~*Antique Article*~ Glory United (Part II) :: “เถ้าธุลีแห่งฟินิกซ์”

กระทู้สนทนา
Glory United
Part I  : โศกนาฎกรรมมิวนิก
http://pantip.com/topic/30118001
Part II : เถ้าธุลีแห่งฟินิกซ์


15 นาฬิกา 4 นาที วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1958 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถูกเผาผลาญเหลือเพียงเศษเครื่องบินและซากแห่งความฝันที่กลายเป็นเถ้าธุลี แมตต์ บัสบี้ พูดถึงสภาพสโมสรเวลานั้นว่า “มันต้องการใครสักคน ที่ก้าวข้ามหัวใจอันแหลกสลายและสามารถเงยหน้าทำงานต่อ” “จิมมี่คือคนผู้นั้น” แม้เขามิอาจทัดเทียมพระเจ้าที่สร้างโลกใน 7 วัน แต่ จิมมี่ เมอร์ฟีย์ ก็ได้สร้างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใหม่อีกครั้งภายใน 13 วัน

ความโศกเศร้าที่เกาะกุมใจคนทั้งประเทศ ได้ทำลายเส้นแบ่งความเป็นศัตรูที่ถูกสร้างโดยประวัติศาสตร์ โดย ‘ลิเวอร์พูลคือหนึ่งในสโมสรแรก’ ที่ให้ความช่วยเหลือ เมอร์ฟีย์จำเหตุการณ์ได้ดี วันนั้น “ประธานสโมสรลิเวอร์พูลต่อสายตรงถึงผม เพื่อต้องการทราบว่ามีผู้เล่นใดจากแอนฟิลด์ที่สามารถทำให้ยูไนเต็ดคงอยู่ได้บ้าง” นอกจากนี้ ยังมีคลื่นน้าใจที่ปลอบประโลมปีศาจแดงจากทั่วสารทิศ ตลอด 13 วันก่อนกำหนดขึ้นสังเวียน

ผู้ที่น่ารักที่สุดคนนึงคือประธานสโมสรแอสตันวิลล่า แกลงทุนทำอุบายว่าชวนนักเตะของตนไปให้กำลังใจ แต่ระหว่างเดินทางมาไกลพอสมควร แกก็พูดว่า “นายต้องช่วยพวกเขา” นักเตะตกใจแล้วกล่าวว่า “ผมไม่มีรองเท้า” แกตอบทันควัน “ฉันเตรียมมาให้แล้ว” เมื่อถูกมัดมือชกก็เลยต้องเซ็นสัญญาไปเป็นสมาชิกปีศาจแดงถึงที่พักของเมอร์ฟีย์ เพราะเหลือเวลาก่อนเกมชี้ชะตาที่ต้องเจอกับเชฟฟิลด์เว้นส์เดย์ไม่ถึงชั่วโมง


อย่างไรก็ตาม เมอร์ฟีย์พยายามยืนด้วยลำแข้งตนเองให้มากที่สุด ดันเยาวชนที่ไม่เคยแม้แต่เล่นให้ชุดสำรองมาเล่นชุดใหญ่ รวมถึงซื้อนักเตะเท่าที่ทุนทรัพย์น้อยนิดอำนวย ทำให้ทีมชุดนี้ดูไม่สมประกอบนัก แต่เมื่อเกมแห่งประวัติศาสตร์มาถึง ทันทีที่พวกเขาพ้นจากอุโมงค์ ก็พบว่าทั่วโอลด์แทรฟฟอร์ดเต็มไปด้วยแฟนบอลจากหลายสโมสรที่ตะโดนคำว่า “ไปต่อๆ” ซ้ำไปซ้ำมา ปลุกไฟในทีมพิการนี้ให้ลุกโชนจนชนะไป 3-0

แรงเชียร์ที่ล้นหลามส่งพวกเขาทะลุถึงรอบชิงเอฟเอคัพอย่างน่าอัศจรรย์ เพื่อประกาศถึงการคืนชีพ ปีศาจแดงได้เปลี่ยนตราบนเสื้อเป็นนกอินทรี หนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมืองแมนเชสเตอร์ อันเดียวกับที่แมนซิตี้ใช้ในปัจจุบันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แม้เป็นนกตัวเดียวกัน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า ที่หน้าอกของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดวันนั้นคือ “ฟินิกซ์” วิหกเพลิงในตำนานซึ่ง ‘จุติจากเถ้าธุลี พร้อมเปลวเพลิงอันโชติช่วงร้อนแรง’

น่าเสียดายที่ปีศาจแดงพ่ายแพ้ให้แก่โบลตันในนัดชิงชนะเลิศ 2-0 ซึ่งไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะโศกนาฏกกรรมมิวนิกทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ในช่วงเวลาอันย่ำแย่ที่สุดก็จริง แต่อีกแง่หนึ่งก็เป็นโศกนาฏกรรมนี่เอง ที่ทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ในช่วงเวลาอันอบอุ่นที่สุด นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฟินิกซ์สัตว์ในปกรณัมตัวแทนแห่งความอมตะ ได้ประทับลงใจกลางจิตวิญญาณแห่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตราบจนถึงวันนี้


เบื้องหลังภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ชายที่น่าสรรเสริญที่สุดคือ จิมมี่ เมอร์ฟี่ย์ เพราะเขาได้รับทาบทามเป็นผู้จัดการทีมจากอาร์เซน่อล ยูเวนตุส รวมถึงบราซิล โดยได้ค่าจ้างสูงกว่าบัสบี้ถึง 2 เท่า แต่เมอรฟี่ปฏิเสธข้อเสนอที่มีไม่กี่คนจะได้รับ แล้วเลือกมาเผชิญความทุกข์ที่มีไม่กี่คนจะได้รับเช่นกัน ถึงกระนั้นเขาไม่เคยยกยอชูปั่นตนเอง กลับบอกปัดว่า “การอยู่รอดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นปาฏิหาริย์โดยน้ำมือพระเจ้า ไม่ใช่ผม”

เมอร์ฟี่ย์ฝ่าฝันบททดสอบด้วยหน้ากากแห่งความเข้มแข็ง แต่แท้จริงแล้วลูกทีมพบว่าเขาแอบร้องไห้อยู่เสมอ ซึ่งไม่น่าแปลก เพราะเด็กเหล่านั้นเขาเป็นคนฝึกเองทั้งหมดตั้งแต่เป็นเยาวชนจนก้าวสู่ชุดใหญ่ ฝึกแม้กระทั่งถึงกลางดึก หรือบางทีก็ลงทุนเฝ้าหน้าบ้านจนกว่าครอบครัวของเด็กจะยอมให้มาสวมเสื้อของแมนยูไนเต็ด

ตาลปัตรกับ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ที่กลายเป็นคนล่ะคน โชคชะตาขโมยรอยยิ้มของเขาไป ชาร์ลตันให้สัมภาษณ์ว่า “มันเป็นไปได้ยังไง ผมปลอดภัยแต่เพื่อนต้องตาย ทำไมผมต้องรอด” โศกนาฏกรรมนี้ได้สร้าง ‘ตราบาปของการมีชีวิตรอด’ เขาจึงพุ่งเป้าไปที่การพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสู่ความสำเร็จดั่งที่ผองเพื่อนวาดฝัน โดยแบกรับไว้คนเดียว เขาทั้งทุ่มเทและจริงจังในทุกเรื่อง อาจเพื่อเพียงแค่พิสูจน์ว่า ‘ความฝันไม่เคยมีวันตาย’

4 ปีผ่านไป ในปี 1962 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังไม่สามารถคืนสู่จุดสูงสุด หนำซ้ำยังรั้งอันดับ 19 ไม่ต่างกับคู่หูบัสบี้เมอร์ฟีย์ที่ไม่สามารถหานักเตะที่ฝีเท้าใกล้เคียงบัสบี้เบบส์หรือเซ้นส์บอลทันชาร์ลตัน กระทั่งมาเจอ “Denis Law” นักเตะเชื้อขี้เมาซึ่งเมอร์ฟีย์ยกย่องให้เป็นกองหน้าที่อันตรายที่สุดเท่าที่มีมา และลอว์นี้เองที่เป็นฮีโร่พาปีศาจแดงคว้าแชมป์เอฟเอคัพในซีซั่นนั้นทันที อันเป็นถ้วยแรกนับแต่การสร้างทีมใหม่


ถัดมาปี 1963 แมวมองส่งข้อความถึงบัสบี้ “ผมคิดว่าผมเจออัจฉริยะ” แล้วเด็กคนนั้นก็ถูกเรียกทดสอบฝีเท้า ความรู้สึกแรกที่เมอร์ฟีย์เห็นคือ “ทำไมมันบางจังว่ะ” แต่ทันใดที่ลงสนาม ไอ้หนู 15 ขวบจากเบลฟาสต์เลี้ยงครึ่งสนามแล้วซัดตุงตะข่าย บัสบี้หันไปพูดกับสต๊าฟว่า “ปล่อยให้พัฒนาโดยธรรมชาติ” “เราจะสอนอัจฉริยะได้ยังไง” เปเล่เรียกเขาว่า “ไอดอลของผมและนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก” บุรุษอันเป็นที่สุด “George Best”

สามทหารเสือ ชาร์ลตัน ลอว์ เบสต์ พาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสู่บัลลังก์แชมป์ลีกอีกครั้งในปี 1965 และ 1967 ได้โควตาสู่เวทียุโรป ซึ่งผีแดงยังคงสร้างความเหี้ยนเช่นในอดีต โดยเฉพาะเบสต์ที่มีรายชื่อทำประตูในทุกรอบการแข่งขัน สมดั่งความไว้วางใจที่บัสบี้กล่าวว่า “แผนง่ายๆที่ผมมักบอกลูกทีมคือ ส่งบอลไปให้จอร์จ” พวกเขาทะลวงมาถึงเวมบลีย์เวทีรอบชิงชนะเลิศ โดยปะทะกับ เบนฟิก้า ต้นสังกัดโคตรนักเตะ “Eusebio”

เริ่มเกม ชาร์ลตันเบิกสกอร์ ก่อนจะถูกตีเสมอ แล้วเกือบถูกยูเซบิโอฝังช่วงท้ายเกม จนแล้วจนรอดหาผู้ชนะไม่ได้ ต้องต่อเวลาพิเศษ ซึ่งเป็นเบสต์ที่ล็อคผู้รักษาประตูทำประตูขึ้นนำ จากนั้นปีศาจแดงทิ้งเป็น 3-1 ปิดด้วยชาร์ลตันตอกฝาโลง 4-1 ทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีด กัปตันชาร์ลตันผู้เย็นชาก็หลั่งน้าตาให้กับถ้วยยุโรปใบแรกของแมนยูไนเต็ดและอังกฤษในปี 1968 ซึ่งสุดบังเอิญที่เป็นครบรอบ 10 ปี การจากไปของบัสบี้เบบส์


เมื่อจบเกมบัสบี้เดินเข้าไปโผกอดชาร์ลตันที่ร่วมเส้นทางกับเขาตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ บัสบี้กล่าวว่า “ทันทีที่เห็นบ็อบบี้ชูถ้วย ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดจากตราบาปการมายุโรปมันหายไปแล้ว” อย่างไรก็ตามชาร์ลตันปฏิเสธที่จะร่วมเฉลิมฉลอง กลับขังตัวเองในห้องอย่างสันโดษแล้วหวนนึกถึงผองเพื่อนที่จากไป เมอร์ฟีย์คืออีกคนที่ไม่ได้ร่วมสังสรรค์ ตรงกันข้ามเขากลับพานักเตะเบนฟิก้าที่กำลังร่ำไห้ไปปลอบใจที่ห้องแต่งตัว

จากวันนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ไม่สามารถมาถึงจุดนี้อีกเลย จนผ่านมา 18 ปี “Alex Ferguson” เข้ากุมบังเหียนเป็นผู้จัดการทีม เขารับฟังเมอร์ฟี่ย์ที่ให้นำระบบเยาวชนกลับมาอีกครั้ง นั้นทำให้อเล็กซ์สามารถสร้างกลุ่มเยาวชนที่ยอดเยี่ยมนาม “นกน้อยของเฟอร์กี้” (Fergie’s Fledglings) โดยฝูงนกที่โด่งดังที่สุดคือ “Class Of 92” มีสมาชิกอาทิ เนวิลล์ กิกส์ สโคลส์ และเบ็คแฮม ซึ่งล้วนเติบโตเป็นพญาเหยี่ยวในปัจจุบัน

มาถึงตอนจบของงานเขียนนี้ ผมคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมกับย่อหน้าสุดท้ายเท่าเขาอีกแล้ว “จิมมี่ เมอร์ฟีย์”เจ้าของสมญานาม “หัวใจของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด” ซึ่งเขาได้ให้นิยามสโมสรแห่งนี้กับนักเตะของตนว่า

“นี้คือสโมสรที่ยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อนายสวมเสื้อสีแดงแล้วออกไปสู่สนาม จะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ชวนขนลุก“
“นายจะมีความสุขและไม่มีวันเสียใจที่ได้เป็นสมาชิกของที่นี้” “ไม่มีสโมสรใดในโลกเหมือนพวกเรา”[/size]

“Manchester United”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่