เมื่อวาน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้อง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี งดการแสดงความเห็น เรื่องปัญหาการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ที่ทำสัญญาสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ยังสร้างไม่เสร็จ 396 แห่งนั้น เชื่อว่า เป็นการหวังผลทางการเมือง และเป็นที่สังเกตว่า คนที่ต้องการตั้งข้อหา ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ว่าจะตั้งข้อหาอะไร ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่ทราบเรื่องสัญญา เพราะเป็นหน้าที่ของหัวหน้าผู้บริหารสัญญา จึงขอไปตรวจสอบก่อน
วันนี้
(6 ก.พ.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าวประจำสัปดาห์กรณีความคืบหน้าการสอบสวนโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ(ทดแทน)และการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย(แฟลต)ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่า ล่าสุดดีเอสไอพบหลักฐานสำคัญว่าก่อนหน้าที่จะมีการยกเลิกคำสั่งอนุมัติก่อสร้างเป็นรายกองบัญชาการ1-9 มาเป็นการประมูลแบบรวมสัญญา บริษัทผู้รับเหมาเคยรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสตช.ในขณะนั้น ซึ่งมีสาระสำคัญระบุว่าหากสตช.จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมจากการประมูลรายภาคมาเป็นสัญญาเดียวทั้ง 2 โครงการ ก็ขอให้นายกฯอย่าได้ลงนามอนุมัติหรือเห็นชอบโดยเด็ดขาด เพราะการจัดซื้อจัดจ้างวิธีดังกล่าวจะเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รับจ้างส่วนใหญ่ของประเทศ นายกฯเห็นชอบและอนุมัติจะเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างเพียงรายเดียวทันที เพราะผู้รับจ้างในภูมิภาคมีผลงานการก่อสร้างและวงเงินค้ำประกันสัญญาไม่สูงพอที่จะรับงาน อีกทั้งการก่อสร้างโดยรวมเพียงสัญญาเดียวก็ขัดต่อความเป็นจริงโดยทั่วไป เพราะผู้รับจ้างรายเดียวไม่สามารถก่อสร้างอาคารในสถานที่ห่างไกลทั่วประเทศได้ภายในระยะเวลาพร้อมกัน
นายธาริต ยังกล่าวต่อว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังยกตัวอย่างความล้มเหลวการจัดจ้างแบบรวบสัญญาที่สตช.เคยประสบมาแล้ว คือแฟลตตำรวจที่มอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการแล้วไม่สามารถแล้วเสร็จตามสัญญา เช่น ในจังหวัดภาคเหนือและชายแดนภาคใต้ที่ใช้เวลาก่อสร้างนาน4-5 ปี อีกทั้งที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดใช้แนวทางจัดจ้างแบบรวมงบประมาณเป็นสัญญาเดียว เช่นการก่อสร้างโรงพยาบาล หอพักแพทย์ พยาบาลทั่วประเทศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่2 (เอสพี 2) เช่นเดียวกับสตช.ก็ไม่ใช้วิธีจัดจ้างแบบรวมสัญญา ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายฮั้วประมูล โดยหนังสือฉบับดังกล่าวมีการเข้าชื่อกันเป็นหางว่าวรวม 8 บริษัท โดยชื่อแรกที่ร่วมคัดค้านคือบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งนี้ ดีเอสไอจึงเห็นควรว่าจำเป็นต้องเรียกนายอภิสิทธิ์เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเช่นกัน และหากพบว่ามีมูลความผิดก็ต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ไต่สวนต่อไป
“ขณะนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งหนังสือฉบับดังกล่าวส่งบุคคลทั้งสอง แต่การคัดค้านไม่เป็นผลฝ่ายการเมืองยังคงสั่งอนุมัติยกเลิกให้รวมเป็นสัญญาเดียว เมื่อมีหลักฐานโยงไปถึงนายอภิสิทธิ์ ดังนั้น ตนได้หารือพนักงานสอบสวนแล้วว่านอกจากนายสุเทพแล้วจำเป็นต้องเชิญนายอภิสิทธิ์มาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม” นายธาริต กล่าว
นายธาริต ยังกล่าวว่า หลังได้รับเรื่องร้องทุกข์ซึ่งดีเอสไอยังพบการกระทำความผิดเข้าข่ายข้อหาฉ้อโกง ซึ่งล่าสุดมีบริษัทรับเหมาช่วง 5บริษัท เข้ามาให้ถ้อยคำและร้องทุกข์ฐานฉ้อโกงกับบริษัท พีซีซีฯ ซึ่งมีพฤติการณ์ทั้งฉ้อโกงงบประมาณสตช.ที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วมากกว่า1,500 ล้านบาท รวมถึงฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วง ด้วยการจ่ายเงินไม่ครบ หรือไม่จ่ายเงินค่าจ้าง แต่ได้งานไปของบจากสตช.เพิ่ม จากกรณีดังกล่าวดีเอสไอจึงได้อนุมัติให้สอบสวนกรณีฉ้อโกงเป็นคดีพิเศษทันที โดยเชื่อว่ายังมีผู้รับเหมาอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ร้องทุกข์ ซึ่งดีเอสไอขอให้มาร้องทุกข์ต่อเนื่องได้ทันที อย่างก็ตาม เนื่องจากการสอบสวนพบข้อเท็จจริงพอสมควรว่ามีการหลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณของสตช.ในวันนี้จึงได้ทำหนังสือพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ในฐานะที่สตช.เป็นเสียหายโดยตรงเข้ามาร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกงกับดีเอสไออย่างเป็นทางการ
เมื่อถามว่าขณะนี้การสอบสวนพบมีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแล้วหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า จากการสอบสวนพบมีข้อมูลบางอย่างเชื่อมโยงกันแต่ดีเอสไอยังไม่ขอเปิดเผยเพราะเกรงว่าพยานจะไม่ได้รับความปลอดภัยและอาจกระทบกับรูปคดี.
--------------------------
เอาไงดีล่ะ โมฆะบุรุษ
เมื่อวาน บอกตัวไม่รู้เรื่องสัญญา
วันนี้ หลักฐานตำตา เขาเตือนแล้วว่า อย่าเซ็น
เอาไงดีล่ะทีนี้ ท่านโมฆะบุรุษ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้อง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี งดการแสดงความเห็น เรื่องปัญหาการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ที่ทำสัญญาสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ยังสร้างไม่เสร็จ 396 แห่งนั้น เชื่อว่า เป็นการหวังผลทางการเมือง และเป็นที่สังเกตว่า คนที่ต้องการตั้งข้อหา ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ว่าจะตั้งข้อหาอะไร ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่ทราบเรื่องสัญญา เพราะเป็นหน้าที่ของหัวหน้าผู้บริหารสัญญา จึงขอไปตรวจสอบก่อน
วันนี้
(6 ก.พ.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าวประจำสัปดาห์กรณีความคืบหน้าการสอบสวนโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ(ทดแทน)และการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย(แฟลต)ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่า ล่าสุดดีเอสไอพบหลักฐานสำคัญว่าก่อนหน้าที่จะมีการยกเลิกคำสั่งอนุมัติก่อสร้างเป็นรายกองบัญชาการ1-9 มาเป็นการประมูลแบบรวมสัญญา บริษัทผู้รับเหมาเคยรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสตช.ในขณะนั้น ซึ่งมีสาระสำคัญระบุว่าหากสตช.จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมจากการประมูลรายภาคมาเป็นสัญญาเดียวทั้ง 2 โครงการ ก็ขอให้นายกฯอย่าได้ลงนามอนุมัติหรือเห็นชอบโดยเด็ดขาด เพราะการจัดซื้อจัดจ้างวิธีดังกล่าวจะเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รับจ้างส่วนใหญ่ของประเทศ นายกฯเห็นชอบและอนุมัติจะเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างเพียงรายเดียวทันที เพราะผู้รับจ้างในภูมิภาคมีผลงานการก่อสร้างและวงเงินค้ำประกันสัญญาไม่สูงพอที่จะรับงาน อีกทั้งการก่อสร้างโดยรวมเพียงสัญญาเดียวก็ขัดต่อความเป็นจริงโดยทั่วไป เพราะผู้รับจ้างรายเดียวไม่สามารถก่อสร้างอาคารในสถานที่ห่างไกลทั่วประเทศได้ภายในระยะเวลาพร้อมกัน
นายธาริต ยังกล่าวต่อว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังยกตัวอย่างความล้มเหลวการจัดจ้างแบบรวบสัญญาที่สตช.เคยประสบมาแล้ว คือแฟลตตำรวจที่มอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการแล้วไม่สามารถแล้วเสร็จตามสัญญา เช่น ในจังหวัดภาคเหนือและชายแดนภาคใต้ที่ใช้เวลาก่อสร้างนาน4-5 ปี อีกทั้งที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดใช้แนวทางจัดจ้างแบบรวมงบประมาณเป็นสัญญาเดียว เช่นการก่อสร้างโรงพยาบาล หอพักแพทย์ พยาบาลทั่วประเทศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่2 (เอสพี 2) เช่นเดียวกับสตช.ก็ไม่ใช้วิธีจัดจ้างแบบรวมสัญญา ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายฮั้วประมูล โดยหนังสือฉบับดังกล่าวมีการเข้าชื่อกันเป็นหางว่าวรวม 8 บริษัท โดยชื่อแรกที่ร่วมคัดค้านคือบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทั้งนี้ ดีเอสไอจึงเห็นควรว่าจำเป็นต้องเรียกนายอภิสิทธิ์เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเช่นกัน และหากพบว่ามีมูลความผิดก็ต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ไต่สวนต่อไป
“ขณะนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งหนังสือฉบับดังกล่าวส่งบุคคลทั้งสอง แต่การคัดค้านไม่เป็นผลฝ่ายการเมืองยังคงสั่งอนุมัติยกเลิกให้รวมเป็นสัญญาเดียว เมื่อมีหลักฐานโยงไปถึงนายอภิสิทธิ์ ดังนั้น ตนได้หารือพนักงานสอบสวนแล้วว่านอกจากนายสุเทพแล้วจำเป็นต้องเชิญนายอภิสิทธิ์มาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม” นายธาริต กล่าว
นายธาริต ยังกล่าวว่า หลังได้รับเรื่องร้องทุกข์ซึ่งดีเอสไอยังพบการกระทำความผิดเข้าข่ายข้อหาฉ้อโกง ซึ่งล่าสุดมีบริษัทรับเหมาช่วง 5บริษัท เข้ามาให้ถ้อยคำและร้องทุกข์ฐานฉ้อโกงกับบริษัท พีซีซีฯ ซึ่งมีพฤติการณ์ทั้งฉ้อโกงงบประมาณสตช.ที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วมากกว่า1,500 ล้านบาท รวมถึงฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วง ด้วยการจ่ายเงินไม่ครบ หรือไม่จ่ายเงินค่าจ้าง แต่ได้งานไปของบจากสตช.เพิ่ม จากกรณีดังกล่าวดีเอสไอจึงได้อนุมัติให้สอบสวนกรณีฉ้อโกงเป็นคดีพิเศษทันที โดยเชื่อว่ายังมีผู้รับเหมาอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ร้องทุกข์ ซึ่งดีเอสไอขอให้มาร้องทุกข์ต่อเนื่องได้ทันที อย่างก็ตาม เนื่องจากการสอบสวนพบข้อเท็จจริงพอสมควรว่ามีการหลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณของสตช.ในวันนี้จึงได้ทำหนังสือพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ในฐานะที่สตช.เป็นเสียหายโดยตรงเข้ามาร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกงกับดีเอสไออย่างเป็นทางการ
เมื่อถามว่าขณะนี้การสอบสวนพบมีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแล้วหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า จากการสอบสวนพบมีข้อมูลบางอย่างเชื่อมโยงกันแต่ดีเอสไอยังไม่ขอเปิดเผยเพราะเกรงว่าพยานจะไม่ได้รับความปลอดภัยและอาจกระทบกับรูปคดี.
--------------------------
เอาไงดีล่ะ โมฆะบุรุษ
เมื่อวาน บอกตัวไม่รู้เรื่องสัญญา
วันนี้ หลักฐานตำตา เขาเตือนแล้วว่า อย่าเซ็น