ห้องเรียนพ่อแม่ ตอน วินัยเชิงบวก

นานมากแล้วค่ะ ที่มุกไม่ได้เข้าห้องเรียนพ่อแม่ของอนุบาลบ้านพลอยภูมิ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือเรื่องของเวลาและบางหัวข้อก็เคยเข้าร่วมไปแล้วจึงไม่ได้กลับไปอีก จนมาครั้งนี้ มีการจัดอบรมเรื่อง วินัยเชิงบวก โดยครูหม่อม หรือ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก

มุกเชื่อว่าพ่อแม่หลายๆ คน ยิ่งโดยเฉพาะสมัยนี้ เป็นคนที่ใส่ใจกับลูกมาก เรียกได้ว่าสมัยพ่อแม่ของเราเคยให้เรามากเท่าไหร่ เราจะให้ลูกเรามากกว่า ด้วยหวังว่าเขาจะได้พัฒนาเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์มากกว่าเรา มุกเองก็เหมือนกัน อ่านบทความมายมาย อ่านหนังสือก็หลายเล่มเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก แต่สุดท้ายก็ยังลองผิดลองถูก ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง หลายๆ ครั้งพบว่าทฤษฏีเหล่านั้นเป็นนามธรรมซะเยอะ เมื่อนำไปปฏิบัตจริงมักไม่ได้ผล หรือตัวเราเองนั่นแหละที่เจอกับทางตันแล้วไปต่อไม่ได้ เท่ากับว่า วิธีทางนั้นไม่เวิร์กไปเสียนี่

แต่หลังจากที่ได้เข้าฟังครูหม่อมเป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่ง ก็รู้สึกเหมือนสมองได้รับการจัดระบบเสียใหม่ มุกเห็นว่ามีประโยชน์ดี จึงอยากเอามาแชร์ค่ะ

ครูหม่อมเป็นลูกศิษย์เอกของดร.แคททาลีน ซี เคอร์ซี่ ซึ่งคิดหลัก วินัยเชิงบวก (The Top Ten 101s) มุกเชื่อว่าเราหาบทความหรือหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เพิ่มเติมนะคะ แต่หลักการที่ครูหม่อมเอามาเผยแพร่ต่อ เป็นหลักการที่ถูกคัดกรองมาแล้วว่าเหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงดูของคนไทย

เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจก่อนว่า โครงสร้างสมองของคนเราแบ่งออกเป็นสามส่วน
1.    สัญชาตญาณ – เช่นการสั่งให้ร่างกายหายใจ ร้องไห้เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เป็นสมองส่วนที่สั่งให้ร่างกายรู้จักเอาตัวรอดโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการคิดหรือกลั่นกรองใดๆ ทั้งสิ้น

2.    อารมณ์ – เช่น หิว อิ่ม หนาว ร้อน ดีใจ ทุกข์ใจ สมองส่วนนี้จะทำงานร่วมกับส่วนที่หนึ่งเมื่อเด็กๆเติบโตขึ้น แต่ความยากมันอยู่ที่ว่าเราจะสอนให้เด็กรู้จักควบคุมส่วนนี้ได้อย่างไร และไม่ปล่อยให้ส่วนที่หนึ่งทำงานโดยไม่ผ่านการตรึกตรองก่อนได้อย่างไร

3.    เหตุผล – เป็นสมองที่อยู่ด้านหน้า (ตรงหน้าผาก) และจะเจริญเติบโตเต็มที่ตอน 25 ปี เด็กทุกคนไม่มีใครเกิดมาพร้อมทักษะการใช้เหตุผล มันเป็นสิ่งที่ต้องสะสม ฝึกฝน และเรียนรู้

จึงสามารถพูดได้ว่าหน้าที่แรกสุดของมนุษย์ทุกคน ก็คือการเอาตัวรอด เอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิด จากความทุกข์ จากปัญหา จากความหวาดกลัว หรือไม่มั่นใจไม่ใช่แค่การจดจำ รับรู้ หรือคิดคำนวน

แต่สำหรับเด็กปฐมวัย (แต่เดิมกำหนดไว้ที่ 0-5 ปีแรก ต่อมาได้เพิ่มเป็นถึงแปดปีแรกของชีวิต) จะเป็นวัยที่ใช้สมองส่วนที่สองมากที่สุด นั่นคือ อารมณ์ และเมื่ออารมณ์บวกกับสัญชาตญาณ โดยที่ไม่มีเหตุผลที่ดีมารองรับ มักกลายเป็นพฤติกรรมแย่ๆ ที่ทำให้เราปวดหัวนั่นเองค่ะ

ดังนั้นในช่วงวัยนี้ ความทรงจำต่างๆ ของเขาจะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับอารมณ์ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วย ความสำคัญจึงอยู่ตรงที่เราจะสร้างความทรงจำพร้อมอารมณ์แบบไหนให้กับลูกของเรา ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลในเรื่องของการเข้าสังคมเมื่อเติบโตขึ้น และเราควรจะสอนทักษะการเอาตัวรอดในสังคมแก่เขาแบบไหน แบบรอดไปวันๆ หรือแบบมีทักษะที่ดี มีเหตุผลและการตัดสินใจที่ถูกต้อง หลักการการสร้างวินัยเชิงบวกจึงกลายเป็นวิธีหนึ่งที่ (ถ้าทำได้) ก็จะส่งผลให้กับลูกของเราในระยะยาวค่ะ

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการฝึกทักษะทางอารมณ์และเหตุผลให้กับลูก ตอบง่ายๆ เพราะคนทุกคนต้องการอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มีพ่อแม่ไม่น้อย (มุกยกมือว่าตัวเองก็เคยคิดแบบนั้น) เชื่อว่าตนได้ให้ความรักแก่ลูก ให้ข้าวของแก่ลูก ให้สิ่งดีๆ แก่ลูก มากเพียงพอแล้ว ทำไมลูกถึงยังมีปัญหา ถึงยังไม่พอใจ ถึงยังต้องแคร์เพื่อนมากเกินไป หรือน้อยใจครู นั่นก็เพราะว่า...แค่ความรักของพ่อแม่มันไม่พอค่ะ คนทุกคนต้องการการยอมรับและความรักจากคนอื่นๆ ในสังคมด้วย

ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ชอบบอกลูกว่าไม่ต้องแคร์เพื่อน ไม่ต้องแคร์ครู แค่รู้ว่าพ่อแม่รักหนู รักแบบไม่มีเงื่อนไขก็เพียงพอแล้ว ลองคิดดูอีกครั้งนะคะ ว่ามันพอแล้วจริงๆ หรือเปล่า และการพูดเช่นนั้นเป็นการตอบคำถามที่ค้างคาใจของลูกได้หรือเปล่า

หลังจากที่เราได้เข้าใจแล้วว่าสมองของเราทำงานอย่างไร สิ่งที่เราควรจะรู้ต่อไปก็คือ ทักษะทางอารมณ์และสังคมมันคืออะไร

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า EQ ใช่มั้ยคะ อธิบายโดยครูหม่อมให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
EQ เป็นความฉลาดทางอารมณ์และสังคม เด็กหนึ่งคนมี EQ สูง ควรจะมีความประพฤติที่เห็นได้ชัดเช่น
-    สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ของคนอื่นๆ และของตัวเองได้
-    สามารถจัดการและควบคุมกับอารมณ์ของตัวเองได้
-    รู้จักเลือกวิธีแสดงออกที่เหมาะสม เป็นปกติ และสร้างสรรค์
-    มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จ
-    มีระเบียบวินัยในตนเอง
-    มีความใส่ใจผู้อื่น
ฟังดูอาจจะเป็นนามธรรมไปสักนิด แต่จริงๆ หลักปฏิบัติเพื่อสร้างให้ลูกเกิด EQ ที่ดีไม่ได้ทำยากจนเกินไป สร้างผ่านวินัยเชิงบวกหลายๆ วิธีได้เลยล่ะค่ะ

ยกตัวอย่าง เช่น...การอิจฉา

ไม่มีเด็กคนไหนที่รู้ว่าตัวเองอิจฉา เขารู้แต่ว่าเขาหงุดหงิด งุ่นง่าน รำคาญ และพาล แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ในฐานะของพ่อแม่ เรามองปราดเดียวก็รู้แล้ว เช่น พิ่อิจฉาน้อง น้องอิจฉาพี่ ลูกอิจฉาเพื่อน หรือญาติพี่น้อง สิ่งที่เราต้องทำก็คือ

การเดินเข้าไปและบอกให้ลูกรู้ว่า อารมณ์แบบนี้ เราเรียกมันว่า อิจฉา มันไม่ผิดที่จะรู้สึกเช่นนั้น แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้ลูกกลายเป็นคนไม่ดี แต่รู้จักมันเอาไว้ และรู้ว่าเมื่อเกิดอารมณ์เช่นนี้ เราจะจัดการกับมันอย่างไร พ่อหรือแม่อาจจะพูดถึงข้อดีอื่นๆ หรือความโดดเด่นอื่นๆ ที่ลูกเรามี เพื่อให้เขาลดอารมณ์โกรธเกรี้ยวหรือหงุดหงิดนั่นลง เมื่อได้เห็นว่า เขาเองก็มีส่วนดีไม่น้อยไปกว่าพี่น้องหรือเพื่อนเช่นกัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมความไม่สบายใจของตัวเองได้ในที่สุดค่ะ

สำหรับเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่มีอารมณ์ซับซ้อนเช่นการอิจฉา การยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ความง่วง
มีเด็กหลายคนเมื่อง่วงก็จะเริ่มงอแง พูดไม่รู้เรื่อง ถามอะไรก็บอกว่าไม่ๆๆ จนทำให้พ่อแม่เริ่มมีอารมณ์ ต้องใจเย็นๆ ค่ะ แล้วบอกให้ลูกรู้ว่า สิ่งที่เขาเป็นเรียกว่า ความง่วง เพราะปกติหนูไม่เคยทำแบบนี้ หนูจะร่าเริง อารมณ์ดี แต่ตอนนี้หนูกำลังง่วงแน่ๆ เลย เราบอกเขาซ้ำๆ เมื่อมันเกิดขึ้น ในที่สุดเด็กก็เรียนรู้เมื่ออารมณ์เช่นนี้เกิดกับเขา เขาก็จะบอกได้ว่า เขากำลังง่วง ให้พาไปนอนหน่อย หรือให้กกนอนอะไรก็ว่าไปค่ะ ซึ่งสุดท้ายก็คือการเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้

การรู้จักวิธีแสดงออกในเชิงบวกและสร้างสรรค์ก็เป็นลักษณะของเด็กที่มี EQ สูง เด็กจะมีกาละเทศะเพราะประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น เช่นอยากขอให้คุณพ่อมาเล่นด้วย แต่ทันทีที่เห็นพ่อทำงานยุ่งๆ รับโทรศัพท์ตลอดเวลา เขาก็จะเรียนรู้ที่จะรอคอย และรอจังหวะที่พ่อหรือแม่อารมณ์ดี เพื่อเขาไปขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ทั้งนี้ การสอนให้ลูกรู้จักประเมิณสถานการณ์ ต้องไม่ใช่การปกปิดหรือโกหกลูก

กรณีตัวอย่าง
พ่อกับแม่ทะเลาะกัน เลิกกัน แต่ยังอยู่ด้วยกันเพื่อลูก เด็กเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่ถามใคร คนรอบข้างก็บอกว่าไม่มี เด็กมีหน้าที่เรียนหนังสือเท่านั้น ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น จนวันหนึ่ง พ่อเกิดเมา ระบายความจริง ทะเลาะกับแม่ต่อหน้าเด็ก เด็กวิ่งไปหายาย ยายก็ยังบอกว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่เรื่องของเขา

เคสตัวอย่างแบบนี้ที่ครูหม่อมเล่าให้ฟัง เป็นเคสที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งผลเสียก็คือเมื่อเด็กไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ประเมิณไม่ถูก จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เลือกอารมณ์ที่จะแสดงออกก็ไม่ได้ และคิดว่ามันเป็นความผิดที่ตัวเขาใช่มั้ย หรือว่าพ่อแม่ไม่รักเขาแล้ว หรือว่าเขาไม่ดีพอ จนบางครั้งสามารถแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะมาเล่าให้ครูให้เพื่อนฟังว่า พ่อตบแม่ ไปบอกยาย ยายบอกว่าตบได้เพราะพ่อแม่ไม่รักกันแล้ว พ่อแม่ไม่รักหนู เช่นนี้เป็นต้น

ดังนั้นถ้าเราได้ฝึกฝนทักษะทางอารมณ์และสังคมให้กับลูกเราตั้งแต่เนิ่นๆ มันจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองส่วนเหตุและผล และควบคุมพฤติกรรมหรือสมองส่วนสัญชาตญาณ ไม่ให้ทำทุกอย่างตามสมองส่วนที่สองซึ่งเป็นอารมณ์เพียงอย่างเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่