
“ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ” จวกรัฐบาล ปชป.ใจดำปล่อยตามยถากรรม จี้ขอตัว “วีระ สมความคิด” รับโทษต่อในไทย ปูดถูกโทรขู่สกัดฟ้องรัฐบาล...
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา มี พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน โดยเชิญ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ สมาชิกเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่เพิ่งได้รับอภัยโทษหลังถูกคุมขังในคุกกัมพูชากว่า 2 ปี ร.ต.แซมดิน เลิศบุษย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน ที่ได้รับการปล่อยตัวมาก่อนหน้านี้ เข้าชี้แจง โดยกรรมาธิการฯ ต่างตั้งคำถามถึงสิทธิมนุษยชนที่จะได้รับการดูแลระหว่างถูกคุมขัง ซึ่ง น.ส.ราตรี ชี้แจงว่า ผ่านการฝึกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาก่อนจึงปรับตัวได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดี น่าเป็นห่วงกว่าคือ นายวีระ สมความคิด ที่ยังถูกคุมขังอยู่ นอกจากจะมีปัญหาสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านหนังสือ หรือพูดคุยกับคนไทยคนใดเลย เพราะรัฐบาลกัมพูชามองว่าเป็นนักเคลื่อนไหวตัวจริง กลัวจะสร้างปัญหา แต่ยืนยันว่าพื้นที่ที่ถูกจับกุมเป็นดินแดนของไทย อยากฝากให้คณะกรรมาธิการฯ ช่วยตรวจสอบ ตนเห็นว่ารัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเท่าที่ควร ปล่อยให้ต่อสู้ลำพัง เพราะรัฐบาลนั้นสามารถจะยืนยันได้ว่าตนไม่ใช่สายลับของรัฐบาล
น.ส.ราตรี กล่าวต่อว่า การพระราชทานอภัยโทษให้ตนคงเป็นเหตุผลทางการเมือง แต่เรื่องการต่อรองไม่ทราบเขาบอกจะปล่อยก็ปล่อย แต่น่าจะมีสาเหตุจากการสานสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับรัฐบาลกัมพูชา กรณีตนอาจเป็นอุบัติเหตุที่ติดเข้าไปด้วยแล้วมาปล่อยทีหลัง ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลกัมพูชา เหตุใดนายวีระจึงไม่ได้ถูกปล่อยตัวมาพร้อมกัน ถ้ากัมพูชาต้องการปกป้องอาณาเขตตัวเอง ไม่มีนัยยะแอบแฝง ก็ควรให้สิทธิ์นายวีระโอนย้ายกลับมารับโทษในไทย แต่ถึงไม่มีการอภัยโทษตนและนายวีระก็เตรียมเรื่องขอโอนย้ายกลับไทยไว้แล้ว ซึ่งทางไทยก็รับทราบที่จะประสานกับทางการกัมพูชาเพราะถูกคุมขัง 2 ปีแล้ว สามารถใช้สิทธิโอนย้ายได้ ที่สำคัญหากรัฐบาลจริงใจที่จะช่วยเหลือนายวีระ ก็ควรดำเนินการอย่างเร่งรีบ ซึ่งนายวีระต้องการโอนย้ายตัวมารับโทษ มากกว่าขอพระราชทานอภัยโทษ
น.ส.ราตรี กล่าวว่า หลังจากตนและคณะถูกจับ น่าสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เข้ามาช่วยเจรจากับเจ้าหน้าที่กัมพูชาครั้งแรกได้รับการยืนยันปล่อยตัว ตนและคณะจึงยื่นความต้องการขอเข้าไปดูหลักเขตที่ 46 ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยไปเจรจาและเดินกลับออกมาระบุว่า หมดหน้าที่ของทหารแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ จากนั้นตนและคณะก็ถูกควบคุมตัวไปขึ้นศาลกรุงพนมเปญ ซึ่งตามหลักการหากถูกจับในพื้นที่ใดต้องนำตัวขึ้นศาลนั้น จึงอยากให้คณะกรรมาธิการฯ เชิญตำรวจ ทหาร ที่ช่วยเจรจาในวันดังกล่าวมาชี้แจงด้วย จำได้ว่ามี ผกก.สภ.โคกสูง ตำรวจตระเวนชายแดนยศ พ.ต.ท. และทหารจากกองกำลังบูรพาอีก 2 นาย
ทั้งนี้ ในช่วงท้าย น.ส.ราตรี ยังระบุด้วยว่า ได้รับคำเตือนจากเพื่อนในกลุ่ม ที่ได้รับโทรศัพท์จากทหารนายหนึ่ง มาเตือนว่าหากตนคิดจะฟ้องร้องรัฐบาลเรียกค่าเสียหายฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ อาจได้ไม่คุ้มเสียและได้รับอันตราย ไม่ควรเคลื่อนไหวเพื่อจุดประเด็นเรื่องเขาพระวิหารอีก ตนกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรไปแจ้งความหรือไม่ เมื่อพูดถึงช่วงนี้ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการฯ ได้ท้วงติงว่า ประเด็นที่ น.ส.ราตรี ถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ผ่านเพื่อนต้องพิจารณาความจริงให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับหลายฝ่าย ก่อนไปแจ้งความไว้ ทำให้ น.ส.ราตรี กล่าวโต้ตอบด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า หรือจะรอให้ตนถูกลอบทำร้ายก่อนหรืออย่างไร หรือต้องรอให้ยิงพลาดก่อนใช่หรือไม่ จึงจะเชื่อว่ามีมูลความจริง ทำให้ พล.อ.อ.วีรวิท ต้องรีบไกล่เกลี่ย และรับปากที่จะดูแลเรื่องดังกล่าวให้ พร้อมสั่งปิดการประชุมในที่สุด.
http://www.thairath.co.th/content/pol/325275
พาเขาไปติดคุกแล้วไม่รับผิดชอบ เฮ้อ...ทำกันได้ลงคอ
'ราตรี' จวกรัฐบาลปชป.ใจดำ ปล่อยตามยถากรรม
“ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ” จวกรัฐบาล ปชป.ใจดำปล่อยตามยถากรรม จี้ขอตัว “วีระ สมความคิด” รับโทษต่อในไทย ปูดถูกโทรขู่สกัดฟ้องรัฐบาล...
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา มี พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน โดยเชิญ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ สมาชิกเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่เพิ่งได้รับอภัยโทษหลังถูกคุมขังในคุกกัมพูชากว่า 2 ปี ร.ต.แซมดิน เลิศบุษย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน ที่ได้รับการปล่อยตัวมาก่อนหน้านี้ เข้าชี้แจง โดยกรรมาธิการฯ ต่างตั้งคำถามถึงสิทธิมนุษยชนที่จะได้รับการดูแลระหว่างถูกคุมขัง ซึ่ง น.ส.ราตรี ชี้แจงว่า ผ่านการฝึกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาก่อนจึงปรับตัวได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดี น่าเป็นห่วงกว่าคือ นายวีระ สมความคิด ที่ยังถูกคุมขังอยู่ นอกจากจะมีปัญหาสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านหนังสือ หรือพูดคุยกับคนไทยคนใดเลย เพราะรัฐบาลกัมพูชามองว่าเป็นนักเคลื่อนไหวตัวจริง กลัวจะสร้างปัญหา แต่ยืนยันว่าพื้นที่ที่ถูกจับกุมเป็นดินแดนของไทย อยากฝากให้คณะกรรมาธิการฯ ช่วยตรวจสอบ ตนเห็นว่ารัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเท่าที่ควร ปล่อยให้ต่อสู้ลำพัง เพราะรัฐบาลนั้นสามารถจะยืนยันได้ว่าตนไม่ใช่สายลับของรัฐบาล
น.ส.ราตรี กล่าวต่อว่า การพระราชทานอภัยโทษให้ตนคงเป็นเหตุผลทางการเมือง แต่เรื่องการต่อรองไม่ทราบเขาบอกจะปล่อยก็ปล่อย แต่น่าจะมีสาเหตุจากการสานสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับรัฐบาลกัมพูชา กรณีตนอาจเป็นอุบัติเหตุที่ติดเข้าไปด้วยแล้วมาปล่อยทีหลัง ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลกัมพูชา เหตุใดนายวีระจึงไม่ได้ถูกปล่อยตัวมาพร้อมกัน ถ้ากัมพูชาต้องการปกป้องอาณาเขตตัวเอง ไม่มีนัยยะแอบแฝง ก็ควรให้สิทธิ์นายวีระโอนย้ายกลับมารับโทษในไทย แต่ถึงไม่มีการอภัยโทษตนและนายวีระก็เตรียมเรื่องขอโอนย้ายกลับไทยไว้แล้ว ซึ่งทางไทยก็รับทราบที่จะประสานกับทางการกัมพูชาเพราะถูกคุมขัง 2 ปีแล้ว สามารถใช้สิทธิโอนย้ายได้ ที่สำคัญหากรัฐบาลจริงใจที่จะช่วยเหลือนายวีระ ก็ควรดำเนินการอย่างเร่งรีบ ซึ่งนายวีระต้องการโอนย้ายตัวมารับโทษ มากกว่าขอพระราชทานอภัยโทษ
น.ส.ราตรี กล่าวว่า หลังจากตนและคณะถูกจับ น่าสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เข้ามาช่วยเจรจากับเจ้าหน้าที่กัมพูชาครั้งแรกได้รับการยืนยันปล่อยตัว ตนและคณะจึงยื่นความต้องการขอเข้าไปดูหลักเขตที่ 46 ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยไปเจรจาและเดินกลับออกมาระบุว่า หมดหน้าที่ของทหารแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ จากนั้นตนและคณะก็ถูกควบคุมตัวไปขึ้นศาลกรุงพนมเปญ ซึ่งตามหลักการหากถูกจับในพื้นที่ใดต้องนำตัวขึ้นศาลนั้น จึงอยากให้คณะกรรมาธิการฯ เชิญตำรวจ ทหาร ที่ช่วยเจรจาในวันดังกล่าวมาชี้แจงด้วย จำได้ว่ามี ผกก.สภ.โคกสูง ตำรวจตระเวนชายแดนยศ พ.ต.ท. และทหารจากกองกำลังบูรพาอีก 2 นาย
ทั้งนี้ ในช่วงท้าย น.ส.ราตรี ยังระบุด้วยว่า ได้รับคำเตือนจากเพื่อนในกลุ่ม ที่ได้รับโทรศัพท์จากทหารนายหนึ่ง มาเตือนว่าหากตนคิดจะฟ้องร้องรัฐบาลเรียกค่าเสียหายฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ อาจได้ไม่คุ้มเสียและได้รับอันตราย ไม่ควรเคลื่อนไหวเพื่อจุดประเด็นเรื่องเขาพระวิหารอีก ตนกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรไปแจ้งความหรือไม่ เมื่อพูดถึงช่วงนี้ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการฯ ได้ท้วงติงว่า ประเด็นที่ น.ส.ราตรี ถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ผ่านเพื่อนต้องพิจารณาความจริงให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับหลายฝ่าย ก่อนไปแจ้งความไว้ ทำให้ น.ส.ราตรี กล่าวโต้ตอบด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า หรือจะรอให้ตนถูกลอบทำร้ายก่อนหรืออย่างไร หรือต้องรอให้ยิงพลาดก่อนใช่หรือไม่ จึงจะเชื่อว่ามีมูลความจริง ทำให้ พล.อ.อ.วีรวิท ต้องรีบไกล่เกลี่ย และรับปากที่จะดูแลเรื่องดังกล่าวให้ พร้อมสั่งปิดการประชุมในที่สุด.
http://www.thairath.co.th/content/pol/325275
พาเขาไปติดคุกแล้วไม่รับผิดชอบ เฮ้อ...ทำกันได้ลงคอ