เราแค่อยากจะระบายค่ะ มันอืดอัด เหนื่อยใจ และท้อมาก เมื่อคนในครอบครัวของเราทะเลาะกันทุกวันและตลอดเวลา เราในฐานะคนกลางอึดอัดและปวดหัวมาก เบื่อมาก ไม่อยากรับรู้แล้ว แต่ก็ทิ้งพวกเค้าไม่ได้
ครอบครัวเราตอนนี้มีกันอยู่แค่ 3 คน คือเรา แม่ และน้องชาย พ่อเสียไปตั้งแต่เราได้ 3 ขวบ ตอนเด็กๆ เราจะไปอยู่กับญาติซะส่วนใหญ่ เรียนจบเราก็ไปอยู่คอนโดต่างหากเพราะใกล้ที่ทำงาน กลับบ้านเฉพาะวันสุดสัปดาห์ ตัวเราเองไม่ค่อยสนิทกับแม่และน้องมากนัก และนิสัยเราก็ไม่เหมือนพวกเค้า ปัญหาก็คือแม่เป็นคนมีปมตอนเด็ก ถูกเอาไปทิ้งให้ทำงานเป็นทาสให้กับญาติตั้งแต่เล็กๆ แกเลยกลายเป็นคนไม่ไหวใจคน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร และอารมณ์ร้ายมาก ด้วยความที่น้องชายอยู่กับแม่ตลอด เค้าสองคนสนิทกันมาก และแน่นอนน้องชายก็มีนิสัยถอดแบบจากแม่มา
ตอนหลังเราแต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และประกอบธุรกิจส่วนตัว โชคดีที่ธุรกิจประสบความสำเร็จ เราก็รับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ส่งเงินมาให้แม่ใช้จ่ายเดือนนึงหลายตังค์ แบบว่าเราอยากให้แม่อยู่สบาย เพราะแม่เองก็ลำบากมาเยอะ คือแบบว่าแม่อยากได้อะไร อยากกิน อยากเที่ยวที่ไหน เราทุ่มให้แม่หมดเลย เราไม่เคยเสียดาย แม่อยากได้รถ อยากได้บ้าน เราก็ซื้อให้แม่อย่างเต็มใจ แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ทำเราเหนื่อยใจมาก ก็คือแม่เราบ้ากับการทำบุญและไปหาคนทรงเจ้ามาก ขอให้เราส่งเงินเพิ่มมาให้ต่างหากจากเงินเดือน โดยเงินส่วนนี้แกจะใช้หมดไปกับการทำบุญทุกเดือน คือเป็นค่าทำบุญรายเดือนว่างั้น ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยเลย ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเราก็อยากช่วยเหลือคนที่ตกยากหรือเดือดร้อนให้พ้นทุกข์ โดยที่เราไม่เคยคาดหวังถึงผลบุญใดๆ ทั้งสิน แค่เห็นเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขแล้ว แต่การทำบุญของแม่เราไม่ใช่อย่างนั้น แม่คิดว่ายิ่งทำเยอะเท่าไหร่ แกก็จะได้ผลบุญมากยิ่งๆ ขึ้น แกชอบไปทำบุญสร้างนู้นสร้างนี้ตามวัดต่างๆ พักหลังหนักข้อจนถึงกับเอาเงินใช้จ่ายส่วนตัวทำบุญจนหมด แล้วก็คอยมาขอเงินเราเพิ่ม คิดดูเราไม่เคยเจอ ตักบาตรอะไรวันละหมื่น แม่ทำให้เรากลายเป็นคนเกลียดศาสนา เราไม่ชอบการไปทำบุญที่วัดกับแม่ ถ้าเราจะทำบุญแม่ก็จะคอยมายืนข้างๆ บังคับเราให้ใส่เงินลงไปในตู้เยอะๆ ถ้าเราใส่แบงค์ร้อยลงไป แกก็จะโกรธไม่มองหน้า
และวันที่เราหมดความอดทนกับแม่ก็มาถึง เราเล่าให้แม่ฟังว่าเรากำลังประกาศขายบริษัทนึงของเรา เพราะเราไม่มีเวลาดูแล แม่ก็เสนอว่า แม่จะไปบนที่วัดนึงช่วยให้เราขายบริษัทได้ แต่เราต้องแก้บนด้วยเงิน 1 แสนบาท ให้ยินแล้วเราปรี๊ดแตกเลย เราทำงานหาเงินมาด้วยความเหนื่อยยาก แต่แม่เราวันๆ คอยคิดแต่เรื่องผลาญเงิน อยากได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเราไม่ว่า แต่นี้มันมากไปแล้ว เราเลยบอกแม่ไปว่าเราไม่ชอบ และไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาคุยกับเราอีก แม่ก็ยังพยายามพูดว่ามันเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง เราก็เลยบอกไปว่าเราจะซวยจะเจ๊งเราก็จะไม่โทษใคร เราเชื่อในผลของการกระทำมากกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน เราจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกเราก็ไม่แคร์ ทุกอย่างมันอยู่กับตัวเรา แต่เราจะไม่ยอมเอาเงินไปละลายกับเรื่องไร้สาระพวกนี้ เมื่อวานเราโทรคุยกับแม่ แม่ก็เอาเรื่องบนมาพูดอีกแล้ว เราโมโหมาก บอกแกว่าเรื่องอะไรเรายอมแม่ตลอด แต่อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาพูดอีก ตอนนั้นเราโกรธมาก เราเลยบอกแม่ว่า 'แค่นี้นะ" แล้ววางหูโทรศัพท์ไปเลย เราโกรธจนนอนไม่หลับ เราอยากจะทำอะไรก็ได้ให้แม่เลิกงมงาย อยากให้แม่รับรู้บ้างว่าเราต้องลำบากขนาดไหน กว่าจะได้เงินมา
นอกจากปัญหาของแม่แล้ว น้องชายเราก็ก่อปัญหารายวัน เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่น้องกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าใครจะพูดด้วย จะพูดอะไรก็ตาม เค้าก็จะโกรธ แล้วด่ากลับสาดเสเทเสีย ซึ่งรวมถึงแม่เราด้วย เรานี้ไม่เคยคุยกับน้องชายมาเกือบ 10 ปีแล้ว เพราะคุยด้วยดีๆ ก็ถูกหาว่าพูดกับเค้าไม่ดี เราก็ไม่เข้าใจว่าเราต้องใช้คำราชาศัพท์กับน้องหรือยังไง
แม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับน้องชาย แล้วกลายเป็นเครื่องมือรับอารมณ์ของน้อง ส่วนใหญ่น้องชายจะไม่อยู่บ้าน ถ้าอยู่ก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม่เราอายุเกือบ 70 แล้ว ถูกทิ้งให้อยู่บ้านตัวคนเดียวตลอด 24 ชม แถบโดนน้องชายด่าโขกสับสารพัด เมื่อสามเดือนก่อนเรากลับไปเยี่ยมบ้าน สิ่งที่เราประสบมามันแย่มาก เราไม่คิดว่าน้องชายจะใช้คำพูดพวกนั้นกับแม่เรา มันนรกสุดๆ หยาบสุดๆ พอแม่โมโหขึ้นมา ทั้งสองคนก็ต่างแรงใส่กัน ต่างทำลายข้าวของในบ้านของแต่ละคน ความเสื่อมของน้องชายมันมากขึ้นเรื่อยๆ พอเราบินกลับไปแล้ว แม่ก็โทรมาฟ้องทุกวัน
ในฐานะคนกลางเรากลุ้มมาก เพราะตัวเราเองก็เหนื่อยเรื่องงาน เรื่องครอบครัวของตัวเอง และเรื่องเรียน แต่เราต้องมาคอยฟังปัญหารายวันตลอด เบื่อมาก ตอนนี้เราตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ให้แม่ ให้แม่ย้ายออกมาอยู่เองคนเดียว ยกบ้านเก่าให้น้องชายอยู่ไป เพราะเค้าสองคนอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว ตอนนี้เราก็ห่วงแม่มาก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับแม่ดี ทั้งปัญหาแม่กับน้อง และการใช้จ่ายเงินของแม่ เหนื่อย เครียด สุดๆ ตอนนี้เราก็ต้องมาเครียดอีกว่าแม่จะอยู่อย่างไงตัวคนเดียว
เหนื่อยใจกับการทำบุญของแม่ กับน้องชายที่ไร้เหตุผล
ครอบครัวเราตอนนี้มีกันอยู่แค่ 3 คน คือเรา แม่ และน้องชาย พ่อเสียไปตั้งแต่เราได้ 3 ขวบ ตอนเด็กๆ เราจะไปอยู่กับญาติซะส่วนใหญ่ เรียนจบเราก็ไปอยู่คอนโดต่างหากเพราะใกล้ที่ทำงาน กลับบ้านเฉพาะวันสุดสัปดาห์ ตัวเราเองไม่ค่อยสนิทกับแม่และน้องมากนัก และนิสัยเราก็ไม่เหมือนพวกเค้า ปัญหาก็คือแม่เป็นคนมีปมตอนเด็ก ถูกเอาไปทิ้งให้ทำงานเป็นทาสให้กับญาติตั้งแต่เล็กๆ แกเลยกลายเป็นคนไม่ไหวใจคน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร และอารมณ์ร้ายมาก ด้วยความที่น้องชายอยู่กับแม่ตลอด เค้าสองคนสนิทกันมาก และแน่นอนน้องชายก็มีนิสัยถอดแบบจากแม่มา
ตอนหลังเราแต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และประกอบธุรกิจส่วนตัว โชคดีที่ธุรกิจประสบความสำเร็จ เราก็รับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ส่งเงินมาให้แม่ใช้จ่ายเดือนนึงหลายตังค์ แบบว่าเราอยากให้แม่อยู่สบาย เพราะแม่เองก็ลำบากมาเยอะ คือแบบว่าแม่อยากได้อะไร อยากกิน อยากเที่ยวที่ไหน เราทุ่มให้แม่หมดเลย เราไม่เคยเสียดาย แม่อยากได้รถ อยากได้บ้าน เราก็ซื้อให้แม่อย่างเต็มใจ แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ทำเราเหนื่อยใจมาก ก็คือแม่เราบ้ากับการทำบุญและไปหาคนทรงเจ้ามาก ขอให้เราส่งเงินเพิ่มมาให้ต่างหากจากเงินเดือน โดยเงินส่วนนี้แกจะใช้หมดไปกับการทำบุญทุกเดือน คือเป็นค่าทำบุญรายเดือนว่างั้น ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยเลย ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเราก็อยากช่วยเหลือคนที่ตกยากหรือเดือดร้อนให้พ้นทุกข์ โดยที่เราไม่เคยคาดหวังถึงผลบุญใดๆ ทั้งสิน แค่เห็นเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขแล้ว แต่การทำบุญของแม่เราไม่ใช่อย่างนั้น แม่คิดว่ายิ่งทำเยอะเท่าไหร่ แกก็จะได้ผลบุญมากยิ่งๆ ขึ้น แกชอบไปทำบุญสร้างนู้นสร้างนี้ตามวัดต่างๆ พักหลังหนักข้อจนถึงกับเอาเงินใช้จ่ายส่วนตัวทำบุญจนหมด แล้วก็คอยมาขอเงินเราเพิ่ม คิดดูเราไม่เคยเจอ ตักบาตรอะไรวันละหมื่น แม่ทำให้เรากลายเป็นคนเกลียดศาสนา เราไม่ชอบการไปทำบุญที่วัดกับแม่ ถ้าเราจะทำบุญแม่ก็จะคอยมายืนข้างๆ บังคับเราให้ใส่เงินลงไปในตู้เยอะๆ ถ้าเราใส่แบงค์ร้อยลงไป แกก็จะโกรธไม่มองหน้า
และวันที่เราหมดความอดทนกับแม่ก็มาถึง เราเล่าให้แม่ฟังว่าเรากำลังประกาศขายบริษัทนึงของเรา เพราะเราไม่มีเวลาดูแล แม่ก็เสนอว่า แม่จะไปบนที่วัดนึงช่วยให้เราขายบริษัทได้ แต่เราต้องแก้บนด้วยเงิน 1 แสนบาท ให้ยินแล้วเราปรี๊ดแตกเลย เราทำงานหาเงินมาด้วยความเหนื่อยยาก แต่แม่เราวันๆ คอยคิดแต่เรื่องผลาญเงิน อยากได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเราไม่ว่า แต่นี้มันมากไปแล้ว เราเลยบอกแม่ไปว่าเราไม่ชอบ และไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาคุยกับเราอีก แม่ก็ยังพยายามพูดว่ามันเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง เราก็เลยบอกไปว่าเราจะซวยจะเจ๊งเราก็จะไม่โทษใคร เราเชื่อในผลของการกระทำมากกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน เราจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกเราก็ไม่แคร์ ทุกอย่างมันอยู่กับตัวเรา แต่เราจะไม่ยอมเอาเงินไปละลายกับเรื่องไร้สาระพวกนี้ เมื่อวานเราโทรคุยกับแม่ แม่ก็เอาเรื่องบนมาพูดอีกแล้ว เราโมโหมาก บอกแกว่าเรื่องอะไรเรายอมแม่ตลอด แต่อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาพูดอีก ตอนนั้นเราโกรธมาก เราเลยบอกแม่ว่า 'แค่นี้นะ" แล้ววางหูโทรศัพท์ไปเลย เราโกรธจนนอนไม่หลับ เราอยากจะทำอะไรก็ได้ให้แม่เลิกงมงาย อยากให้แม่รับรู้บ้างว่าเราต้องลำบากขนาดไหน กว่าจะได้เงินมา
นอกจากปัญหาของแม่แล้ว น้องชายเราก็ก่อปัญหารายวัน เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่น้องกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าใครจะพูดด้วย จะพูดอะไรก็ตาม เค้าก็จะโกรธ แล้วด่ากลับสาดเสเทเสีย ซึ่งรวมถึงแม่เราด้วย เรานี้ไม่เคยคุยกับน้องชายมาเกือบ 10 ปีแล้ว เพราะคุยด้วยดีๆ ก็ถูกหาว่าพูดกับเค้าไม่ดี เราก็ไม่เข้าใจว่าเราต้องใช้คำราชาศัพท์กับน้องหรือยังไง
แม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับน้องชาย แล้วกลายเป็นเครื่องมือรับอารมณ์ของน้อง ส่วนใหญ่น้องชายจะไม่อยู่บ้าน ถ้าอยู่ก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม่เราอายุเกือบ 70 แล้ว ถูกทิ้งให้อยู่บ้านตัวคนเดียวตลอด 24 ชม แถบโดนน้องชายด่าโขกสับสารพัด เมื่อสามเดือนก่อนเรากลับไปเยี่ยมบ้าน สิ่งที่เราประสบมามันแย่มาก เราไม่คิดว่าน้องชายจะใช้คำพูดพวกนั้นกับแม่เรา มันนรกสุดๆ หยาบสุดๆ พอแม่โมโหขึ้นมา ทั้งสองคนก็ต่างแรงใส่กัน ต่างทำลายข้าวของในบ้านของแต่ละคน ความเสื่อมของน้องชายมันมากขึ้นเรื่อยๆ พอเราบินกลับไปแล้ว แม่ก็โทรมาฟ้องทุกวัน
ในฐานะคนกลางเรากลุ้มมาก เพราะตัวเราเองก็เหนื่อยเรื่องงาน เรื่องครอบครัวของตัวเอง และเรื่องเรียน แต่เราต้องมาคอยฟังปัญหารายวันตลอด เบื่อมาก ตอนนี้เราตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ให้แม่ ให้แม่ย้ายออกมาอยู่เองคนเดียว ยกบ้านเก่าให้น้องชายอยู่ไป เพราะเค้าสองคนอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว ตอนนี้เราก็ห่วงแม่มาก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับแม่ดี ทั้งปัญหาแม่กับน้อง และการใช้จ่ายเงินของแม่ เหนื่อย เครียด สุดๆ ตอนนี้เราก็ต้องมาเครียดอีกว่าแม่จะอยู่อย่างไงตัวคนเดียว