แม้ว่าโอลิมปิคสากลจะพยายามมาตลอด
ในการที่จะกัน "กีฬา" และ "การเมือง" ออกจากกัน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มันสามารถทำได้ยากมากครับ.......
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้
เราต่างมีสังคม มีความเชื่อ
มีอุดมการณ์ มีความรัก มีความเกลียด
ไอ้สิ่งทั้งหลายที่เราต่างคนต่างมีนี่แหละ มันอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งครับ
ผมจึงไม่แปลกใจเลย
ที่ "เครือข่ายสังคม" ที่เป็นลักษณะเว็บบอร์ด
มีการถาม มีการตอบ มีการสนทนา ของกลุ่มคนในสังคม จึงอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิด
และกลายมาเป็น "มวยการเมือง" ของคนคิดต่างทั้ง 2 ฝ่ายครับ
มีทั้งคนห้ามปราม
และมีทั้งคนเห็นด้วย
ฝ่ายที่ห้ามปรามก็บอกว่ามันคือ "ความรุนแรง"
ในขณะที่ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่ามันคือ "กีฬา"
หากมองย้อนกลับไปในสังคมช่วงซัก 50 ปีนี้
เราแยกไม่ออกจริงๆครับ ระหว่างการเมือง กับ กีฬ่า
ในยุคที่โลกยังมีสงครามเย็นระหว่าง อเมริกา กับ โซเวียต
ในช่วงที่โอลิมปิคจัดกันในประเทศโลกเสรีนั้น พวกคอมมิวนิสท์ก็จะบอยคอตต์ไม่ส่งคนไปแข่ง
และกลับกันครับ
ตอนที่โอลิมปิคไปจัดในประเทศสังคมนิยม
อเมริกาก็จะพาประเทศพันธมิตรของตนบอยคอตต์ไม่ไปแข่งเช่นกัน
ไทยเรายังพลอยฟ้าฟลอยฝนตามก้นพวกมะกัน ด้วยการบอยคอตต์ไปกับเขาด้วย 1 ครั้งเลยครับ
เห็นมั๊ย....ใครบอกว่ากีฬา ไม่เกี่ยวกับการเมือง ????
แม้แต่พวกฮอลีวู๊ดเองก็เถอะ
ก็มีอยู่บ่อยๆไปที่ทำหนังที่ผูกโยงกีฬากับการเมืองเข้าด้วยกัน
ที่ผมจำได้ก้คือ Escape to victory ที่เป็นเรื่องในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
หนังผูกเรื่องในค่ายกักกัน
และมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมเยอรมัน กับ ทีมเชลยศึกสัมพันธมิตร
โดยที่พวกเชลยศึกนั้น วางแผนการหนีระหว่างการแข่งขันนั่นแหละ....แต่ก็อยากหนีด้วย และ อยากชนะการแข่งขันด้วย
"หน้าหนัง" เรื่องนี้ใหญ่มากครับ
เพราะผู้กำกับ "จอห์น ฮุสตัน" สามารถรวมรวมดาราและนักฟุตบอลดังมาเล่นมากมาย
ทั้ง ไมเคิล เคน, "พี่บึ๊ก" ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, "ไข่มุกดำ" เปเล่....คนนี้เป็นราชาลูกหนังยุค 70 ที่บราซิลได้แช้มป์ 3 สมัย,
บ๊อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษยุคแช้มป์โลกปี 66, ออสวัลโด อาดิเลส นักเตะอาเจนไตน์ที่มาค้าแข้งในเมืองผู้ดียุคแรก ฯลฯ
โห.....เยอะครับ......ยิ่งกว่าอัลบั้ม "รวมดาว" ซะอีก
แต่ที่สุดยอดของกุศโลบาย
ที่เอาการเมือง กับ กีฬา มาผูกเข้าด้วยกัน
ผมยกให้กรณีของพญามังกรจีน กับ พญาอินทรีอเมริกาครับ
ในช่วงที่โลกต้องเผิชญกับความตรึงเครียด
อันเนื่องมาจากระบบการปกครองแบบ 2 ระบบนั้น
จีนและสหรัฐเผชิญหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง
เพราะคนหนึ่งเป็นคอมมิวนิสท์ คนหนึ่งเป็นโลกเสรี
แต่จีนใช้ "ปิงปอง" กับ "แพนด้า"
มาเป็นตัวช่วยลดอุณหภูมิของการเผชิญหน้าลงได้อย่างชนิดที่แยบยลที่สุดครับ
ตอนนั้นมีการแข่งขันปิงปองชิงแช้มป์โลกที่นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
"เกล็น โคแว่น" นักปิงปองสหรัฐกำลังยืนรอรถที่จะมารับไปสนามแข่ง
เขารออยู่นานมาก แต่รถไม่มาซักที
ปรากฏว่ามีรถบัสของทีมชาติจีนผ่านมา
และแวะรับเกล็นเพื่อพาไปส่งที่สนามแข่ง
ระหว่างทางเกล็นได้พูดคุยกับนักปิงปองจีน
และแลกของที่ระลึกกันตามประสานักกีฬา
แต่ ผจก.ทีมจีนเห็นเข้า และเกิดความไม่สบายใจ
แล้วก็เลยทำรายงานส่งไปยังพรรคคอมมิวนิสท์จีน
"โจว เอิน ไหล" นายกฯจีนไม่ได้โมโหอะไรเลยเมื่อเห็นรายงาน
แต่เขากลับเห็น "โอกาส" ตรงนั้นครับ ...โอกาสทองซะด้วยซิ....
โจวสั่งให้ทางการจีนเชิญทีมชาติสหรัฐไปเยือนจีน
แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดก็เลยเชิญชาติอื่นๆอีก 4 ชาติไปด้วย
และนั่นคือ "การทูตแบบปิงปอง" อันโด่งดังของ โจว เอิน ไหล
ก่อนที่ทางฝ่ายจีนจะเชื่อมโยงการเมือง และ กีฬา ไปยังเรื่อง "แพนด้า" ครับ
แถมยังมีนักสร้างหนังจับเอาประวัติศาตร์โลกเรื่องการทูตปิงปองนี้ "บิด" ไปใส่ในหนังเรื่อง Forrest Gump
โดยให้ "ฟอเรสท์" ที่เล่นโดย "ทอม แฮ้งค์"
ไปเยือนจีนในฐานะนักปิงปองของทีมชาติสหรัฐ
และ ทอม แฮ้งค์ ก็ได้รางวัลออสการ์จากบทนี้จนติดลมบนมาถึงทุกวันนี้ครับ
หลังจากที่ทีมปิงปองสหรัฐได้ไปเยือนจีนแล้ว
ทั้งสองประเทศก็เริ่มมีการหารือร่วมกันในหลายๆประเด็น
และลงเอยด้วยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐตัดสินใจมาเยือนจีน
ข่าวใหญ่ทั่วโลกเลยครับ นิกสันมาจีนแบบนี้
แหมมม....คิดดูซิครับ จากเรื่องการเมือง มาเรื่องกีฬา แล้ว ลงเอยด้วยการมาเยือนจีน....
....เพื่อที่จะได้ "แพนด้า" กลับไป......
ข่าวแบบนี้ไม่ใหญ่ แล้วข่าวไหนจะใหญ่ล่ะ....คุณโยม.....????
เพราะมันเป็นการพลิกโฉมหน้าของการเมืองระหว่างประเทศเลยก็ว่าได้
ที่ประธานาธิบดีซึ่งเป็นตัวแทนของ "โลกเสรี" ได้ไปเยือนจีน ซึ่งเป็น"คอมมิวนิสท์ตัวแม่" ขนานแท้และดั้งเดิม
งานเลี้ยงต้อนรับนิกสัน ถูกถ่ายทอดผ่านดาวเทียมกลับไปที่อเมริกา
บนโต๊ะอาหารนนั้น โจว เอิน ไหล เอ่ยปากชม "แพ็ท นิกสัน" ศรีภรรเมียของท่านประธานาธิบดีนิกสันว่า
"คุณและท่านประธานาธิบดีใช้ตะเกียบได้เก่งมากเลยครับ"
แพ็ทก็ตอบกลับว่า "อ๋อ...เราฝึกมาอย่างดีก่อนที่จะมาเยือนจีนค่ะ"
บนโต๊ะอาหารมี "บุหรี่ตราหมีแพนด้า" วางไว้เพื่อต้อนรับ
โจว เอิน ไหล ได้ชี้ไปที่ซองบุหรี่ แล้วพูดกับแพ็ทว่า
"ผมกำลังคิดว่าจะส่งมอบสิ่งนี้ให้ประชาชนชาวสหรัฐ"
แพ็ทดีใจมาก และหันไปบอกนิกสันว่า
"ริชาร์ด...ท่านนายกฯโจวบอกว่าจะมอบสิ่งนี้ให้กับเรา"
และนั่น...คือปฐมบทของ "การทูตแบบแพนด้า"
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก "การทูตปิงปอง" ของ โจว เอิน ไหล
และได้กลายมาเป็นตำนานของการเมืองระหว่างประเทศมาจนถึงบัดนี้ครับ
การทูตแบบ "ปิงปอง" และ "แพนด้า" นี้
ถูกบันทึกลงในหนังสือเรื่อง "การทูตแบบโจว เอิน ไหล" ที่เป็นคัมภีร์ที่นักการทูตทุกคนควรอ่านครับ
แต่หากจะเอาใกล้ๆช่วงซัก 20 ปีที่ผ่านมานี้ก็พอมีครับ
หนังเรื่อง ร็อคกี้ ภาค 2 ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เล่นกับ ดอล์ฟ ลันแกรนด์
ก็ยังว่าด้วยเรื่องของนักมวยจากค่ายโลกเสรี ที่ขึ้นเวทีดวลกำปั้นกับนักมวยค่ายสังคมนิยม
มันแยกกีฬา กับ การเมือง ให้ขาดกันได้ยากจริงๆขอรับ......
ความขัดแย้งทางสีผิวก็ใช่ย่อยครับ
หลังหมดสมัย "ร็อคกี้ มาเซียโน่" แช้มป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทผิวขาวแล้ว
แทบไม่มีนักมวยผิวขาวคนไหนเลย ที่ขึ้นมาครองบัลลังค์รุ่นยักษ์นี้ได้
เพราะมัแค่คนอย่าง โจ ฟราเซีย, จอร์จ โฟร์แมน , เคน นอร์ตั้น, โมฮัมเหม็ด อาลี และ แลรี่ โฮมส์ ที่ครองโลก
จวบจน "เจอรี่ คูนี่ย์" เจ้าของฉายา The great white hope ขึ้นชิงแช้มป์กับ แลรี่ โฮมส์
สังคมอเมริกันในยุคที่ยังมีเรื่องขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับสีผิวนั้น ตื่นเต้นกับ "ความหวังของคนขาว" มาก
แต่คูนี่ย์ก็ทำให้คนขาวผิดหวังทั้งประเทศ เมื่อแพ้น็อคคาเวที
ทั้งๆที่ในตอนนั้นมีการปลุกกระแสสังคมให้คนขาวเชียร์คูนี่ย์แบบคึกคัก
ก็ยังดีครับที่สังคมฝรั่งเขารู้แพ้ รู้ชนะ เพราะเขายอมรับผลการชกที่ออกมา
ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
ที่เอากีฬามาเป็นตัวเชื่อมโยงก็มีนะครับ
เห็นกันชัดๆในยุคนี่เลยก็คือประเทศสเปนนี่แหละ
ทุกครั้งที่ "บาเซโลน่า" ลงฟาดแข้งกับ "รีอัล มาดริด"
มันไม่ใช่แค่เกมส์ฟุตบอลแบบปกติ แต่เป็นเกมส์แห่งเชื้อชาติครับ
เพราะพวกบาร์ซ่าถือว่าตัวเองเป็นพวก "คาตาลุนญ่า" ในขณะที่มองพวกมาดริดว่าเป็น "สแปนิช"
ความเจ็บช้ำในเรื่องเชื้อชาติของพวกเขามัน "ลืมยาก"
เพราะสิ่งที่นายพลฟรังโกทำกับพวกเขานั้นมันทำให้พวกเขาไม่มีทางญาติดีกับพวกสแปนิช
นัดใหญ่ๆแบบที่ "บาร์ซ่า" เจอกับ "มาดริด" แบบนี้
มันไม่ใช่แค่กีฬาครับ หากแต่มั "นัยยะทางการเมือง" ถึงขนาดมีชื่อเฉพาะสำหรับแม็ทช์ใหญ่ๆแบบนี้ว่า "เอล กราซิโก้" เลย.....
อืมมมมม....ฟังชื่อแล้วดูขลัง และ ยิ่งใหญ่จริงๆ
นอกจากการเมือง, สีผิว และ เชื้อชาติแล้ว
ความขัดแย้งทางเขตแดนก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำมาเกี่ยวกับกีฬาครับ
เมื่อครั้งเกิดปัญหาหมู่เกาะฟอลค์แลนด์นั้น
อังกฤษ และ อาร์เจนติน่า ได้ยกทัพเข้ารบกันอย่างดุเดือด
หากผมจำไม่ผิดเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ "ดยุค ออฟ ยอร์ค" ก็ได้ทรงไปรบกับเขาด้วย
สงครามครั้งนั้น....ลงเอยด้วยชัยชนะของอังกฤษครับ
พวกอาร์เจนไตน์เก็บความแค้นไว้แบบสุมอก
จนได้เวลาถอนแค้น เมื่ออังกฤษ กับ อาร์เจนติน่า ต้องมาเจอกันในฟุตบอลโลก
นัดนั้นเป็นนัดหยุดโลกอีกนัดนึงของโลกครับ เพราะมีเรื่องทางการเมืองมาเป็นปัจจัย
คราวนี้อาร์เจนติน่า "ถอนแค้น" ได้สำเร็จ
เพราะสามารถเอาชนะอังกฤษไปได้ด้วยสกอร์ 2-1
และยังเกิดตำนาน Hand of god ของ ดีเอโกเ มาราโดน่า
ที่ "เสือเตี้ย" ทำน่าเกลียดด้วยการเอามือปัดบอลเข้าประตูทีอังกฤษแบบหน้าตาเฉย
โดยที่กรรมการมองไม่ทันเห็น และ เป่าให้ได้ประตูท่ามกลางการประท้วงของฝั่งอังกฤษ
ปีเตอร์ ชิลตั้น นายทวารของอังกฤษ คงจดจำลูกนั้นไปจนวันตายแน่ๆครับ
ส่วนทางฝั่งอาร์เจนติน่านั้น
ผู้คนทั้งประเทศออกมาฉลองประหนึ่งว่าได้แช้มป์โลกไปแล้วเลย
เพราะมันเป็นชัยชนะที่มาเยียวยาหัวใจของคนอาร์เจนไตน์ ที่ฝังใจกับสงครามฟอลค์แลนด์ที่พวกเขาแพ้อังกฤษครับ
ตราบเท่าที่มนุษย์ยังเป็น "สัตว์สังคม"
กีฬา และ การเมือง ไม่อาจแยกกันได้จริงๆครับ
เพราะมันคือ "กลไก" ในการเอาชนะกันทางความคิด ในแบบที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องใช้ทักษะ
หากแต่เป็นการชนะกันในเชิง "สัญญลักษณ์" โดยที่ไม่ได้ใช้อาวุธมาห้ำหั่นกัน...........
ไม่ว่า "มวยการเมือง"
ระหว่างคนเสื้อเหลือง และ คนเสื้อแดง จะลงเอยอย่างไร
อย่างน้อยผมว่ามันก็คือ "ความงดงามของระบอบประชาธิปไตย"
ที่ทั้ง 2 สีเสื้อตกลงใจจะตัดสินกันด้วยกำปั้น และ ยืนยันว่าทุกอย่างจะจบลงที่เวที
โดยที่หลังจากนั้นแล้ว ทั้ง 2 สีเสื้อก็จะยังคงโลดแล่นถกเถียงกันต่อไปในมุมมองที่แตกต่างในเครือข่ายสังคมแห่งนี้
ผมว่างดงามกว่าคำว่า "ปรองดอง" ที่คนโน้น คนนี้พูดกันออกสื่อทุกวี่ทุกวันซะอีกขอรับ !!!!!!!!!!!
++++++++++ ...............ม ว ย ก า ร เ มื อ ง............... ++++++++++
ในการที่จะกัน "กีฬา" และ "การเมือง" ออกจากกัน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มันสามารถทำได้ยากมากครับ.......
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้
เราต่างมีสังคม มีความเชื่อ
มีอุดมการณ์ มีความรัก มีความเกลียด
ไอ้สิ่งทั้งหลายที่เราต่างคนต่างมีนี่แหละ มันอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งครับ
ผมจึงไม่แปลกใจเลย
ที่ "เครือข่ายสังคม" ที่เป็นลักษณะเว็บบอร์ด
มีการถาม มีการตอบ มีการสนทนา ของกลุ่มคนในสังคม จึงอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิด
และกลายมาเป็น "มวยการเมือง" ของคนคิดต่างทั้ง 2 ฝ่ายครับ
มีทั้งคนห้ามปราม
และมีทั้งคนเห็นด้วย
ฝ่ายที่ห้ามปรามก็บอกว่ามันคือ "ความรุนแรง"
ในขณะที่ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่ามันคือ "กีฬา"
หากมองย้อนกลับไปในสังคมช่วงซัก 50 ปีนี้
เราแยกไม่ออกจริงๆครับ ระหว่างการเมือง กับ กีฬ่า
ในยุคที่โลกยังมีสงครามเย็นระหว่าง อเมริกา กับ โซเวียต
ในช่วงที่โอลิมปิคจัดกันในประเทศโลกเสรีนั้น พวกคอมมิวนิสท์ก็จะบอยคอตต์ไม่ส่งคนไปแข่ง
และกลับกันครับ
ตอนที่โอลิมปิคไปจัดในประเทศสังคมนิยม
อเมริกาก็จะพาประเทศพันธมิตรของตนบอยคอตต์ไม่ไปแข่งเช่นกัน
ไทยเรายังพลอยฟ้าฟลอยฝนตามก้นพวกมะกัน ด้วยการบอยคอตต์ไปกับเขาด้วย 1 ครั้งเลยครับ
เห็นมั๊ย....ใครบอกว่ากีฬา ไม่เกี่ยวกับการเมือง ????
แม้แต่พวกฮอลีวู๊ดเองก็เถอะ
ก็มีอยู่บ่อยๆไปที่ทำหนังที่ผูกโยงกีฬากับการเมืองเข้าด้วยกัน
ที่ผมจำได้ก้คือ Escape to victory ที่เป็นเรื่องในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
หนังผูกเรื่องในค่ายกักกัน
และมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมเยอรมัน กับ ทีมเชลยศึกสัมพันธมิตร
โดยที่พวกเชลยศึกนั้น วางแผนการหนีระหว่างการแข่งขันนั่นแหละ....แต่ก็อยากหนีด้วย และ อยากชนะการแข่งขันด้วย
"หน้าหนัง" เรื่องนี้ใหญ่มากครับ
เพราะผู้กำกับ "จอห์น ฮุสตัน" สามารถรวมรวมดาราและนักฟุตบอลดังมาเล่นมากมาย
ทั้ง ไมเคิล เคน, "พี่บึ๊ก" ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, "ไข่มุกดำ" เปเล่....คนนี้เป็นราชาลูกหนังยุค 70 ที่บราซิลได้แช้มป์ 3 สมัย,
บ๊อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษยุคแช้มป์โลกปี 66, ออสวัลโด อาดิเลส นักเตะอาเจนไตน์ที่มาค้าแข้งในเมืองผู้ดียุคแรก ฯลฯ
โห.....เยอะครับ......ยิ่งกว่าอัลบั้ม "รวมดาว" ซะอีก
แต่ที่สุดยอดของกุศโลบาย
ที่เอาการเมือง กับ กีฬา มาผูกเข้าด้วยกัน
ผมยกให้กรณีของพญามังกรจีน กับ พญาอินทรีอเมริกาครับ
ในช่วงที่โลกต้องเผิชญกับความตรึงเครียด
อันเนื่องมาจากระบบการปกครองแบบ 2 ระบบนั้น
จีนและสหรัฐเผชิญหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง
เพราะคนหนึ่งเป็นคอมมิวนิสท์ คนหนึ่งเป็นโลกเสรี
แต่จีนใช้ "ปิงปอง" กับ "แพนด้า"
มาเป็นตัวช่วยลดอุณหภูมิของการเผชิญหน้าลงได้อย่างชนิดที่แยบยลที่สุดครับ
ตอนนั้นมีการแข่งขันปิงปองชิงแช้มป์โลกที่นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
"เกล็น โคแว่น" นักปิงปองสหรัฐกำลังยืนรอรถที่จะมารับไปสนามแข่ง
เขารออยู่นานมาก แต่รถไม่มาซักที
ปรากฏว่ามีรถบัสของทีมชาติจีนผ่านมา
และแวะรับเกล็นเพื่อพาไปส่งที่สนามแข่ง
ระหว่างทางเกล็นได้พูดคุยกับนักปิงปองจีน
และแลกของที่ระลึกกันตามประสานักกีฬา
แต่ ผจก.ทีมจีนเห็นเข้า และเกิดความไม่สบายใจ
แล้วก็เลยทำรายงานส่งไปยังพรรคคอมมิวนิสท์จีน
"โจว เอิน ไหล" นายกฯจีนไม่ได้โมโหอะไรเลยเมื่อเห็นรายงาน
แต่เขากลับเห็น "โอกาส" ตรงนั้นครับ ...โอกาสทองซะด้วยซิ....
โจวสั่งให้ทางการจีนเชิญทีมชาติสหรัฐไปเยือนจีน
แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดก็เลยเชิญชาติอื่นๆอีก 4 ชาติไปด้วย
และนั่นคือ "การทูตแบบปิงปอง" อันโด่งดังของ โจว เอิน ไหล
ก่อนที่ทางฝ่ายจีนจะเชื่อมโยงการเมือง และ กีฬา ไปยังเรื่อง "แพนด้า" ครับ
แถมยังมีนักสร้างหนังจับเอาประวัติศาตร์โลกเรื่องการทูตปิงปองนี้ "บิด" ไปใส่ในหนังเรื่อง Forrest Gump
โดยให้ "ฟอเรสท์" ที่เล่นโดย "ทอม แฮ้งค์"
ไปเยือนจีนในฐานะนักปิงปองของทีมชาติสหรัฐ
และ ทอม แฮ้งค์ ก็ได้รางวัลออสการ์จากบทนี้จนติดลมบนมาถึงทุกวันนี้ครับ
หลังจากที่ทีมปิงปองสหรัฐได้ไปเยือนจีนแล้ว
ทั้งสองประเทศก็เริ่มมีการหารือร่วมกันในหลายๆประเด็น
และลงเอยด้วยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐตัดสินใจมาเยือนจีน
ข่าวใหญ่ทั่วโลกเลยครับ นิกสันมาจีนแบบนี้
แหมมม....คิดดูซิครับ จากเรื่องการเมือง มาเรื่องกีฬา แล้ว ลงเอยด้วยการมาเยือนจีน....
....เพื่อที่จะได้ "แพนด้า" กลับไป......
ข่าวแบบนี้ไม่ใหญ่ แล้วข่าวไหนจะใหญ่ล่ะ....คุณโยม.....????
เพราะมันเป็นการพลิกโฉมหน้าของการเมืองระหว่างประเทศเลยก็ว่าได้
ที่ประธานาธิบดีซึ่งเป็นตัวแทนของ "โลกเสรี" ได้ไปเยือนจีน ซึ่งเป็น"คอมมิวนิสท์ตัวแม่" ขนานแท้และดั้งเดิม
งานเลี้ยงต้อนรับนิกสัน ถูกถ่ายทอดผ่านดาวเทียมกลับไปที่อเมริกา
บนโต๊ะอาหารนนั้น โจว เอิน ไหล เอ่ยปากชม "แพ็ท นิกสัน" ศรีภรรเมียของท่านประธานาธิบดีนิกสันว่า
"คุณและท่านประธานาธิบดีใช้ตะเกียบได้เก่งมากเลยครับ"
แพ็ทก็ตอบกลับว่า "อ๋อ...เราฝึกมาอย่างดีก่อนที่จะมาเยือนจีนค่ะ"
บนโต๊ะอาหารมี "บุหรี่ตราหมีแพนด้า" วางไว้เพื่อต้อนรับ
โจว เอิน ไหล ได้ชี้ไปที่ซองบุหรี่ แล้วพูดกับแพ็ทว่า
"ผมกำลังคิดว่าจะส่งมอบสิ่งนี้ให้ประชาชนชาวสหรัฐ"
แพ็ทดีใจมาก และหันไปบอกนิกสันว่า
"ริชาร์ด...ท่านนายกฯโจวบอกว่าจะมอบสิ่งนี้ให้กับเรา"
และนั่น...คือปฐมบทของ "การทูตแบบแพนด้า"
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก "การทูตปิงปอง" ของ โจว เอิน ไหล
และได้กลายมาเป็นตำนานของการเมืองระหว่างประเทศมาจนถึงบัดนี้ครับ
การทูตแบบ "ปิงปอง" และ "แพนด้า" นี้
ถูกบันทึกลงในหนังสือเรื่อง "การทูตแบบโจว เอิน ไหล" ที่เป็นคัมภีร์ที่นักการทูตทุกคนควรอ่านครับ
แต่หากจะเอาใกล้ๆช่วงซัก 20 ปีที่ผ่านมานี้ก็พอมีครับ
หนังเรื่อง ร็อคกี้ ภาค 2 ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เล่นกับ ดอล์ฟ ลันแกรนด์
ก็ยังว่าด้วยเรื่องของนักมวยจากค่ายโลกเสรี ที่ขึ้นเวทีดวลกำปั้นกับนักมวยค่ายสังคมนิยม
มันแยกกีฬา กับ การเมือง ให้ขาดกันได้ยากจริงๆขอรับ......
ความขัดแย้งทางสีผิวก็ใช่ย่อยครับ
หลังหมดสมัย "ร็อคกี้ มาเซียโน่" แช้มป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทผิวขาวแล้ว
แทบไม่มีนักมวยผิวขาวคนไหนเลย ที่ขึ้นมาครองบัลลังค์รุ่นยักษ์นี้ได้
เพราะมัแค่คนอย่าง โจ ฟราเซีย, จอร์จ โฟร์แมน , เคน นอร์ตั้น, โมฮัมเหม็ด อาลี และ แลรี่ โฮมส์ ที่ครองโลก
จวบจน "เจอรี่ คูนี่ย์" เจ้าของฉายา The great white hope ขึ้นชิงแช้มป์กับ แลรี่ โฮมส์
สังคมอเมริกันในยุคที่ยังมีเรื่องขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับสีผิวนั้น ตื่นเต้นกับ "ความหวังของคนขาว" มาก
แต่คูนี่ย์ก็ทำให้คนขาวผิดหวังทั้งประเทศ เมื่อแพ้น็อคคาเวที
ทั้งๆที่ในตอนนั้นมีการปลุกกระแสสังคมให้คนขาวเชียร์คูนี่ย์แบบคึกคัก
ก็ยังดีครับที่สังคมฝรั่งเขารู้แพ้ รู้ชนะ เพราะเขายอมรับผลการชกที่ออกมา
ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ
ที่เอากีฬามาเป็นตัวเชื่อมโยงก็มีนะครับ
เห็นกันชัดๆในยุคนี่เลยก็คือประเทศสเปนนี่แหละ
ทุกครั้งที่ "บาเซโลน่า" ลงฟาดแข้งกับ "รีอัล มาดริด"
มันไม่ใช่แค่เกมส์ฟุตบอลแบบปกติ แต่เป็นเกมส์แห่งเชื้อชาติครับ
เพราะพวกบาร์ซ่าถือว่าตัวเองเป็นพวก "คาตาลุนญ่า" ในขณะที่มองพวกมาดริดว่าเป็น "สแปนิช"
ความเจ็บช้ำในเรื่องเชื้อชาติของพวกเขามัน "ลืมยาก"
เพราะสิ่งที่นายพลฟรังโกทำกับพวกเขานั้นมันทำให้พวกเขาไม่มีทางญาติดีกับพวกสแปนิช
นัดใหญ่ๆแบบที่ "บาร์ซ่า" เจอกับ "มาดริด" แบบนี้
มันไม่ใช่แค่กีฬาครับ หากแต่มั "นัยยะทางการเมือง" ถึงขนาดมีชื่อเฉพาะสำหรับแม็ทช์ใหญ่ๆแบบนี้ว่า "เอล กราซิโก้" เลย.....
อืมมมมม....ฟังชื่อแล้วดูขลัง และ ยิ่งใหญ่จริงๆ
นอกจากการเมือง, สีผิว และ เชื้อชาติแล้ว
ความขัดแย้งทางเขตแดนก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำมาเกี่ยวกับกีฬาครับ
เมื่อครั้งเกิดปัญหาหมู่เกาะฟอลค์แลนด์นั้น
อังกฤษ และ อาร์เจนติน่า ได้ยกทัพเข้ารบกันอย่างดุเดือด
หากผมจำไม่ผิดเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ "ดยุค ออฟ ยอร์ค" ก็ได้ทรงไปรบกับเขาด้วย
สงครามครั้งนั้น....ลงเอยด้วยชัยชนะของอังกฤษครับ
พวกอาร์เจนไตน์เก็บความแค้นไว้แบบสุมอก
จนได้เวลาถอนแค้น เมื่ออังกฤษ กับ อาร์เจนติน่า ต้องมาเจอกันในฟุตบอลโลก
นัดนั้นเป็นนัดหยุดโลกอีกนัดนึงของโลกครับ เพราะมีเรื่องทางการเมืองมาเป็นปัจจัย
คราวนี้อาร์เจนติน่า "ถอนแค้น" ได้สำเร็จ
เพราะสามารถเอาชนะอังกฤษไปได้ด้วยสกอร์ 2-1
และยังเกิดตำนาน Hand of god ของ ดีเอโกเ มาราโดน่า
ที่ "เสือเตี้ย" ทำน่าเกลียดด้วยการเอามือปัดบอลเข้าประตูทีอังกฤษแบบหน้าตาเฉย
โดยที่กรรมการมองไม่ทันเห็น และ เป่าให้ได้ประตูท่ามกลางการประท้วงของฝั่งอังกฤษ
ปีเตอร์ ชิลตั้น นายทวารของอังกฤษ คงจดจำลูกนั้นไปจนวันตายแน่ๆครับ
ส่วนทางฝั่งอาร์เจนติน่านั้น
ผู้คนทั้งประเทศออกมาฉลองประหนึ่งว่าได้แช้มป์โลกไปแล้วเลย
เพราะมันเป็นชัยชนะที่มาเยียวยาหัวใจของคนอาร์เจนไตน์ ที่ฝังใจกับสงครามฟอลค์แลนด์ที่พวกเขาแพ้อังกฤษครับ
ตราบเท่าที่มนุษย์ยังเป็น "สัตว์สังคม"
กีฬา และ การเมือง ไม่อาจแยกกันได้จริงๆครับ
เพราะมันคือ "กลไก" ในการเอาชนะกันทางความคิด ในแบบที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องใช้ทักษะ
หากแต่เป็นการชนะกันในเชิง "สัญญลักษณ์" โดยที่ไม่ได้ใช้อาวุธมาห้ำหั่นกัน...........
ไม่ว่า "มวยการเมือง"
ระหว่างคนเสื้อเหลือง และ คนเสื้อแดง จะลงเอยอย่างไร
อย่างน้อยผมว่ามันก็คือ "ความงดงามของระบอบประชาธิปไตย"
ที่ทั้ง 2 สีเสื้อตกลงใจจะตัดสินกันด้วยกำปั้น และ ยืนยันว่าทุกอย่างจะจบลงที่เวที
โดยที่หลังจากนั้นแล้ว ทั้ง 2 สีเสื้อก็จะยังคงโลดแล่นถกเถียงกันต่อไปในมุมมองที่แตกต่างในเครือข่ายสังคมแห่งนี้
ผมว่างดงามกว่าคำว่า "ปรองดอง" ที่คนโน้น คนนี้พูดกันออกสื่อทุกวี่ทุกวันซะอีกขอรับ !!!!!!!!!!!