ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ค่อนข้างกะทันหัน ไม่ใช่กะทันหันเพราะเราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่กะทันหันเพราะเราเลื่อนวันเข้ามา จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปเยือนเมืองที่ขึ้นชื่อว่าหนาวที่สุดในประเทศจีนหลังเทศกาลสำคัญของคนจีน แต่ด้วยคำบอกเล่าจากผู้มีประสบการณ์ที่เตือนว่าน้ำแข็งอาจเริ่มละลาย หิมะที่ตั้งใจไปดูอาจไม่สวยอย่างที่คิด ถ้าเราไปช้า การเดินทางจึงต้องเลื่อนขึ้นมาเป็น29ม.ค.- 1ก.พ. ในช่วงของการแพลนที่พัก การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวเป็นอะไรที่ค่อนข้างปวดหัวมาก
ว่ากันด้วยเรื่องที่พักที่จองทางอินเตอร์เน็ตหลายที่ จองไปแล้วได้รับการโทรมาปฏิเสธเพราะเราโรงแรมไม่รับชาวต่างชาติ!!!และเนื่องจากเป็นเทศกาลเมืองน้ำแข็งพอดีหลายๆโรงแรมที่รับชาวต่างชาติเข้าพัก รวมถึงยูสโอเทล(ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่ชอบการเดินทางแบบแบ็คแพ็ค) ก็เต็มหมด ดังนั้นเราจึงไม่กล้าจองตั๋วเดินทาง เพราะถ้าไปแล้วไม่มีที่พักเราเสี่ยงเกินไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล โชคดีที่แน็ค หนึ่งในเพื่อนร่วมทางของเราจองโรมแรมได้ เราเลยเบาใจไปเรื่องนึง พอได้ที่พักแล้ว เราเลยรีบไปจองตั๋วรถไฟ
ก่อนหน้าที่เราจะจองตั๋วรถไฟ ก็เลียบๆเคียงๆถามราคาตั๋วมาก่อนแล้ว พนักงานขายตั๋วบอกเราว่าสามารถจองก่อนได้สิบวัน เราก็เป๊ะๆเลย ก่อนไปสิบวัน เราไปที่เคาเตอร์จองตั๋ว ปรากฎว่าไม่มีตั๋วนอน !!! เหลือแต่ตั๋วนั่งแบบเบาะแข็ง สอบถามได้ความว่า คนจีนส่วนใหญ่จองล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะเปิดขายก่อน18วันก่อนการดินทาง แม่เจ้า!บทเรียนใหม่ค๊า แต่เราไม่มีทางเลือก นั่งก็นั่ง และเนื่องจากเราจำต้องเริ่มเที่ยววันที่ 29ม.ค. เราเลยต้องออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 27ม.ค. ตกลงตั๋วเลยได้เป็นวันที่ 27 ขากลับเราเลยรีบจองทางโทรศัพท์(เปิดจองพร้อมอินเอตร์เน็ต) ข้อเสียคือเราไม่สามารถเลือกเตียงได้ ว่าจะเป็นบน ล่าง หรือกลาง แต่ก็ยังดีกว่านั่ง
เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เราได้รับคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ทั้งพี่เม้ย (แบ็คแพ็คตัวฉกาจ)และยูมิโกะ(เพื่อนญี่ปุ่นที่เคยไปพรีฮันนีมูนที่นั่น) และอีกหลายๆคน ซึ่งจะให้เอ่ยคงไม่หมด ขอบคุณตรงนี้เลยนะคะ
นี่คือการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง...
... และเมื่อวันเดินทางมาถึง
เราออกเดินทางกันตอน22.30น.จากหอ เพราะรถไฟจากหังโจวไปฮาร์บินมีเพียงวันละ1รอบเท่านั้นคือเที่ยวที่1470 ตอน 23.50น. ระยะเวลา 35ชม.กว่าๆ (เอ่อ ระยะเวลาเดินทางจริงๆก็40ชม.แหละ) ซึ่งจะถึงฮาร์บินวันที่ 29ม.ค. ตอนบ่ายสามครึ่ง ระหว่างการเดินทางเราสังเกตได้ว่ายิ่งขึ้นเหนือเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น สังเกตได้จาก แม่น้ำแต่ละสาย ยิ่งเหนือน้ำก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง พื้นดินปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ น้ำแข็ง ไอน้ำที่เกาะกระจกก็กลายเป็นน้ำแข็งด้วย
29ม.ค. ตอนบ่ายสามครึ่ง ตรงเวลามากๆ รถไฟก็จอดที่สถานีฮาร์บินพอดี หลังจากพวกเราลงจากรถไฟแล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือโรงแรมไอบิส(ibis宜必思兆麟街92号) หลังจากดูสายรถเมล์แล้วพบว่า ขึ้นสายอะไรก็ได้ที่สามารถลงที่ป้าย中国人寿保险公司ได้ รถเมล์ที่นี่ถูกมาก เพียง 1 หยวนเท่านั้น ถ้าขึ้นแท็กซี่ก็สตาร์ทที่ 8 หยวน ไปถึงโรงแรมก็ 8 หยวน เพราะไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก พวกเราเก็บของเสร็จ พักเหนื่อยแล้วก็ออกไปดินเล่นสำรวจเมือง พบว่า 5 โมงเย็น ฟ้ามืดเหมือน3ทุ่ม อากาศเย็นมาก เอามืออกจากถุงมือเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น มือแข็งชา ไร้ความรู้สึกอย่างรวดเร็ว พวกเราเลยได้แค่ถ่ายรูปโบสถ์เซนต์โซเฟียยามค่ำคืนเท่านั้นก็ต้องรีบหาที่เข้านั่งคลายหนาวแล้ว วันแรกเลยได้แค่รูปเล็กน้อยเท่านั้น
วันที่สองของการท่องเที่ยว พวกเราสมทบกับกลุ่มของแน็คแล้ว และตกลงกันว่าจะเที่ยวในเมืองตอนเช้า และไปยลเมืองน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เค้าคุยกันไว้แบบนั้น) ตอนกลางคืน เนื่องจากพวกเรามีกันทั้งหมด 6 คนดังนั้นการนั่งรถเมล์หรือเรียกแท็กซี่จึงไม่สะดวกเท่าที่ควร พวกเราเลยเหมารถแบบทั้งวัน ผ่านทางโรงแรม วันละ 450 หยวน สถานที่แรกของเราคือตั้งใจจะไป太阳岛公园 ซึ่งเป็นที่จัดแสดงหิมะแกะสลัก雪博会 แต่รถรับจ้างที่เราเหมาแนะนำ哈尔滨极地馆 พิพิธภัณฑ์แสดงสัตว์ขั้วโลก ค่าเข้า 130 หยวน บัตรนักเรียนลดไม่ได้ ตอนแรกคิดจะถอดใจเหมือนกัน แต่เห็นโฆษณาทั่วเมือง ท่าทางจะไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ เลยลองซักตั้ง เข้าไปก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สิ่งที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น ทั้งวาฬขาว หมีขั้วโลก เพนกวิน สิงโตทะเล ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม หลังดูการแสดงจุ๊บวาฬและการแสดงสิงโตทะเลแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง太阳岛公园 ที่เป็นจุดหมายแรกเริ่มของเรา ที่นี่มีเทศกาลแสดงหิมะแกะสลัก ค่าเข้า 120 หยวน (อันนี้ใช้ตั๋วนักเรียนลดแล้วนะ) ไม่เข้าไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของการมาเยือนฮาร์บินครั้งนี้ของเรา สิ่งที่ต้อนรับเราตั้งแต่ข้ามสะพานเลยคือแม่น้ำ(แข็ง) มีหิมะปกคลุมจนขาวไปหมด สามารถเดินข้ามได้สบายๆ (จะว่าไปแล้วแม่น้ำทุกสายที่นี่ก็กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแหละ) เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ทุกจุดกลายเป็นสีขาวไปหมด ในสวนสาธารณะนี้มีแต่รูปแกะสลักหิมะที่อลังการทุกชิ้น หลายชิ้นที่ใหญ่กว่าบ้านที่เราอยู่ซะอีก น่าทึ่งมาก นอกจากหิมะแกะสลักแล้ว ที่นี่ยังมีสุนัขลากเลื่อนให้เรานั่งเล่นๆด้วย แต่เสียเงินตั้ง 30 หยวนไม่เอาดีกว่า... จากสวนสาธารณะ เราตั้งใจว่าจะไปสวนเสือ ซึ่งมีเสือไซบีเรียที่หาดูยาก แต่ดูจากรีวิวแล้ว มีการซื้อสัตว์เป็นๆ เลี้ยงเสือ เห็นจะโหดเกินไป คิดไปคิดมา เสียเงินเข้าก็ตั้ง 90 หยวนเพื่อไปดูเสือตะปบเหยื่อ เห็นจะไม่ไหว เราเลยเปลี่ยนใจ ไปหาของกินอร่อยๆ ดีกว่า ตอนแรกคนขับรถแนะนำเราให้ไปกินอาหารจำพวกปลา เราเข้าไปแล้วทางร้านให้เราชี้ปลาเป็นๆเลย แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ราคาประมาณ 88-128 หยวน / ครึ่งโล ปลาตัวนึงหนัก 2 โลอัพ ไม่ไหว พวกเราเลยถอยกรูด ไปจบด้วยอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี หลังจากท้องอิ่ม กองทัพก็เดินต่อ จุดหมายต่อไปคือ เทศกาลเมืองน้ำแข็งที่พวกเรารอคอย อันนี้ค่าเข้า 160 หยวน ใช้บัตรนักเรียนลด จากราคาเต็ม 330 หยวน ด้านในงานเต็มไปด้วยประติมากรรมที่สร้างจากน้ำแข็ง บวกกับแสงไฟที่สวยงามแล้ว ทำให้เมืองน้ำแข็งกลายเป็นเมืองในเทพนิยาย ตรงกับคอนเซปต์ของงานปีนี้เลย หลังจากเที่ยวกันจนอิ่มแล้ว ก็กลับที่พัก เพื่อเอาแรงสำหรับเล่นสกีในวันถัดไป
วันที่สามของการเดินทางหลังจากที่เราจองทัวร์ก่อนหน้า 1 วัน ในราคา 130 หยวน เราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไป亚布力หมู่บ้านสกีที่เคยใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาแล้ว จากเมืองฮาร์บิน เดินทางไปหมู่บ้านสกีใช้เวลาประมาณ 3 ชม.กว่าๆ ระหว่างทางไกด์จีนก็บรรยายเกี่ยวกับการเล่นสกีแนะนำนู่นนี่นั่น เพื่อหว่านล้อมให้เราเช่าชุดสกี ตรงนี้ขอนิด มันหว่านล้อมแบบยกเหตุผลร้อยแปด บอกว่าไม่เช่าชุดสกี ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร แต่บรรยายสรรพคุณของชุดครึ่งชม. คนจีนส่วนใหญ่บนรถก็เชื่อ เช่าชุดมา โชคดีที่พวกเราเตรียมตัวมาก่อน ฟังเรื่องเล่าจากคนที่เคยเล่นมาแล้วเยอะ เลยไม่ได้เช่า ซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นเลย ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่าถ้าเชื่อไกด์จีนทุกเรื่อง เงินที่หมดไป อย่างน้อยๆต้อง 1000 หยวน แน่ๆ (ค่าเช่าชุดสกี 100 หยวน มัดจำ 300 หยวน ค่าเช่าแว่น 50 หยวน มัดจำ 200 หยวน แล้วยังมีกิจกรรมเล่นนู่นนี่นั่นอีก 500 หยวน) ธุรกิจมากๆ พวกเราไม่เอาซักอย่าง หลังจากที่ไกด์มาคะยั้นคะยอให้เราซื้ออะไรพวกนี้ไม่สำเร็จ มันก็ไม่สนใจพวกเราอีกเลย พวกเราก็เลยโดนปล่อยทิ้งไว้ให้รออยู่ที่ลานสกี 2 ชม. แต่ไม่ว่างเปล่า แน็ค พี่อ๋อง และพี่รัน เพื่อนร่วมทริปเลยไปเช่าอุปกรณ์มาเล่นเอง คนละ 120 หยวน แต่เนื่องจากทุกคนเห็นว่าถ้าเล่นเองจะยากเกินไป เลยจ้างครูมาฝึกสอน อีกคนละ 240 หยวน รอบบนี้พวกเราอีกสามคน ไม่ได้เล่น เพราะตั้งใจว่าจะรอเล่นพร้อมทัวร์ที่พาลูกทัวร์คนอื่นไปทำกิจกรรมที่เสีย 500 หยวน พอทัวร์กลับมา ก็ถึงเวลาที่เราได้เล่นสกี รองเท้าสกีมีให้เลือกสองแบบ 120 หยวนคือแบบธรรมดา อีกแบบคือ 180 หยวน ดีกว่า ลื่นกว่า ทัวร์ที่พวกเราไปให้ใช้แบบ 180 หยวน ก็ถือว่าโอเค (เราเสียค่าทัวร์ไป 130 หยวน รวมค่ารถ ค่าอาหารกลางวัน ค่าเล่นสกี คุ้มมาก มิน่า ไกด์มันถึงไม่พอใจที่เราไม่ซื้ออะไรเลย ) การเล่นสกีถือว่าค่อนข้างยาก เพราะถ้าไม่รู้หลัก ก็ลื่นล้มเอาง่ายๆ จากประสบการณ์ตรง และการเรียนรู้จากคำบอกเล่าพบว่าจุดศูนย์ถ่วงเป็นสิ่งสำคัญ รอบแรกนึกว่าจะล้ม แต่ก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย ชักเริ่มสนุก ขนรองเท้าขึ้นไปใส่ด้านบน ลื่นลงรอบสองยิ่งสนุก แต่อุปสรรคตัวสำคัญคือ รองเท้า และแผ่นกระดานสกี หนักมาก แบกขึ้นไปเหนื่อย แม่เจ้า เหงื่อออกท่ามกลางหิมะ จะรอขึ้นไปกับเคเบิลก็นาน ไม่อยากต่อคิว เลยต้องแบกเอง เล่นได้ 4-5 รอบก็หมดเวลา
ขากลับเข้าเมือง หลังจากที่นั่งรถไปได้ซักพัก ไกด์ประกาศแจ้งว่าทางด่วนกลับเมืองถูกน้ำแข็งเกาะเต็มถนน และลื่นมาก รถไม่สามารถขับไปได้ มีสามทางเลือกให้เราตัดสินใจ คือ 1. นอนบนรถ รอถึงเช้า แล้วกลับเข้าเมือง 2.นั่งรถไฟกลับเข้าเมือง ตั๋วราคา 32.50 หยวน 3.หาโรงแรมในเมืองสกีนอน ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ถ้ามีค่าใช้จ่าย เราต้องออกเอง แม่เจ้า ไม่รู้จะว่าไง เพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เมื่อเราเลือกว่าจะนั่งรถไฟกลับฮาร์บินแล้ว เราก็ไปซื้อตั๋ว ซึ่งต้องรอถึง 19.11 น. เรามีเวลา ประมาณ 2 ชม. จึงเดินออกไปหาของกิน จบที่ปิ้งย่างไสตล์จีน ข้างๆสถานีรถไฟ อันนี้ก็โดนอีกดอก เนื่องจากปลาหมึกย่างที่หังโจวมักจะมาแต่หนวด หรือไม่ก็เนื้อชิ้นเล็ก เราเลยเข้าใจว่าเหมือนกัน สั่งเลยทีเดียว ปลาหมึก 6 ไม้ แต่ที่นี่ย่างปลาหมึกกันทั้งตัว กินกันไม่หมดเลยต้องแพ็คกลับไปกินต่อ กินเสร็จก็พอดีเวลารถ วันนี้เป็นการเดินทางที่เหนื่อยมาก จากที่ตั้งใจจะถึงที่พักตอนทุ่มกว่าๆ กว่าจะถึงฮาร์บินก็เที่ยงคืนแล้ว
วันสุดท้ายของการเที่ยว วันนี้เป็นการเดินช็อปของฝากที่ถนน中央大街 เช้าวันนี้อากาศหนาวมาก เนื่องจากฝนที่ตกเมื่อวาน เค้าว่ากันว่า หิมะตกไม่หนาว หิมะละลายถึงหนาว อันนี้ก็น่าจะเป็นทฤษฎีเดียวกัน อากาศหนาวสุดๆ หนาวเหมือนมีเข็มทิ่มบนหน้าตลอดเวลา แต่เราก็ยังเดินเที่ยวกันแบบไม่เกรงใจอากาศ เพราะเดินข้างนอก สิบนาที หลบเข้าตึกสิบนาที การเดินที่นี่ค่อนข้างอันตราย เพราะพื้นถนนเหมือนฉาบไปด้วยน้ำแข็ง การลื่นล้มจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก และไม่มีใครสนใจ หลังจากช็อปเสร็จแล้ว(จนทนอากาศหนาวไม่ไหว) เราก็เลยกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมแล้วไปรอรถไฟกลับหังโจว (เที่ยวที่ 1472 เวลา 20.47น.)
ข้อแนะนำของการไปเที่ยวฮาร์บิน
1. ควรใช้กระเป๋าลาก เพราะตอนแรกพวกเราเห็นว่าเมืองนี้น่าจะมีแต่หิมะ การลากกระเป๋าไม่น่าจะสะดวก แต่พอไปถึงแล้วพบว่ามันไม่ใช่หิมะ แต่เป็นน้ำแข็ง เลยลื่นมาก การสะพายกระเป๋าเลยค่อนข้างถ่วงให้เราลื่นได้ง่ายขึ้น แต่กระเป๋าลากจะช่วยให้เราลื่นน้อยลง เพราะเหมือนเรามีไม้เท้าค้ำไว้อีกแรง
2. ผลไม้ชุบน้ำเชื่อมหรือ糖葫芦ของที่นี่ หรือจะบอกว่าของภาคเหนือ อร่อยมาก ไม่ควรพลาด มีขายทั่วไป แต่ควรซื้อในเมือง ไม้เดียวแบ่งกันกินก็พอ เพราะถ้าซื้อกินคนละไม้จะเลี่ยนเกินไป ทำให้รู้สึกว่าความอร่อยลดลง
3. ปิ้งย่างที่นี่อร่อยกว่าปิ้งย่างทางใต้ ควรลองอีกเหมือนกัน ทั้งรสชาติที่กลมกล่อมกำลังพอดี ไม่เผ็ดเกินไปและไม่มันเกินไป โดยเฉพาะเนื้อแกะย่าง ควรลอง
4. การเดินทางไปเล่นสกี ไม่จำเป็นต้องเช่าชุด หรือแว่น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไกด์แนะนำแล้วต้องเสียเงินมากกว่าที่เราจ่ายไปแล้ว
5. ถุงแปะตัวให้ความร้อน เป็นสิ่งจำเป็นในการเที่ยวที่ฮาร์บิน ควรใช้เป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะที่เท้า
6. รองเท้าที่ใส่ควรเป็นรองเท้าบุขนด้านใน พื้นรองเท้าต้องเป็นแบบกันลื่น มีแรงเสียดทานสูง เพราะโอกาสในการลื่นล้มสูงมาก
[CR] เทศกาลแกะสลักหิมะ และเมืองน้ำแข็ง ฮาร์บิน
ว่ากันด้วยเรื่องที่พักที่จองทางอินเตอร์เน็ตหลายที่ จองไปแล้วได้รับการโทรมาปฏิเสธเพราะเราโรงแรมไม่รับชาวต่างชาติ!!!และเนื่องจากเป็นเทศกาลเมืองน้ำแข็งพอดีหลายๆโรงแรมที่รับชาวต่างชาติเข้าพัก รวมถึงยูสโอเทล(ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่ชอบการเดินทางแบบแบ็คแพ็ค) ก็เต็มหมด ดังนั้นเราจึงไม่กล้าจองตั๋วเดินทาง เพราะถ้าไปแล้วไม่มีที่พักเราเสี่ยงเกินไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล โชคดีที่แน็ค หนึ่งในเพื่อนร่วมทางของเราจองโรมแรมได้ เราเลยเบาใจไปเรื่องนึง พอได้ที่พักแล้ว เราเลยรีบไปจองตั๋วรถไฟ
ก่อนหน้าที่เราจะจองตั๋วรถไฟ ก็เลียบๆเคียงๆถามราคาตั๋วมาก่อนแล้ว พนักงานขายตั๋วบอกเราว่าสามารถจองก่อนได้สิบวัน เราก็เป๊ะๆเลย ก่อนไปสิบวัน เราไปที่เคาเตอร์จองตั๋ว ปรากฎว่าไม่มีตั๋วนอน !!! เหลือแต่ตั๋วนั่งแบบเบาะแข็ง สอบถามได้ความว่า คนจีนส่วนใหญ่จองล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะเปิดขายก่อน18วันก่อนการดินทาง แม่เจ้า!บทเรียนใหม่ค๊า แต่เราไม่มีทางเลือก นั่งก็นั่ง และเนื่องจากเราจำต้องเริ่มเที่ยววันที่ 29ม.ค. เราเลยต้องออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 27ม.ค. ตกลงตั๋วเลยได้เป็นวันที่ 27 ขากลับเราเลยรีบจองทางโทรศัพท์(เปิดจองพร้อมอินเอตร์เน็ต) ข้อเสียคือเราไม่สามารถเลือกเตียงได้ ว่าจะเป็นบน ล่าง หรือกลาง แต่ก็ยังดีกว่านั่ง
เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เราได้รับคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ทั้งพี่เม้ย (แบ็คแพ็คตัวฉกาจ)และยูมิโกะ(เพื่อนญี่ปุ่นที่เคยไปพรีฮันนีมูนที่นั่น) และอีกหลายๆคน ซึ่งจะให้เอ่ยคงไม่หมด ขอบคุณตรงนี้เลยนะคะ
นี่คือการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง...
... และเมื่อวันเดินทางมาถึง
เราออกเดินทางกันตอน22.30น.จากหอ เพราะรถไฟจากหังโจวไปฮาร์บินมีเพียงวันละ1รอบเท่านั้นคือเที่ยวที่1470 ตอน 23.50น. ระยะเวลา 35ชม.กว่าๆ (เอ่อ ระยะเวลาเดินทางจริงๆก็40ชม.แหละ) ซึ่งจะถึงฮาร์บินวันที่ 29ม.ค. ตอนบ่ายสามครึ่ง ระหว่างการเดินทางเราสังเกตได้ว่ายิ่งขึ้นเหนือเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น สังเกตได้จาก แม่น้ำแต่ละสาย ยิ่งเหนือน้ำก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง พื้นดินปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ น้ำแข็ง ไอน้ำที่เกาะกระจกก็กลายเป็นน้ำแข็งด้วย
29ม.ค. ตอนบ่ายสามครึ่ง ตรงเวลามากๆ รถไฟก็จอดที่สถานีฮาร์บินพอดี หลังจากพวกเราลงจากรถไฟแล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือโรงแรมไอบิส(ibis宜必思兆麟街92号) หลังจากดูสายรถเมล์แล้วพบว่า ขึ้นสายอะไรก็ได้ที่สามารถลงที่ป้าย中国人寿保险公司ได้ รถเมล์ที่นี่ถูกมาก เพียง 1 หยวนเท่านั้น ถ้าขึ้นแท็กซี่ก็สตาร์ทที่ 8 หยวน ไปถึงโรงแรมก็ 8 หยวน เพราะไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก พวกเราเก็บของเสร็จ พักเหนื่อยแล้วก็ออกไปดินเล่นสำรวจเมือง พบว่า 5 โมงเย็น ฟ้ามืดเหมือน3ทุ่ม อากาศเย็นมาก เอามืออกจากถุงมือเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น มือแข็งชา ไร้ความรู้สึกอย่างรวดเร็ว พวกเราเลยได้แค่ถ่ายรูปโบสถ์เซนต์โซเฟียยามค่ำคืนเท่านั้นก็ต้องรีบหาที่เข้านั่งคลายหนาวแล้ว วันแรกเลยได้แค่รูปเล็กน้อยเท่านั้น
วันที่สองของการท่องเที่ยว พวกเราสมทบกับกลุ่มของแน็คแล้ว และตกลงกันว่าจะเที่ยวในเมืองตอนเช้า และไปยลเมืองน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เค้าคุยกันไว้แบบนั้น) ตอนกลางคืน เนื่องจากพวกเรามีกันทั้งหมด 6 คนดังนั้นการนั่งรถเมล์หรือเรียกแท็กซี่จึงไม่สะดวกเท่าที่ควร พวกเราเลยเหมารถแบบทั้งวัน ผ่านทางโรงแรม วันละ 450 หยวน สถานที่แรกของเราคือตั้งใจจะไป太阳岛公园 ซึ่งเป็นที่จัดแสดงหิมะแกะสลัก雪博会 แต่รถรับจ้างที่เราเหมาแนะนำ哈尔滨极地馆 พิพิธภัณฑ์แสดงสัตว์ขั้วโลก ค่าเข้า 130 หยวน บัตรนักเรียนลดไม่ได้ ตอนแรกคิดจะถอดใจเหมือนกัน แต่เห็นโฆษณาทั่วเมือง ท่าทางจะไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ เลยลองซักตั้ง เข้าไปก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สิ่งที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น ทั้งวาฬขาว หมีขั้วโลก เพนกวิน สิงโตทะเล ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม หลังดูการแสดงจุ๊บวาฬและการแสดงสิงโตทะเลแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง太阳岛公园 ที่เป็นจุดหมายแรกเริ่มของเรา ที่นี่มีเทศกาลแสดงหิมะแกะสลัก ค่าเข้า 120 หยวน (อันนี้ใช้ตั๋วนักเรียนลดแล้วนะ) ไม่เข้าไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของการมาเยือนฮาร์บินครั้งนี้ของเรา สิ่งที่ต้อนรับเราตั้งแต่ข้ามสะพานเลยคือแม่น้ำ(แข็ง) มีหิมะปกคลุมจนขาวไปหมด สามารถเดินข้ามได้สบายๆ (จะว่าไปแล้วแม่น้ำทุกสายที่นี่ก็กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแหละ) เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ทุกจุดกลายเป็นสีขาวไปหมด ในสวนสาธารณะนี้มีแต่รูปแกะสลักหิมะที่อลังการทุกชิ้น หลายชิ้นที่ใหญ่กว่าบ้านที่เราอยู่ซะอีก น่าทึ่งมาก นอกจากหิมะแกะสลักแล้ว ที่นี่ยังมีสุนัขลากเลื่อนให้เรานั่งเล่นๆด้วย แต่เสียเงินตั้ง 30 หยวนไม่เอาดีกว่า... จากสวนสาธารณะ เราตั้งใจว่าจะไปสวนเสือ ซึ่งมีเสือไซบีเรียที่หาดูยาก แต่ดูจากรีวิวแล้ว มีการซื้อสัตว์เป็นๆ เลี้ยงเสือ เห็นจะโหดเกินไป คิดไปคิดมา เสียเงินเข้าก็ตั้ง 90 หยวนเพื่อไปดูเสือตะปบเหยื่อ เห็นจะไม่ไหว เราเลยเปลี่ยนใจ ไปหาของกินอร่อยๆ ดีกว่า ตอนแรกคนขับรถแนะนำเราให้ไปกินอาหารจำพวกปลา เราเข้าไปแล้วทางร้านให้เราชี้ปลาเป็นๆเลย แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ราคาประมาณ 88-128 หยวน / ครึ่งโล ปลาตัวนึงหนัก 2 โลอัพ ไม่ไหว พวกเราเลยถอยกรูด ไปจบด้วยอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี หลังจากท้องอิ่ม กองทัพก็เดินต่อ จุดหมายต่อไปคือ เทศกาลเมืองน้ำแข็งที่พวกเรารอคอย อันนี้ค่าเข้า 160 หยวน ใช้บัตรนักเรียนลด จากราคาเต็ม 330 หยวน ด้านในงานเต็มไปด้วยประติมากรรมที่สร้างจากน้ำแข็ง บวกกับแสงไฟที่สวยงามแล้ว ทำให้เมืองน้ำแข็งกลายเป็นเมืองในเทพนิยาย ตรงกับคอนเซปต์ของงานปีนี้เลย หลังจากเที่ยวกันจนอิ่มแล้ว ก็กลับที่พัก เพื่อเอาแรงสำหรับเล่นสกีในวันถัดไป
วันที่สามของการเดินทางหลังจากที่เราจองทัวร์ก่อนหน้า 1 วัน ในราคา 130 หยวน เราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไป亚布力หมู่บ้านสกีที่เคยใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาแล้ว จากเมืองฮาร์บิน เดินทางไปหมู่บ้านสกีใช้เวลาประมาณ 3 ชม.กว่าๆ ระหว่างทางไกด์จีนก็บรรยายเกี่ยวกับการเล่นสกีแนะนำนู่นนี่นั่น เพื่อหว่านล้อมให้เราเช่าชุดสกี ตรงนี้ขอนิด มันหว่านล้อมแบบยกเหตุผลร้อยแปด บอกว่าไม่เช่าชุดสกี ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร แต่บรรยายสรรพคุณของชุดครึ่งชม. คนจีนส่วนใหญ่บนรถก็เชื่อ เช่าชุดมา โชคดีที่พวกเราเตรียมตัวมาก่อน ฟังเรื่องเล่าจากคนที่เคยเล่นมาแล้วเยอะ เลยไม่ได้เช่า ซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นเลย ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่าถ้าเชื่อไกด์จีนทุกเรื่อง เงินที่หมดไป อย่างน้อยๆต้อง 1000 หยวน แน่ๆ (ค่าเช่าชุดสกี 100 หยวน มัดจำ 300 หยวน ค่าเช่าแว่น 50 หยวน มัดจำ 200 หยวน แล้วยังมีกิจกรรมเล่นนู่นนี่นั่นอีก 500 หยวน) ธุรกิจมากๆ พวกเราไม่เอาซักอย่าง หลังจากที่ไกด์มาคะยั้นคะยอให้เราซื้ออะไรพวกนี้ไม่สำเร็จ มันก็ไม่สนใจพวกเราอีกเลย พวกเราก็เลยโดนปล่อยทิ้งไว้ให้รออยู่ที่ลานสกี 2 ชม. แต่ไม่ว่างเปล่า แน็ค พี่อ๋อง และพี่รัน เพื่อนร่วมทริปเลยไปเช่าอุปกรณ์มาเล่นเอง คนละ 120 หยวน แต่เนื่องจากทุกคนเห็นว่าถ้าเล่นเองจะยากเกินไป เลยจ้างครูมาฝึกสอน อีกคนละ 240 หยวน รอบบนี้พวกเราอีกสามคน ไม่ได้เล่น เพราะตั้งใจว่าจะรอเล่นพร้อมทัวร์ที่พาลูกทัวร์คนอื่นไปทำกิจกรรมที่เสีย 500 หยวน พอทัวร์กลับมา ก็ถึงเวลาที่เราได้เล่นสกี รองเท้าสกีมีให้เลือกสองแบบ 120 หยวนคือแบบธรรมดา อีกแบบคือ 180 หยวน ดีกว่า ลื่นกว่า ทัวร์ที่พวกเราไปให้ใช้แบบ 180 หยวน ก็ถือว่าโอเค (เราเสียค่าทัวร์ไป 130 หยวน รวมค่ารถ ค่าอาหารกลางวัน ค่าเล่นสกี คุ้มมาก มิน่า ไกด์มันถึงไม่พอใจที่เราไม่ซื้ออะไรเลย ) การเล่นสกีถือว่าค่อนข้างยาก เพราะถ้าไม่รู้หลัก ก็ลื่นล้มเอาง่ายๆ จากประสบการณ์ตรง และการเรียนรู้จากคำบอกเล่าพบว่าจุดศูนย์ถ่วงเป็นสิ่งสำคัญ รอบแรกนึกว่าจะล้ม แต่ก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย ชักเริ่มสนุก ขนรองเท้าขึ้นไปใส่ด้านบน ลื่นลงรอบสองยิ่งสนุก แต่อุปสรรคตัวสำคัญคือ รองเท้า และแผ่นกระดานสกี หนักมาก แบกขึ้นไปเหนื่อย แม่เจ้า เหงื่อออกท่ามกลางหิมะ จะรอขึ้นไปกับเคเบิลก็นาน ไม่อยากต่อคิว เลยต้องแบกเอง เล่นได้ 4-5 รอบก็หมดเวลา
ขากลับเข้าเมือง หลังจากที่นั่งรถไปได้ซักพัก ไกด์ประกาศแจ้งว่าทางด่วนกลับเมืองถูกน้ำแข็งเกาะเต็มถนน และลื่นมาก รถไม่สามารถขับไปได้ มีสามทางเลือกให้เราตัดสินใจ คือ 1. นอนบนรถ รอถึงเช้า แล้วกลับเข้าเมือง 2.นั่งรถไฟกลับเข้าเมือง ตั๋วราคา 32.50 หยวน 3.หาโรงแรมในเมืองสกีนอน ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ถ้ามีค่าใช้จ่าย เราต้องออกเอง แม่เจ้า ไม่รู้จะว่าไง เพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เมื่อเราเลือกว่าจะนั่งรถไฟกลับฮาร์บินแล้ว เราก็ไปซื้อตั๋ว ซึ่งต้องรอถึง 19.11 น. เรามีเวลา ประมาณ 2 ชม. จึงเดินออกไปหาของกิน จบที่ปิ้งย่างไสตล์จีน ข้างๆสถานีรถไฟ อันนี้ก็โดนอีกดอก เนื่องจากปลาหมึกย่างที่หังโจวมักจะมาแต่หนวด หรือไม่ก็เนื้อชิ้นเล็ก เราเลยเข้าใจว่าเหมือนกัน สั่งเลยทีเดียว ปลาหมึก 6 ไม้ แต่ที่นี่ย่างปลาหมึกกันทั้งตัว กินกันไม่หมดเลยต้องแพ็คกลับไปกินต่อ กินเสร็จก็พอดีเวลารถ วันนี้เป็นการเดินทางที่เหนื่อยมาก จากที่ตั้งใจจะถึงที่พักตอนทุ่มกว่าๆ กว่าจะถึงฮาร์บินก็เที่ยงคืนแล้ว
วันสุดท้ายของการเที่ยว วันนี้เป็นการเดินช็อปของฝากที่ถนน中央大街 เช้าวันนี้อากาศหนาวมาก เนื่องจากฝนที่ตกเมื่อวาน เค้าว่ากันว่า หิมะตกไม่หนาว หิมะละลายถึงหนาว อันนี้ก็น่าจะเป็นทฤษฎีเดียวกัน อากาศหนาวสุดๆ หนาวเหมือนมีเข็มทิ่มบนหน้าตลอดเวลา แต่เราก็ยังเดินเที่ยวกันแบบไม่เกรงใจอากาศ เพราะเดินข้างนอก สิบนาที หลบเข้าตึกสิบนาที การเดินที่นี่ค่อนข้างอันตราย เพราะพื้นถนนเหมือนฉาบไปด้วยน้ำแข็ง การลื่นล้มจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก และไม่มีใครสนใจ หลังจากช็อปเสร็จแล้ว(จนทนอากาศหนาวไม่ไหว) เราก็เลยกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมแล้วไปรอรถไฟกลับหังโจว (เที่ยวที่ 1472 เวลา 20.47น.)
ข้อแนะนำของการไปเที่ยวฮาร์บิน
1. ควรใช้กระเป๋าลาก เพราะตอนแรกพวกเราเห็นว่าเมืองนี้น่าจะมีแต่หิมะ การลากกระเป๋าไม่น่าจะสะดวก แต่พอไปถึงแล้วพบว่ามันไม่ใช่หิมะ แต่เป็นน้ำแข็ง เลยลื่นมาก การสะพายกระเป๋าเลยค่อนข้างถ่วงให้เราลื่นได้ง่ายขึ้น แต่กระเป๋าลากจะช่วยให้เราลื่นน้อยลง เพราะเหมือนเรามีไม้เท้าค้ำไว้อีกแรง
2. ผลไม้ชุบน้ำเชื่อมหรือ糖葫芦ของที่นี่ หรือจะบอกว่าของภาคเหนือ อร่อยมาก ไม่ควรพลาด มีขายทั่วไป แต่ควรซื้อในเมือง ไม้เดียวแบ่งกันกินก็พอ เพราะถ้าซื้อกินคนละไม้จะเลี่ยนเกินไป ทำให้รู้สึกว่าความอร่อยลดลง
3. ปิ้งย่างที่นี่อร่อยกว่าปิ้งย่างทางใต้ ควรลองอีกเหมือนกัน ทั้งรสชาติที่กลมกล่อมกำลังพอดี ไม่เผ็ดเกินไปและไม่มันเกินไป โดยเฉพาะเนื้อแกะย่าง ควรลอง
4. การเดินทางไปเล่นสกี ไม่จำเป็นต้องเช่าชุด หรือแว่น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไกด์แนะนำแล้วต้องเสียเงินมากกว่าที่เราจ่ายไปแล้ว
5. ถุงแปะตัวให้ความร้อน เป็นสิ่งจำเป็นในการเที่ยวที่ฮาร์บิน ควรใช้เป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะที่เท้า
6. รองเท้าที่ใส่ควรเป็นรองเท้าบุขนด้านใน พื้นรองเท้าต้องเป็นแบบกันลื่น มีแรงเสียดทานสูง เพราะโอกาสในการลื่นล้มสูงมาก