าคงจะได้สาระอะไรบ้างไม่มากก็น้อยแหละนะ งั้นเริ่มกันเล้ย
คู่ควง หรือ คู่ชีวิต
เราสองคนมองว่าเรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่จริงจังมากนะ อาจจะเพราะแฟนเราเติบโตมาในครอบครัวคริสเตียนก็ได้ ส่วนเราเองก็มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความรักความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับแนวทางนี้เองแต่แรกโดยที่ไม่รู้ตัว ในทุกครั้งที่จะเริ่มความสัมพันธ์กับใครสักคน ให้คุณถามตัวเองซะก่อนว่ามองหาอะไรจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ มองหาคู่ควงหรือคู่ชีวิต อย่าอายที่จะบอกใครต่อใครว่าคุณซีเรียสกับเรื่องนี้ การมีชีวิตคู่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่จะมาทำกันเล่นๆเหมือนเด็กเล่นขายของ ถ้าคุณอยากได้แค่คู่ควงก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเฟ้นแบบพิถีพิถันอะไรมาก แต่ถ้าเป็นคู่ชีวิตแล้วละก็ชุ่ยไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ควรทำคือสื่อสารความต้องการของคุณออกไป หากความต้องการระหว่างคุณและเขาไม่ตรงกัน ไม่สามารถปรับจูนกันได้ ก็อย่าไปฝืน จงทำใจและก้าวต่อไป
action = reaction
เมื่อความสัมพันธ์ของคุณเริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นกฎทางฟิสิกส์ที่ปรับใช้ได้กับเรื่องความรักความสัมพันธ์ของคุณค่ะ ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบย่อมมีความคาดหวังเกิดขึ้น คู่รักทุกคู่ก็ย่อมคาดหวังว่าจะได้ความสุขจากคนรักของเราทั้งนั้น ซึ่งเราสองคนไม่คิดว่าจะต้องพยายามปฏิเสธความคาดหวังที่เกิดขึ้นในใจเราหรอกค่ะ เพียงแต่เราต้องคิดเสมอว่าความสุขของคู่รักเรานั้นแปรผันตรงตามความสุขที่เรามอบให้แก่เขานั่นแหละ ถ้าเราอยากได้รับความสุขจากรักของเรามากแค่ไหน เรายิ่งจำเป็นจะต้องมอบความสุขไปให้เขามากเท่านั้นค่ะ ยืนยันค่ะว่าคาดหวังได้ แต่คุณก็ต้องทำตัวเองให้ดีสมความคาดหวังของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
การเงียบคือการเถียงที่กวนตีนที่สุด
และในทุกความสัมพันธ์ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอปัญหาค่ะ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาหลายๆคนมักเลือกที่จะเงียบ แต่กับเราสองคนแล้วเวลามีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน เราจะไม่เงียบกันเด็ดขาด การเงียบนั้นทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามและสร้างคำตอบที่ทึกทักเอาเองได้อีกร้อยแปด และมันจะยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดแย่ลงค่ะ ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรตอนนั้น ก็แค่บอกไปตรงๆว่าขอเวลาสักหน่อย พร้อมเมื่อไหร่แล้วจะมาคุยอีกที แต่ต้องมีลิมิทด้วยนะ ไม่ใช่เอาคำว่าไม่พร้อมมาอ้างเพื่อประวิงเวลาในการที่จะพูดคุยถึงปัญหา การทำแบบนั้นจะเท่ากับว่าคุณกวาดขยะไปซุกไว้ใต้พรม ปล่อยให้เวลาผ่านไป พอนึกออกอีกที ขยะพวกนั้นก็ส่งกลิ่นเน่าคละคลุ้งไปหมด เหมือนปัญหาที่มันบ่มตัวจนแก้ไม่ได้แล้วนั่นแหละค่ะ
ลิ้นคนเราคมยิ่งกว่าดาบ
ถึงเราไม่ควรจะเงียบเวลามีปัญหา แต่ก็ใช่ว่าจะพูดอะไรก็ได้ออกไปโดยไม่คิดนะคะ บางทีคนเราพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด และมันก็ไปทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ คำพูดบางคำใช้เวลาคิดแค่ไม่ถึงเสี้ยวนาที แต่มันอาจทำให้คนฟังจดจำไปคิดเป็นเวลานับสิบปีเลยก็ได้ เราสองคนเองจัดว่าเป็นคนปากร้ายกันทั้งคู่ เราเลยต้องระวังในจุดนี้มากเป็นพิเศษค่ะ วิธีที่ใช้ประจำก็คือเวลาที่คำพูดร้ายๆมันมาจ่อรอที่ปาก ให้กลั้นใจฮึบนึงก่อน แล้วรีบใช้สมองประมวลผลหาคำอะไรก็ได้ที่มันซอฟท์ลงกว่านั้น แม้เพียงสักเสี้ยวเศษก็ยังดีกว่าไม่ได้กรองมันเลยค่ะ ทั้งหมดนี้รวมถึงคำประชดประชัด การขึ้นเสียง การตะคอก และคำหยาบคายทุกประเภทด้วยค่ะ เวลาที่พวกเรามีเรื่องไม่พอใจกันเนี่ย สังเกตตัวเองได้ว่าพูดจากันเพราะกว่าโหมดปกติอีกค่ะ มีจ๊ะจ๋า คะขามากกว่าปกติเยอะเลย แถมน้ำเสียงที่ใช้ก็อ่อนหวานและอ่อนโยนกว่าปกติด้วย เวลาพูดจะอยู่ใกล้กันมาก แทบจะกระซิบเลยทีเดียว ตอนดีๆกันก็จะแบบ เธอ หล่อน ไอ ยู อะไรแบบนี้ค่ะ ลีลาการพูดก็โหวกเหวกโวยวายกว่ากันด้วย
บอกเลิกอย่างเป็นทางการเท่านั้น
เราสองคนเห็นตัวอย่างมาหลายคู่มากค่ะ พวกที่ชอบบอกเลิกจากการประชดเนี่ย คนส่วนมากจะชอบพูดกันว่าอย่าประชดด้วยคำบอกเลิกนะ แม้แต่ในหนังก็ตาม ล่าสุดเราสองคนได้ดู Yes Or No 2 คิมบอกพายว่าอย่าประชดว่าจะเลิกกัน เพราะมันไม่ดี ก่อนจะพูดต้องคิดก่อน แต่กับเราสองคนไม่เคยคิดห้ามกันในเรื่องนี้เลย ทำไมน่ะเหรอ เพราะพวกเราคิดว่าในเวลาที่คนเราโกรธ โมโห ไม่พอใจอไรสักอย่างเนี่ย ความสามารถในการควบคุมความคิดและการแสดงออกต่างๆมันจะลดลง ดังนั้นการพูดอะไรออกมาโดยไม่คิดไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแค่เรามีข้อตกลงที่ว่าหากเราต้องการที่จะเลิกกัน เราจะมาจับเข่าคุยกันอย่างเป็นทางการเท่านั้น จะไม่ใช้วิธีอื่น เพียงแค่นี้เวลาที่ได้ยินคำประชดบอกจะเลิก เราก็จะไม่หวั่นไหวอีกต่อไป ความจริงเราสองคนไม่เคยประชดกันแบบนี้เลยนะ มีแต่ประชดจิกกัดแดกดันแบบเอาฮามากกว่า
ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
สุภาษิตไทยเราคำนี้ยังคงเป็นจริงทุกยุคทุกสมัยค่ะ เวลาที่คู่รักมีปัญหากัน หลายคู่ชอบนำเอาปัญหาที่เกิดขึ้นไปเที่ยวปรึกษาคนนั้นทีคนนี้ที ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท ญาติ หรือแม้แต่คนไม่รู้จักตามเวบบอร์ด อิอิ ซึ่งมันอาจจะดีที่มีคนมาช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา แต่ความจริงแล้วต้นตอของปัญหามันเกิดขึ้นจากคนสองคนเท่านั้น ต้องอย่าลืมในจุดนี้ค่ะ คนอื่นเขาไม่ได้รู้ใน factor ต่างๆแบบที่คุณกำลังเผชิญอยู่ เขาไม่วันที่จะ put themselves in your shoes ได้หรอกค่ะ เรื่องราวปัญหาที่คล้ายกันคนอื่นอาจจะเจอมาบ้าง แต่มันต่างกรรมต่างวาระกัน ตัดสินใจแทนกันไม่ได้ ให้คำแนะนำกันไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ และในหลายๆครั้งคำแนะนำก็จะยิ่งมีแต่ทำปัญหาให้แย่ลงด้วย เพราะฉะนั้นเราสองคนว่าเก็บปัญหาไว้เคลียร์กันเองดีกว่าค่ะ
อย่าโกรธกันข้ามวัน
สำหรับคำแนะนำข้อนี้อาจจะฟังดูอิงศาสนาไปสักหน่อย คริสเตียนส่วนมากจะถูกสอนมาว่าความโกรธนั้นเป็นอะไรที่ฟักตัวไวที่สุด เพียงแค่ข้ามคืนมันก็สามารถฝังรากหยั่งลึกลงไปในจิตใจได้แล้ว หากเพียงเราปล่อยให้มันได้เติบโตในใจแล้วละก็มันยากที่จะถอนออกเลยละค่ะ หยั่งรากเร็ว โตไว ให้ผลไว้ แล้วผลมันนี่รสชาติแย่สุดบรรยายเลยคุณเอ๋ย สิ่งที่เราสองคนทำเป็นประจำก็คือก่อนจะนอน เราจะมีการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันว่าระหว่างเรานั้น ใครได้ทำอะไรให้ไม่เป็นที่พอใจของอีกฝ่ายหรือเปล่า จากนั้นก็จะกล่าวให้อภัยกัน พร้อมทั้งแนะนำหรือสรุปอะไรสั้นๆนิดหน่อย เป็นการเคลียร์สิ่งที่ไม่พอใจที่มันคั่งค้างในใจแต่ละวันออกไปค่ะ ซึ่งความจริงแล้วบางสิ่งที่พูดไปมันไม่ใกล้เคียงกับความโกรธด้วยซ้ำ แต่เราก็ต้องรีบแซะมันออกจากความคิดเสียตั้งแต่เนิ่นๆค่ะ เพื่อป้องกันการฟักตัว
อย่าหันหลังให้กัน
ในขณะที่โกรธกัน ทะเลาะกัน ทุ่มเถียงกัน ขอให้เผชิญหน้ากันเข้าไว้ค่ะ อย่าหันหลังหนีกันโดยเด็ดขาด เพราะอวัจนภาษาของการหันหลังให้กัน ความหมายที่แฝงไว้มันคือการหมดหวังในตัว แสดงถึงความเบื่อหน่ายในตัวค่ะ แม้ว่าในใจคุณตอนที่ทำท่าทางอย่างนั้นจะไม่ได้คิดอะไรเลย แต่มันมาจากจิตใต้สำนึก และผู้รับจะรู้สึกได้แน่นอนค่ะ ท่าทีแบบนี้มันคือการปฏิเสธกันกรายๆ ซึ่งไม่ดีแน่ถ้าคุณยังอยากให้ความสัมพันธ์ของคุณดำเนินต่อไป ความจริงเราเองไม่ถือในเรื่องนี้มากนะคะ เพราะเราเข้าใจดีว่าคนที่อารมณ์รุนแรงมากบางคนเขาชอบหันหลังไปเพื่อสงบสติก่อน แต่แฟนเราทั้งที่เป็นคนอารมณ์รุนแรงและใจร้อนคนนึงกลับไม่เคยที่จะทำแบบนั้นเลย และจะรับไม่ได้เอามากๆด้วยถ้ามีใครทำใส่ เขาบอกว่าการกระทำแบบนั้นคือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงค่ะ
เวลาที่คนเราแสดงออกแบบไม่น่ารัก คือเวลาที่เราต้องการความรักมากที่สุด
ข้อนี้เรียกได้ว่าเป็นไม้ตายเลยค่ะ เราสองคนเชื่อว่าจิตใจคนเราล้วนแล้วแต่อยากจะทำสิ่งดีๆ แสดงออกดีๆกันทั้งนั้นแหละค่ะ และคนเราก็ดำรงอยู่ได้ด้วยความรัก โลกเรานี้ก็ขับเคลื่อนไปด้วยความรัก เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครสักคนเริ่มทำตัวไม่น่ารัก เมื่อนั้นแหละแปลว่าเขากำลังขาดความรัก เขาก็เลยทำอะไรที่มันดูไม่ดีออกมา เป็นการเรียกร้องให้คนเติมความรักให้แก่เขาค่ะ และยิ่งถ้าเป็นคนที่เรารักด้วยแล้ว เราจะใจร้ายไม่เติมความรักให้แก่เขาเลยเชียวเหรอคะ
จะกอดทิฐิหรือกอดคนที่คุณรัก
คำแนะนำนี้คงจะเป็นข้อสุดท้ายแล้วค่ะ ในทุกๆครั้งที่มีปัญหากัน หลายคนใช้ทิฐิเป็นตัวนำ ส่งผลให้เขาทำอะไรหลายอย่างที่รังแต่จะซ้ำเติมปัญหาให้มันแย่ลง ทิฐิก็คืออีโก้อย่างนึง ที่คนเรามักจะคิดว่าตัวเองต้องถูก อีกฝ่ายเป็นคนผิด หรือคิดว่าคนอื่นต้องมาง้อฉันเวลาที่เขาทำผิดต่อฉัน เป็นเหมือนบทลงโทษอย่างหนึ่ง หรือเป็นการแสดงออกถึงความสำนึกผิดของอีกฝ่าย แต่รู้มั้ย การกอดทิฐิเอาไว้ไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ ทำไปทำไม แค่กลัวเสียหน้าเท่านั้นเหรอ ก็เลือกเอาแล้วกันนะว่าจะยอมเสียหน้าหรือเสียคนที่คุณรักไปตลอดกาล ไม่ว่าครั้งใดที่มีปัญหาระหว่างกัน หันมากอดกันดีกว่าค่ะ ถึงแม้จะยังปรับความเข้าใจกันไม่ได้ กอดกันไว้ก่อนเลย อย่างน้อยมันก็จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกับเขาจะผ่านปัญหาครั้งนี้ไปด้วยกัน
จบแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ ปรับตัวออกจากโหมดมีสาระโดยด่วน ไม่ค่อยชินเท่าไหร่เลยเวลาที่ต้องพูดหรือเขียนอะไรที่มีสาระแบบนี้ เพราะปกติเป็นพวกหาสาระไม่ค่อยได้ มีแต่เลวกับแนเนี่ยเยอะมาก ฮ่าๆ ก็เอาเป็นว่าขอให้หนุ่มๆสาวๆชาวสยามมีความสุขกับวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนี้นะคะ ใครที่มีคู่ก็ขอให้รักกันไปนานๆ ผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้แบบสบายๆ จะไม่ขอให้ไม่เจอปัญหานะ เพราะมันเลี่ยงไม่ได้หรอก ส่วนคนที่โสดเราไม่ขอให้ได้คู่นะ แต่ขอให้คุณโสดอย่างมีคุณภาพเพียบพร้อม บ่มเพาะตัวเองเพื่อคนดีๆที่รอคุณอยู่ในวันข้างหน้า ว้ายๆ ลืมตัวเผลอมีสาระอีกแล้ว สุดท้ายนี้ขอฝากเพลงปลอบใจคนโสดเพลงนึงละกัน ลองฟังเนื้อแล้วคิดตามดูดีๆ จะรู้สึกว่าชีวิตโสดยังมีหวังค่ะ ฮ่าๆๆ
*** ต้อนรับ Valentine ด้วยข้อคิดดีๆเพื่อชีวิตรักจ้ะ ***
คู่ควง หรือ คู่ชีวิต
เราสองคนมองว่าเรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่จริงจังมากนะ อาจจะเพราะแฟนเราเติบโตมาในครอบครัวคริสเตียนก็ได้ ส่วนเราเองก็มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความรักความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับแนวทางนี้เองแต่แรกโดยที่ไม่รู้ตัว ในทุกครั้งที่จะเริ่มความสัมพันธ์กับใครสักคน ให้คุณถามตัวเองซะก่อนว่ามองหาอะไรจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ มองหาคู่ควงหรือคู่ชีวิต อย่าอายที่จะบอกใครต่อใครว่าคุณซีเรียสกับเรื่องนี้ การมีชีวิตคู่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่จะมาทำกันเล่นๆเหมือนเด็กเล่นขายของ ถ้าคุณอยากได้แค่คู่ควงก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเฟ้นแบบพิถีพิถันอะไรมาก แต่ถ้าเป็นคู่ชีวิตแล้วละก็ชุ่ยไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ควรทำคือสื่อสารความต้องการของคุณออกไป หากความต้องการระหว่างคุณและเขาไม่ตรงกัน ไม่สามารถปรับจูนกันได้ ก็อย่าไปฝืน จงทำใจและก้าวต่อไป
action = reaction
เมื่อความสัมพันธ์ของคุณเริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นกฎทางฟิสิกส์ที่ปรับใช้ได้กับเรื่องความรักความสัมพันธ์ของคุณค่ะ ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบย่อมมีความคาดหวังเกิดขึ้น คู่รักทุกคู่ก็ย่อมคาดหวังว่าจะได้ความสุขจากคนรักของเราทั้งนั้น ซึ่งเราสองคนไม่คิดว่าจะต้องพยายามปฏิเสธความคาดหวังที่เกิดขึ้นในใจเราหรอกค่ะ เพียงแต่เราต้องคิดเสมอว่าความสุขของคู่รักเรานั้นแปรผันตรงตามความสุขที่เรามอบให้แก่เขานั่นแหละ ถ้าเราอยากได้รับความสุขจากรักของเรามากแค่ไหน เรายิ่งจำเป็นจะต้องมอบความสุขไปให้เขามากเท่านั้นค่ะ ยืนยันค่ะว่าคาดหวังได้ แต่คุณก็ต้องทำตัวเองให้ดีสมความคาดหวังของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
การเงียบคือการเถียงที่กวนตีนที่สุด
และในทุกความสัมพันธ์ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอปัญหาค่ะ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาหลายๆคนมักเลือกที่จะเงียบ แต่กับเราสองคนแล้วเวลามีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน เราจะไม่เงียบกันเด็ดขาด การเงียบนั้นทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามและสร้างคำตอบที่ทึกทักเอาเองได้อีกร้อยแปด และมันจะยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดแย่ลงค่ะ ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรตอนนั้น ก็แค่บอกไปตรงๆว่าขอเวลาสักหน่อย พร้อมเมื่อไหร่แล้วจะมาคุยอีกที แต่ต้องมีลิมิทด้วยนะ ไม่ใช่เอาคำว่าไม่พร้อมมาอ้างเพื่อประวิงเวลาในการที่จะพูดคุยถึงปัญหา การทำแบบนั้นจะเท่ากับว่าคุณกวาดขยะไปซุกไว้ใต้พรม ปล่อยให้เวลาผ่านไป พอนึกออกอีกที ขยะพวกนั้นก็ส่งกลิ่นเน่าคละคลุ้งไปหมด เหมือนปัญหาที่มันบ่มตัวจนแก้ไม่ได้แล้วนั่นแหละค่ะ
ลิ้นคนเราคมยิ่งกว่าดาบ
ถึงเราไม่ควรจะเงียบเวลามีปัญหา แต่ก็ใช่ว่าจะพูดอะไรก็ได้ออกไปโดยไม่คิดนะคะ บางทีคนเราพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด และมันก็ไปทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ คำพูดบางคำใช้เวลาคิดแค่ไม่ถึงเสี้ยวนาที แต่มันอาจทำให้คนฟังจดจำไปคิดเป็นเวลานับสิบปีเลยก็ได้ เราสองคนเองจัดว่าเป็นคนปากร้ายกันทั้งคู่ เราเลยต้องระวังในจุดนี้มากเป็นพิเศษค่ะ วิธีที่ใช้ประจำก็คือเวลาที่คำพูดร้ายๆมันมาจ่อรอที่ปาก ให้กลั้นใจฮึบนึงก่อน แล้วรีบใช้สมองประมวลผลหาคำอะไรก็ได้ที่มันซอฟท์ลงกว่านั้น แม้เพียงสักเสี้ยวเศษก็ยังดีกว่าไม่ได้กรองมันเลยค่ะ ทั้งหมดนี้รวมถึงคำประชดประชัด การขึ้นเสียง การตะคอก และคำหยาบคายทุกประเภทด้วยค่ะ เวลาที่พวกเรามีเรื่องไม่พอใจกันเนี่ย สังเกตตัวเองได้ว่าพูดจากันเพราะกว่าโหมดปกติอีกค่ะ มีจ๊ะจ๋า คะขามากกว่าปกติเยอะเลย แถมน้ำเสียงที่ใช้ก็อ่อนหวานและอ่อนโยนกว่าปกติด้วย เวลาพูดจะอยู่ใกล้กันมาก แทบจะกระซิบเลยทีเดียว ตอนดีๆกันก็จะแบบ เธอ หล่อน ไอ ยู อะไรแบบนี้ค่ะ ลีลาการพูดก็โหวกเหวกโวยวายกว่ากันด้วย
บอกเลิกอย่างเป็นทางการเท่านั้น
เราสองคนเห็นตัวอย่างมาหลายคู่มากค่ะ พวกที่ชอบบอกเลิกจากการประชดเนี่ย คนส่วนมากจะชอบพูดกันว่าอย่าประชดด้วยคำบอกเลิกนะ แม้แต่ในหนังก็ตาม ล่าสุดเราสองคนได้ดู Yes Or No 2 คิมบอกพายว่าอย่าประชดว่าจะเลิกกัน เพราะมันไม่ดี ก่อนจะพูดต้องคิดก่อน แต่กับเราสองคนไม่เคยคิดห้ามกันในเรื่องนี้เลย ทำไมน่ะเหรอ เพราะพวกเราคิดว่าในเวลาที่คนเราโกรธ โมโห ไม่พอใจอไรสักอย่างเนี่ย ความสามารถในการควบคุมความคิดและการแสดงออกต่างๆมันจะลดลง ดังนั้นการพูดอะไรออกมาโดยไม่คิดไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแค่เรามีข้อตกลงที่ว่าหากเราต้องการที่จะเลิกกัน เราจะมาจับเข่าคุยกันอย่างเป็นทางการเท่านั้น จะไม่ใช้วิธีอื่น เพียงแค่นี้เวลาที่ได้ยินคำประชดบอกจะเลิก เราก็จะไม่หวั่นไหวอีกต่อไป ความจริงเราสองคนไม่เคยประชดกันแบบนี้เลยนะ มีแต่ประชดจิกกัดแดกดันแบบเอาฮามากกว่า
ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
สุภาษิตไทยเราคำนี้ยังคงเป็นจริงทุกยุคทุกสมัยค่ะ เวลาที่คู่รักมีปัญหากัน หลายคู่ชอบนำเอาปัญหาที่เกิดขึ้นไปเที่ยวปรึกษาคนนั้นทีคนนี้ที ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท ญาติ หรือแม้แต่คนไม่รู้จักตามเวบบอร์ด อิอิ ซึ่งมันอาจจะดีที่มีคนมาช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา แต่ความจริงแล้วต้นตอของปัญหามันเกิดขึ้นจากคนสองคนเท่านั้น ต้องอย่าลืมในจุดนี้ค่ะ คนอื่นเขาไม่ได้รู้ใน factor ต่างๆแบบที่คุณกำลังเผชิญอยู่ เขาไม่วันที่จะ put themselves in your shoes ได้หรอกค่ะ เรื่องราวปัญหาที่คล้ายกันคนอื่นอาจจะเจอมาบ้าง แต่มันต่างกรรมต่างวาระกัน ตัดสินใจแทนกันไม่ได้ ให้คำแนะนำกันไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ และในหลายๆครั้งคำแนะนำก็จะยิ่งมีแต่ทำปัญหาให้แย่ลงด้วย เพราะฉะนั้นเราสองคนว่าเก็บปัญหาไว้เคลียร์กันเองดีกว่าค่ะ
อย่าโกรธกันข้ามวัน
สำหรับคำแนะนำข้อนี้อาจจะฟังดูอิงศาสนาไปสักหน่อย คริสเตียนส่วนมากจะถูกสอนมาว่าความโกรธนั้นเป็นอะไรที่ฟักตัวไวที่สุด เพียงแค่ข้ามคืนมันก็สามารถฝังรากหยั่งลึกลงไปในจิตใจได้แล้ว หากเพียงเราปล่อยให้มันได้เติบโตในใจแล้วละก็มันยากที่จะถอนออกเลยละค่ะ หยั่งรากเร็ว โตไว ให้ผลไว้ แล้วผลมันนี่รสชาติแย่สุดบรรยายเลยคุณเอ๋ย สิ่งที่เราสองคนทำเป็นประจำก็คือก่อนจะนอน เราจะมีการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันว่าระหว่างเรานั้น ใครได้ทำอะไรให้ไม่เป็นที่พอใจของอีกฝ่ายหรือเปล่า จากนั้นก็จะกล่าวให้อภัยกัน พร้อมทั้งแนะนำหรือสรุปอะไรสั้นๆนิดหน่อย เป็นการเคลียร์สิ่งที่ไม่พอใจที่มันคั่งค้างในใจแต่ละวันออกไปค่ะ ซึ่งความจริงแล้วบางสิ่งที่พูดไปมันไม่ใกล้เคียงกับความโกรธด้วยซ้ำ แต่เราก็ต้องรีบแซะมันออกจากความคิดเสียตั้งแต่เนิ่นๆค่ะ เพื่อป้องกันการฟักตัว
อย่าหันหลังให้กัน
ในขณะที่โกรธกัน ทะเลาะกัน ทุ่มเถียงกัน ขอให้เผชิญหน้ากันเข้าไว้ค่ะ อย่าหันหลังหนีกันโดยเด็ดขาด เพราะอวัจนภาษาของการหันหลังให้กัน ความหมายที่แฝงไว้มันคือการหมดหวังในตัว แสดงถึงความเบื่อหน่ายในตัวค่ะ แม้ว่าในใจคุณตอนที่ทำท่าทางอย่างนั้นจะไม่ได้คิดอะไรเลย แต่มันมาจากจิตใต้สำนึก และผู้รับจะรู้สึกได้แน่นอนค่ะ ท่าทีแบบนี้มันคือการปฏิเสธกันกรายๆ ซึ่งไม่ดีแน่ถ้าคุณยังอยากให้ความสัมพันธ์ของคุณดำเนินต่อไป ความจริงเราเองไม่ถือในเรื่องนี้มากนะคะ เพราะเราเข้าใจดีว่าคนที่อารมณ์รุนแรงมากบางคนเขาชอบหันหลังไปเพื่อสงบสติก่อน แต่แฟนเราทั้งที่เป็นคนอารมณ์รุนแรงและใจร้อนคนนึงกลับไม่เคยที่จะทำแบบนั้นเลย และจะรับไม่ได้เอามากๆด้วยถ้ามีใครทำใส่ เขาบอกว่าการกระทำแบบนั้นคือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงค่ะ
เวลาที่คนเราแสดงออกแบบไม่น่ารัก คือเวลาที่เราต้องการความรักมากที่สุด
ข้อนี้เรียกได้ว่าเป็นไม้ตายเลยค่ะ เราสองคนเชื่อว่าจิตใจคนเราล้วนแล้วแต่อยากจะทำสิ่งดีๆ แสดงออกดีๆกันทั้งนั้นแหละค่ะ และคนเราก็ดำรงอยู่ได้ด้วยความรัก โลกเรานี้ก็ขับเคลื่อนไปด้วยความรัก เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครสักคนเริ่มทำตัวไม่น่ารัก เมื่อนั้นแหละแปลว่าเขากำลังขาดความรัก เขาก็เลยทำอะไรที่มันดูไม่ดีออกมา เป็นการเรียกร้องให้คนเติมความรักให้แก่เขาค่ะ และยิ่งถ้าเป็นคนที่เรารักด้วยแล้ว เราจะใจร้ายไม่เติมความรักให้แก่เขาเลยเชียวเหรอคะ
จะกอดทิฐิหรือกอดคนที่คุณรัก
คำแนะนำนี้คงจะเป็นข้อสุดท้ายแล้วค่ะ ในทุกๆครั้งที่มีปัญหากัน หลายคนใช้ทิฐิเป็นตัวนำ ส่งผลให้เขาทำอะไรหลายอย่างที่รังแต่จะซ้ำเติมปัญหาให้มันแย่ลง ทิฐิก็คืออีโก้อย่างนึง ที่คนเรามักจะคิดว่าตัวเองต้องถูก อีกฝ่ายเป็นคนผิด หรือคิดว่าคนอื่นต้องมาง้อฉันเวลาที่เขาทำผิดต่อฉัน เป็นเหมือนบทลงโทษอย่างหนึ่ง หรือเป็นการแสดงออกถึงความสำนึกผิดของอีกฝ่าย แต่รู้มั้ย การกอดทิฐิเอาไว้ไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ ทำไปทำไม แค่กลัวเสียหน้าเท่านั้นเหรอ ก็เลือกเอาแล้วกันนะว่าจะยอมเสียหน้าหรือเสียคนที่คุณรักไปตลอดกาล ไม่ว่าครั้งใดที่มีปัญหาระหว่างกัน หันมากอดกันดีกว่าค่ะ ถึงแม้จะยังปรับความเข้าใจกันไม่ได้ กอดกันไว้ก่อนเลย อย่างน้อยมันก็จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกับเขาจะผ่านปัญหาครั้งนี้ไปด้วยกัน
จบแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ ปรับตัวออกจากโหมดมีสาระโดยด่วน ไม่ค่อยชินเท่าไหร่เลยเวลาที่ต้องพูดหรือเขียนอะไรที่มีสาระแบบนี้ เพราะปกติเป็นพวกหาสาระไม่ค่อยได้ มีแต่เลวกับแนเนี่ยเยอะมาก ฮ่าๆ ก็เอาเป็นว่าขอให้หนุ่มๆสาวๆชาวสยามมีความสุขกับวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนี้นะคะ ใครที่มีคู่ก็ขอให้รักกันไปนานๆ ผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้แบบสบายๆ จะไม่ขอให้ไม่เจอปัญหานะ เพราะมันเลี่ยงไม่ได้หรอก ส่วนคนที่โสดเราไม่ขอให้ได้คู่นะ แต่ขอให้คุณโสดอย่างมีคุณภาพเพียบพร้อม บ่มเพาะตัวเองเพื่อคนดีๆที่รอคุณอยู่ในวันข้างหน้า ว้ายๆ ลืมตัวเผลอมีสาระอีกแล้ว สุดท้ายนี้ขอฝากเพลงปลอบใจคนโสดเพลงนึงละกัน ลองฟังเนื้อแล้วคิดตามดูดีๆ จะรู้สึกว่าชีวิตโสดยังมีหวังค่ะ ฮ่าๆๆ