มีข่าวมาอีกแล้ว ไอเดียบรรเจิดของหน่วยงานกำกับตลาดหุ้นอย่าง กลต. ตลท. เตรียมงัดมาตรการสกัดความร้อนแรงของหุ้น cash balance ให้วางเงิน 150% ก่อนซื้อ อันนี้เป็นข่าวที่เขาลือกันนะ จะมีมาตรการอะไรออกมาหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ แต่มีการพูดคุยกันระหว่าง 2 หน่วยงานจริง
ความเห็นส่วนตัว
การกำหนดมาตรการอะไร ควรดูภาวะตลาดโดยรวมควบคู่กันไปด้วย ตลาดอยู่ในภาวะกระทิง มันก็ไม่แปลกหากจะมีการเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กๆบางตัว เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าหุ้นขนาดเล็กนั้น ใช้เงินไม่มากก็สามารถไล่ราคาหุ้นได้ การที่ราคาหุ้นเล็กจะแกว่งผันผวนมากกว่าหุ้นใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง "สกัด"
หุ้นหลายตัวมีกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการในอนาคต ที่อาจพลิกกลับมาเป็นบวก หรือที่เรียกกันว่าหุ้น turn around การใช้เกณฑ์ PE 50 เท่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะ PE มันวัดจากผลประกอบการในอดีต แต่ราคาหุ้นมันวิ่งสะท้อนผลประกอบการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เข้าใจว่า กรณีนี้จะ "สกัด" ความร้อนแรงเพื่ออะไร กลัวนักลงทุนรวยเร็วหรืออย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นหุ้น TSF หรือ KAMART เมื่อปีก่อนๆ ที่อยู่ในช่วง turn around แต่ก็โดน cash balance มาแทบจะตลอดทาง แต่ท้ายที่สุดแล้วผลประกอบการมันก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจริงๆ ผมจึงมองว่าการสกัดความร้อนแรงนั้น ไม่สมเหตุสมผล หรือแม้กระทั่ง BLAND ที่บริษัทก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะมีการปรับ BV ซึ่งก็ไม่แปลกหากจะมีการไล่ราคาหุ้นขึ้นไปให้เท่าระดับ Book Value ใหม่ แต่ตลาดกลับมองว่า ไล่ไม่ได้ เทรดคึกคักเกินไป ต้องสกัด
โดยเฉพาะมาตรการที่ลือกันออกมาล่าสุดนี้ บ้าไปแล้ว จะซื้อหุ้นต้องวางเงิน 150% โห มีเงินก็ยังซื้อไม่ได้นะ หุ้นพวกนี้ ถ้าหุ้นพวกนี้เลวจริง ก็ไล่ๆออกไปจากตลาดให้หมดแล้วเหลือหุ้นดีๆอย่าง BANPU เอาไว้ในตลาดละกัน
แล้วเวลาหุ้นลงหนักๆเนี่ย ทำไมไม่สกัดบ้าง เช่น TUF ผลประกอบการก็ยังไม่ออก ปีที่แล้วงบเขาก็ดีนี่นา ทำไมตลาดไม่มองว่ามันลงไม่สอดคล้องกับผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมา ใครมี TUF ให้ขายได้ไม่เกิน 75% ของพอร์ตในหนึ่งวันเพื่อเป็นการสกัดไม่ให้หุ้นลงล่ะ เขามีแต่ต้องสกัดหุ้นลงเพื่อไม่ให้นักลงทุนเจ็บตัว ดันมาสกัดตอนหุ้นขึ้น คิดได้ไงเนี่ย
กลต ตลท สกัดดาวรุ่ง ลือเตรียมบังคับซื้อหุ้น cash balance ให้วางเงิน 150% ก่อนซื้อ
ความเห็นส่วนตัว
การกำหนดมาตรการอะไร ควรดูภาวะตลาดโดยรวมควบคู่กันไปด้วย ตลาดอยู่ในภาวะกระทิง มันก็ไม่แปลกหากจะมีการเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กๆบางตัว เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าหุ้นขนาดเล็กนั้น ใช้เงินไม่มากก็สามารถไล่ราคาหุ้นได้ การที่ราคาหุ้นเล็กจะแกว่งผันผวนมากกว่าหุ้นใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง "สกัด"
หุ้นหลายตัวมีกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการในอนาคต ที่อาจพลิกกลับมาเป็นบวก หรือที่เรียกกันว่าหุ้น turn around การใช้เกณฑ์ PE 50 เท่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะ PE มันวัดจากผลประกอบการในอดีต แต่ราคาหุ้นมันวิ่งสะท้อนผลประกอบการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เข้าใจว่า กรณีนี้จะ "สกัด" ความร้อนแรงเพื่ออะไร กลัวนักลงทุนรวยเร็วหรืออย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นหุ้น TSF หรือ KAMART เมื่อปีก่อนๆ ที่อยู่ในช่วง turn around แต่ก็โดน cash balance มาแทบจะตลอดทาง แต่ท้ายที่สุดแล้วผลประกอบการมันก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจริงๆ ผมจึงมองว่าการสกัดความร้อนแรงนั้น ไม่สมเหตุสมผล หรือแม้กระทั่ง BLAND ที่บริษัทก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะมีการปรับ BV ซึ่งก็ไม่แปลกหากจะมีการไล่ราคาหุ้นขึ้นไปให้เท่าระดับ Book Value ใหม่ แต่ตลาดกลับมองว่า ไล่ไม่ได้ เทรดคึกคักเกินไป ต้องสกัด
โดยเฉพาะมาตรการที่ลือกันออกมาล่าสุดนี้ บ้าไปแล้ว จะซื้อหุ้นต้องวางเงิน 150% โห มีเงินก็ยังซื้อไม่ได้นะ หุ้นพวกนี้ ถ้าหุ้นพวกนี้เลวจริง ก็ไล่ๆออกไปจากตลาดให้หมดแล้วเหลือหุ้นดีๆอย่าง BANPU เอาไว้ในตลาดละกัน
แล้วเวลาหุ้นลงหนักๆเนี่ย ทำไมไม่สกัดบ้าง เช่น TUF ผลประกอบการก็ยังไม่ออก ปีที่แล้วงบเขาก็ดีนี่นา ทำไมตลาดไม่มองว่ามันลงไม่สอดคล้องกับผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมา ใครมี TUF ให้ขายได้ไม่เกิน 75% ของพอร์ตในหนึ่งวันเพื่อเป็นการสกัดไม่ให้หุ้นลงล่ะ เขามีแต่ต้องสกัดหุ้นลงเพื่อไม่ให้นักลงทุนเจ็บตัว ดันมาสกัดตอนหุ้นขึ้น คิดได้ไงเนี่ย