ประเด็นปัญหาของข้อสอบโอเน็ตที่คนส่วนใหญ่หยิบยกกันมาประจานทุกปีมีสาระสำคัญอยู่ที่ไหน?
จุดประสงค์หรือวิธีการ?
เมื่อมองถึงเจตนาแล้ว จุดประสงค์ของการออกข้อสอบโอเน็ตซึ่งเป็นข้อสอบแนวคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งที่น่่าเชื่อถือว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ที่จะให้เยาวชนได้รู้จักการเค้นสมองคิดวิเคราะห์ ใช้ตรรกะหาเหตุผลของคำตอบ มากกว่าการหลับหูหลับตาท่องจำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าสำคัญเข้าห้องสอบโดยหวังว่ามันจะปรากฏเป็นตัวเลือกในคำตอบของคำถามสักข้อ หากไม่ใช่เพราะว่าเราแทบไม่เคยได้ถูกฝึกให้คิดและตั้งคำถามกันตั้งแต่่เด็ก!
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทะเยอทะยาน กระหายใคร่รู้อยู่ในสายเลือด ตั้งแต่เด็กเรามักตั้งคำถามเชิง "เจ้าหนูจำไม" ที่ในสายตาของผู้ใหญ่่มองเป็นเรื่องน่ารำคาญ คำตอบที่ได้รับจึงมักเป็นไปในทาง "ก็มันเป็นของมันแบบนี้แหละ ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไม" (อันที่จริงผู้ใหญ่เองก็อาจไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าทำไม มิใช่ไม่อยากตอบด้วยความรำคาญ)
ครั้นถึงวัยเรียน เราถูกสอนให้ "เชื่อฟัง"คำสอน ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการไม่ทำตัวดื้อด้านแล้ว ยังหมายถึงจงเชื่อในสิ่งที่ครูบอกอย่างไม่มีข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัย (เพราะถึงเธอโต้แย้งเธอก็ไม่สามารถเอาชนะคุณครูผู้ถือว่าตนเองครอบครององค์ความรู้และประสบการณ์ที่สูงกว่า) นั่นทำให้นักเรียนถูกฝึกมาให้เป็น passive learner มากกว่าจะเป็น active learner ที่รู้จักตั้งคำถาม มีความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ และคิดวิเคราะห์เป็นด้วยตัวเอง มิพักต้องกล่าวถึงการที่นักเรียนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องเรียน การออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ให้เวลากับการค้นคว้าหรือทำกิจกรรมตามความถนัด ไม่ใช่สิ่งที่ระบบการศึกษาไทยพึงให้ความสำคัญ
มองในแง่ที่เลวร้ายที่สุด หรือนี่จะเป็นระบบที่ชนชั้นปกครองสร้างไว้ เพื่อครอบงำประชาชนไม่ให้หือรือดื้อด้าน ก้มหน้าก้มตาเชื่อตามสิ่งที่ฝ่ายปกครองยัดเยียดให้อย่างเต็มใจโดยไม่ต้องตั้งคำถาม แน่นอนว่าคนโง่ย่อมปกครองง่ายกว่าคนฉลาด!
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นัก หากจะโทษนักเรียนว่า ขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์
และหากจะให้ยุติธรรมจริงๆ ก็ต้องมองในอีกแง่ว่า กระบวนการออกข้อสอบและวัดผลนั้นน่าเชื่อถือและสมเหตุสมผลมากแค่ไหน
แน่นอนว่าเจตนาการฝึกให้เด็กทำข้อสอบคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งที่ดีกว่าการให้เด็กจำคำตอบมาตอบ แต่การฟันธงว่าคำตอบที่ถูกต้องที่สุดมีเพียงข้อเดียว(ตามวิจารณญาณของผู้ออกข้อสอบ ไม่ใช่ตาม"สัจธรรม"ซึ่งสามารถพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้) เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เมื่อโลกทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ขาวกับดำ
การเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมายสมควรหรือไม่? แล้วถ้าสมควรแล้ว การค้าประเวณี ค้ายาเสพติดล่ะสมควรทำให้ถูกกฎหมายด้วยหรือไม่ในเมื่อเป็นอบายมุขไม่ต่างกัน? หรือการทำแท้งควรเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้หรือไม่? อะไรคือมาตรวัดระดับความเลวความชั่ว ชั่วแค่ไหนถึงรับได้? แค่ไหนรับไม่ได้? อะไรคือสิ่งที่เหมาะสม แม้แต่ผู้ใหญ่ยังตอบให้ตรงกันไม่ได้
แล้วจะเอาเรื่องสีเทาพวกนี้ไปให้เด็กตอบให้ตรงกับความคิดตนอย่างนั้นหรือ?
มองให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็จะพบว่า ผู้สอบข้อสอบเองก็มาจากระบบการศึกษาที่ผู้เรียนไม่ได้ถูกฝึกให้คิดวิเคราะห์เช่นเดียวกัน! ลักษณะข้อสอบที่ออกมาจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลพวกของระบบนี้ทางอ้อม
แต่ถ้าพยายามมองในแง่ดี มีทางไหนไหมที่จะช่วยให้สามารถวัดผลให้ดีกว่านี้ได้ เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะให้คะแนนเรียงตามความ(น่าจะ)เหมาะสมของคำตอบจากมากสุดไปน้อยสุดเป็น 5 ถึง 0 แทนที่จะฟันธงคำตอบเป็น 1 หรือ 0 คะแนนเพียงแค่นั้น? (บางคนก็อาจแย้งได้ว่า แล้วจะเอาอะไรมาวัดว่าข้อใดเหมาะสมมากกว่าข้อใด เหมาะสมมากกว่าน้อยกว่ากันเท่าไหร่ อันนี้ก็อาจจะอยู่ที่กลวิธีการออกคำถามและคำตอบของผู้ออกข้อสอบ)
เพราะคำตอบก็ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ
หากเรายังได้แต่ถกเถียงหาคนผิดจากระบบข้อสอบว่ามาจากผู้ออกข้อสอบที่ออกข้อสอบกำกวม มีระบบวัดผลที่ไม่ยุติธรรม หรืิอจากตัวเด็กที่ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ให้ดีเอง ทั้งๆที่หากวิเคราะห์ให้ดีก็จะเห็นคำตอบที่เหมาะสมอยู่ในตัวเลือกเอง แทนที่จะร่วมมือหาวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและปลายเหตุไปพร้อมๆกัน...
เราก็คงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งเสียงก่นด่าล้อเลียนตัวอย่างข้อสอบแบบนี้กันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบสิ้นกันอีกนานเท่านาน...
++ปัญหาที่แท้จริงของการสอบโอเน็ต++
จุดประสงค์หรือวิธีการ?
เมื่อมองถึงเจตนาแล้ว จุดประสงค์ของการออกข้อสอบโอเน็ตซึ่งเป็นข้อสอบแนวคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งที่น่่าเชื่อถือว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ที่จะให้เยาวชนได้รู้จักการเค้นสมองคิดวิเคราะห์ ใช้ตรรกะหาเหตุผลของคำตอบ มากกว่าการหลับหูหลับตาท่องจำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าสำคัญเข้าห้องสอบโดยหวังว่ามันจะปรากฏเป็นตัวเลือกในคำตอบของคำถามสักข้อ หากไม่ใช่เพราะว่าเราแทบไม่เคยได้ถูกฝึกให้คิดและตั้งคำถามกันตั้งแต่่เด็ก!
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทะเยอทะยาน กระหายใคร่รู้อยู่ในสายเลือด ตั้งแต่เด็กเรามักตั้งคำถามเชิง "เจ้าหนูจำไม" ที่ในสายตาของผู้ใหญ่่มองเป็นเรื่องน่ารำคาญ คำตอบที่ได้รับจึงมักเป็นไปในทาง "ก็มันเป็นของมันแบบนี้แหละ ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไม" (อันที่จริงผู้ใหญ่เองก็อาจไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าทำไม มิใช่ไม่อยากตอบด้วยความรำคาญ)
ครั้นถึงวัยเรียน เราถูกสอนให้ "เชื่อฟัง"คำสอน ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการไม่ทำตัวดื้อด้านแล้ว ยังหมายถึงจงเชื่อในสิ่งที่ครูบอกอย่างไม่มีข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัย (เพราะถึงเธอโต้แย้งเธอก็ไม่สามารถเอาชนะคุณครูผู้ถือว่าตนเองครอบครององค์ความรู้และประสบการณ์ที่สูงกว่า) นั่นทำให้นักเรียนถูกฝึกมาให้เป็น passive learner มากกว่าจะเป็น active learner ที่รู้จักตั้งคำถาม มีความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ และคิดวิเคราะห์เป็นด้วยตัวเอง มิพักต้องกล่าวถึงการที่นักเรียนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องเรียน การออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ให้เวลากับการค้นคว้าหรือทำกิจกรรมตามความถนัด ไม่ใช่สิ่งที่ระบบการศึกษาไทยพึงให้ความสำคัญ
มองในแง่ที่เลวร้ายที่สุด หรือนี่จะเป็นระบบที่ชนชั้นปกครองสร้างไว้ เพื่อครอบงำประชาชนไม่ให้หือรือดื้อด้าน ก้มหน้าก้มตาเชื่อตามสิ่งที่ฝ่ายปกครองยัดเยียดให้อย่างเต็มใจโดยไม่ต้องตั้งคำถาม แน่นอนว่าคนโง่ย่อมปกครองง่ายกว่าคนฉลาด!
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นัก หากจะโทษนักเรียนว่า ขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์
และหากจะให้ยุติธรรมจริงๆ ก็ต้องมองในอีกแง่ว่า กระบวนการออกข้อสอบและวัดผลนั้นน่าเชื่อถือและสมเหตุสมผลมากแค่ไหน
แน่นอนว่าเจตนาการฝึกให้เด็กทำข้อสอบคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งที่ดีกว่าการให้เด็กจำคำตอบมาตอบ แต่การฟันธงว่าคำตอบที่ถูกต้องที่สุดมีเพียงข้อเดียว(ตามวิจารณญาณของผู้ออกข้อสอบ ไม่ใช่ตาม"สัจธรรม"ซึ่งสามารถพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้) เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เมื่อโลกทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ขาวกับดำ
การเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมายสมควรหรือไม่? แล้วถ้าสมควรแล้ว การค้าประเวณี ค้ายาเสพติดล่ะสมควรทำให้ถูกกฎหมายด้วยหรือไม่ในเมื่อเป็นอบายมุขไม่ต่างกัน? หรือการทำแท้งควรเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้หรือไม่? อะไรคือมาตรวัดระดับความเลวความชั่ว ชั่วแค่ไหนถึงรับได้? แค่ไหนรับไม่ได้? อะไรคือสิ่งที่เหมาะสม แม้แต่ผู้ใหญ่ยังตอบให้ตรงกันไม่ได้
แล้วจะเอาเรื่องสีเทาพวกนี้ไปให้เด็กตอบให้ตรงกับความคิดตนอย่างนั้นหรือ?
มองให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็จะพบว่า ผู้สอบข้อสอบเองก็มาจากระบบการศึกษาที่ผู้เรียนไม่ได้ถูกฝึกให้คิดวิเคราะห์เช่นเดียวกัน! ลักษณะข้อสอบที่ออกมาจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลพวกของระบบนี้ทางอ้อม
แต่ถ้าพยายามมองในแง่ดี มีทางไหนไหมที่จะช่วยให้สามารถวัดผลให้ดีกว่านี้ได้ เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะให้คะแนนเรียงตามความ(น่าจะ)เหมาะสมของคำตอบจากมากสุดไปน้อยสุดเป็น 5 ถึง 0 แทนที่จะฟันธงคำตอบเป็น 1 หรือ 0 คะแนนเพียงแค่นั้น? (บางคนก็อาจแย้งได้ว่า แล้วจะเอาอะไรมาวัดว่าข้อใดเหมาะสมมากกว่าข้อใด เหมาะสมมากกว่าน้อยกว่ากันเท่าไหร่ อันนี้ก็อาจจะอยู่ที่กลวิธีการออกคำถามและคำตอบของผู้ออกข้อสอบ)
เพราะคำตอบก็ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ
หากเรายังได้แต่ถกเถียงหาคนผิดจากระบบข้อสอบว่ามาจากผู้ออกข้อสอบที่ออกข้อสอบกำกวม มีระบบวัดผลที่ไม่ยุติธรรม หรืิอจากตัวเด็กที่ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ให้ดีเอง ทั้งๆที่หากวิเคราะห์ให้ดีก็จะเห็นคำตอบที่เหมาะสมอยู่ในตัวเลือกเอง แทนที่จะร่วมมือหาวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและปลายเหตุไปพร้อมๆกัน...
เราก็คงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งเสียงก่นด่าล้อเลียนตัวอย่างข้อสอบแบบนี้กันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบสิ้นกันอีกนานเท่านาน...