~*Antique Article*~ Glory United (Part I) :: “6 กุมภาพันธ์ 1958 โศกนาฏกรรมมิวนิก”

กระทู้สนทนา
~*Antique Article*~ Glory United (Part I) :: “6 กุมภาพันธ์ 1958 โศกนาฏกรรมมิวนิก”

Part I : โศกนาฏกรรมมิวนิก



แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรที่แฟนบอลมากที่สุด 659 ล้านคน สโมสรที่มูลค่ามากที่สุด 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เหนือทุกทีมในทุกกีฬาบนโลก นี้คือรางวัลแด่หยาดเหงื่อและคราบน้าตาที่เกิดจากความสูญเสีย ซึ่งบ้างอาจหลงลืมบ้างอาจไม่รู้จักมัน ผมจึงขอนำเหตุการณ์ที่ ไรอัน กิ๊กส์ เรียกว่า “ห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดของสโมสร” มารำลึกจิตวิญญาณของปีศาจแดง เหตุการณ์นั้นคือ “โศกนาฏกรรมมิวนิก” (Munich Air Disaster)

ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าสโมสรแห่งนี้ก่อตั้งจากพนักงานรถไฟ มีชื่อเดิมว่า “นิวตัน ฮีธ” (Newton Heath) ต่อมาได้เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกสูงสุด แต่ก็ดันรั้งบ๊วยตั้งแต่ฤดูกาลแรกและตกชั้นในฤดูกาลถัดไป แค่นั้นไม่พอเกือบตกจากดิวิชั่น 2 ไปดิวิชั่น 3 อีกทั้งนักเตะมาโดนแบนในคดีล้มบอล หน่าซ้าโอลด์แทรฟฟอร์ดยังโดนกองทัพอากาศนาซีถล่ม รวมถึงมีหนี้สินกองโตจนแทบปิดสโมสร น้อยทีมที่จะมีภูมิหลังบัดซบขนาดนี้

ในยามวิกฤติบอร์ดบริหารกลับพบวีรบุรุษเลือดสก็อตที่เคยเป็นทั้งนักเตะของแมนซิตี้และกัปตันของหงส์แดง ซึ่งเขาแสดงฝีมือการเป็นโค้ชฟุตบอลในกรมทหารช่วงสงครามโลกได้เตะตา จนโดนทาบทามตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล แต่เพราะแนวคิดที่ไม่ลงรอยกัน อดีตเด็กขุดถ่านหินจึงเซ็นข้อเสนอผู้จัดการทีมจากยูไนเต็ดแทน บุคคลในวันนั้นคือรูปปั้นตระหง่านหน้าโรงละครแห่งความฝันในวันนี้ “Sir Matt Busby”



ก่อนรับงานบัสบี้ได้ยื่นคำขาดว่าเขาต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จปราศจากการแทรกแซง เมื่อทางสโมสรยินยอม สิ่งแรกที่เขาทำคือดึง “Jimmy Murphy” ผู้ที่เขาประทับใจในวาทศิลป์ซึ่งรู้จักมักคุ้นกันที่กรมทหาร มานั่งแท่นมือขวายามฤดูใบไม้ผลิปี 1945 นับแต่นั้นสองเกลอได้บากบั่นมุ่งมั่นจนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์เอฟเอคัพปี 1948 รองแชมป์ลีก 4 สมัย และปี 1952 ก็ยลโฉมแชมป์ลีกได้ในที่สุด อันเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี

ท่ามกลางความสำเร็จทั้งคู่พบว่า นักเตะอายุมาก จึงวางพิมพ์เขียวเฟ้นหาผู้เล่นมาแทนที่ ซึ่งทุกยุคทุกสมัยมักลงทุนกับนักเตะสำเร็จรูป แต่พวกเขากลับทุ่มทุนกับการพัฒนาเยาวชนและระบบแมวมอง ‘ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน’ จนเนรมิตที่นี่เป็นแหล่งรวมเด็กพรสวรรค์ทั่วสหราชอาณาจักร โดยภายภาคหน้าเด็กเหล่านี้จะสร้างตำนานที่ไม่มีใครทำลายได้ตราบจนปัจจุบัน ภายใต้สมญานามเจ้าหนูของบัสบี้หรือ “Busby Babes”

สมาชิกที่โด่งดังของกลุ่มคงไม่พ้น “Sir Bobby Charlton” ตำนานตลอดกาล ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะลูกหนังที่เป็นปรากฏการณ์ จากการลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษในวัยเพียง 18 ปี ทั้งยังเปิดตัวในลีกสูงสุดตอนอายุ 16 ปีเท่านั้น เมอร์ฟี่ย์มือขวาของบัสบี้และผู้นำฝึกซ้อมเยาวชนถึงกับพูดถึงเขาว่า “ผมไม่สามารถสอนอะไรเด็กคนนี้ได้เลย” “เขาเป็นสิ่งมีชีวิตสองขาที่ยอดเยี่ยมที่สุด” ผมกำลังพูดถึงว่าที่ราชันลูกหนัง “Duncan Edwards”

คงมีใครอยากเห็นศักยภาพเจ้าหนูของบัสบี้ เพราะปี 1952 ได้มีการจัดเวทีแข่งขัน FA Young Cup สำหรับเยาวชนระหว่าง 15 ถึง 18 ปี เป็นครั้งแรกอย่างจวบเหมาะ โดยชุดเยาวชนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มี ดันแคน เอ็ดเวิร์ค ไม่ทำให้ผิดหวัง บรรจุผลงานที่คงกระพันถึงวันนี้ ‘ถล่มคู่ต่อสู้ 23-0’ เฉพาะเอ็ดเวิร์คคนเดียว 5 ประตู ด้วยฟอร์มอันเฉิดฉาย ทำให้ปีศาจแดงน้อยเป็นแชมป์แรกประจำการแข่งขันอย่างไม่ต้องพรรณนา



จากนั้นเด็กกลุ่มนี้ก็ทยอยก้าวสู่ชุดใหญ่ โดยมีเอ็ดเวิร์คเป็นแม่ทัพแต่วัยเยาว์ มีอยู่เกมนึง เมอร์ฟี่ย์ติผู้เล่นคนอื่น “นี้คือกีฬาที่เล่นเป็นทีม อย่าสนแต่ดันแคน” จบครึ่งแรกถูกนำ 1-0 ช่วงพักครึ่งเขาจึงกลับคำ “ลืมที่ฉันพูดซ่ะ มองหาดันแคนลูกเดียว” สิ้นสุด 90 นาที เอ็ดเวิร์คทำสองประตู พลิกกลับมาชนะ 2-1 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีเสียงตำหนิที่ไปฝากอนาคตของทีมไว้กับเยาวชน เพราะดูไม่ต่างจากการคบเด็กสร้างบ้านเท่าไรนัก

บัสบี้เบบส์ตบปากนักวิจารณ์ ครองแชมป์ลีกในปี 1956 ‘พร้อมสถิติไร้พ่ายในบ้าน โดยเฉลี่ยอายุแค่ 22 ปี’ บัสบี้ตระหนักว่าเด็กของเขาเก่งเกินกว่าจะดักดานแต่ในประเทศ จึงเสนอต่อสมาคมฟุตบอลให้สนับสนุนการเข้าร่วมเวทียุโรป แต่คำตอบจากสมาคมสุดจองหอง “ไม่อยากให้ยุ่งกับชาติไม่มีสกุล” ทว่าบัสบี้ยืนกรานในปณิธาน นำทัพแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็น ‘ทีมแรกของอังกฤษ’ ที่เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรยุโรป

เกมเหย้านัดแรกบนเวทียุโรปหรือยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในปัจจุบัน คู่ต่อสู้คือ อันเดอร์เลชท์แห่งเบลเยี่ยมซึ่งสุดอนาถ เพราะผีแดงผู้ดีล้างโคตรทีมจากผีแดงยุโรป ‘10-0’ เป็นสถิติสโมสรถึงวันนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้เกิดขึ้นที่รังของตนเอง เนื่องจากแข่งขันตอนเย็น แล้วโอลด์แทรฟฟอร์ดยังบ้านนอกไม่มีสปอตไลท์ จึงไปขอใช้สนามเมนโร้ดของแมนซิตี้ อย่างไรก็ตามในรอบรองชนะเลิศพวกเขาก็พ่ายแก่ เรอัลมาดริด แชมป์ประจำซีซั่น

ปีต่อมาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดป้องกันแชมป์ลีกพร้อมทำสถิติสโมสร 103 ประตูในหนึ่งฤดูกาล ตีตั๋วลุยยุโรปอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาฟอร์มหรูเช่นเคย จนมาถึงแมตซ์กับเรดสตาร์เบลเกรดในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยนัดแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ดปีศาจแดงชนะ 2-1 เกมถัดไปต้องไปเยือนถึงยูโกสวาเลียในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ แต่เพราะเหตุที่สมาคมคัดค้านการบุกภาคพื้นยุโรป ทำให้ไม่มีการเลื่อนเกมฟุตบอลลีกในวันที่ 8 กุมภาพันธ์



ที่แย่กว่านั้นคือฟุตบอลลีกมีกติกาให้รายงานตัวก่อนแข่งหนึ่งวัน ทำให้พวกเขาต้องกลับอังกฤษให้ทันวันที่ 7 กุมภาพันธ์ จึงบีบให้บัสบี้ลงทุนเช่าเครื่องบิน ถึงอย่างไรปัญหาข้างต้นไม่กระทบต่อคุณภาพ ผลการแข่งขันรวม 5-4 พาแมนยูไนเต็ดสู่รอบรองชนะเลิศสองสมัยติด ทว่าไม่มีใครรู้เลยนี้คือ ‘โชว์สุดท้ายของบัสบี้เบบส์’ เพราะระหว่างทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น หิมะโหมกระหน่ำตอนเครื่องลงจอดพักเติมน้ามันที่ ‘สนามบินมิวนิก’

ขณะที่เครื่องเตรียมเทคออฟได้เกิดเหตุขัดข้องไม่อาจออกบินได้ถึง 2 ครั้ง กระทั่งรอบที่ 3 เครื่องบินได้ฝืนแล่นออกไป แต่กลับไม่สามารถเชิดหัวขึ้น จึงพุ่งทะลุรันเวย์ไปปะทะกับรั้วและบ้านเรือนจนระเบิด ส่งผลให้บัสบี้เบบส์ เสียชีวิตทันที 7 ราย ที่เหลือบาดเจ็บสาหัสจนต้องแขวนสตั๊ด ไม่ก็เป็นตายเท่ากัน เช่น ดันแคน เอ็ดเวิร์ค หรือ แมตต์ บัสบี้ บางส่วนก็น่าอัศจรรย์ได้รับบาดแผลเล็กน้อย หนึ่งในนั้นคือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน

ชาร์ลตันซึ่งยังไม่รู้ผลลัพธ์ของอุบัติเหตุ เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นเด็กกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นอ่านชื่อเพื่อนร่วมทีม แล้วเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็ปริปากคำว่า “ตาย” ชาร์ลตันพูดถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า “ทันทีที่นึกชื่อพวกเขาทีล่ะคน มันเหมือนกับชีวิตผมถูกพลางไปทีล่ะส่วนๆ” ทั้งนี้ชาร์ลตันก็รับรู้ว่าเอ็ดเวิร์คยังมีชีวิต จึงรีบรุกไปหาว่าที่ราชันลูกหนัง ซึ่งชาร์ลตันจำเหตุการณ์วันนั้นได้ชัดเจน

“ทันใดที่ดันแคนเห็นผม เขาพูดว่า ‘ฉันรอแกอยู่ หายหัวไปไหนมาว่ะ’ คำพูดนี้ของเขา เหมือนกับสมัยที่พวกเราเข้ารับการฝึกทหาร ในคืนนึงผมมารายงานตัวสายทำให้ไม่มีที่นอนที่ดีนัก เขาจึงออกไปหาที่นอนให้ผม” “ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ถึงบาดเจ็บสาหัส ส่วนผมสามารถเดินขึ้นลงบันไดเพื่อเตรียมกระเป๋ากลับบ้าน” “เขาคือศูนย์รวมคุณสมบัติของนักเตะที่ผมพยายามจะเป็นให้ได้” “เขาคือฮีโร่ของผม”



ส่วนทางบัสบี้รู้สึกผิดอย่างที่สุด เนื่องจากการดื้อดึงมายุโรปทำให้เด็กเหล่านี้ต้องจากไป เขารำพึงว่า “ผมอยากตายและต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ เพราะผมสามารถยกเลิกการบินได้ ตอนนี้ผมไม่อยากยุ่งกับฟุตบอลอีกแล้ว” แต่ภรรยาของเขากลับท้วงขึ้น “ที่รักคุณรู้ไหม ฉันว่าเด็กพวกนั้นอยากให้คุณสู้ต่อ” บัสบี้นำคำพูดคู่ชีวิตมาไตร่ตรอง แล้วเปลี่ยนมาสาบานกับตนเองว่า “วันนึงผมจะนำถ้วยยุโรปมาอุทิศแด่เด็กๆของผม”

แต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่มีหนทางใดที่คำสัตย์ปฏิญาณของบัสบี้จะเป็นจริง เพราะโศกนาฏกรรมได้คร่าชีวิตสต๊าฟโค้ชหลักของทีมไปด้วย นี้จึงเป็นเวลาที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ‘ใกล้ความตายมากที่สุด’ และน่าจะเป็นเช่นนั้น หาก ‘จิมมี่ เมอร์ฟี่ย์’ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมไม่ติดภารกิจคุมทีมชาติเวลส์ จนไม่อาจเดินทางมากับทริปมรณะนี้ได้ ซึ่งหลังจากเมอร์ฟี่ย์ทราบข่าว เขากระดกเหล้าหมดขวดแล้วมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลมิวนิก

เมื่อเมอร์ฟี่ย์มาถึง พบว่าบัสบี้ยังไม่ได้สติ จึงเข้าเยี่ยมเอ็ดเวิร์คก่อน สิ่งที่เขาเห็นคือ ศิษย์รักทั้งขาหัก ซี่โครงแตก และไตเสียหาย แต่ทันใดที่เอ็ดเวิร์คเห็นเขา ประโยคแรกที่ออกมาอย่างแผ่วเบาคือ “เสาร์นี้ลงแข่งกี่โมง จิมมี่” “ผมพลาดเกมนี้ไม่ได้น่ะ” เมอร์ฟี่ย์ตอบกลับ “สามโมง นายไม่พลาดแน่” เขาบรรยายความรู้สึกตอนนั้นว่า “หัวใจสลาย” จากนั้นนับไปอีก 15 วันหลังเกิดเหตุ พระเจ้าก็นำบุตรของพระองค์กลับสู่อ้อมอก

“นี้คือการสูญเสียที่หนักหนาที่สุด ถ้าเขายังอยู่เปเล่ถูกกลบรัศมีแน่” เมอร์ฟี่ย์ยกย่อง ส่วนชาร์ลตันให้คำนิยามดันแคนคือ “นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล นับเท่าที่ผมเห็นในชีวิต” “เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองชั่งอ่อนหัดเหลือเกิน” ส่วน BBC อธิบายคุณสมบัติดั่งนี้ “ยิงแบบรูนีย์ แกร่งแบบวิดิช ปะทะแบบรอยคีน จ่ายแบบสโคลส์ นั้นแหละเอ็ดเวิร์ค” ทิ้งท้ายที่บัสบี้ซึ่งให้ความหมายว่า “นักเตะที่สมบูรณ์แบบที่สุด”



ตัดมาที่เมอร์ฟี่ย์อีกครั้ง ขณะกำลังเฝ้าบัสบี้ซึ่งต้องให้ออกซิเจน บัสบี้ได้พยายามรวมพลัง แล้วเปล่งเสียงว่า “จงโบกสะบัดธงแดงต่อไป” เขาพยักหน้าทั้งที่สิ้นหวัง แต่ทันใดที่กลับมาแมนเชสเตอร์ “ผมเห็นแฟนบอลนับพันมาให้กำลังใจ ผมเห็นผู้คนที่แม้ไร้เรี่ยวแรง แต่จิตวิญญาณยังแน่วแน่ ดั่งพวกเขาได้ส่งข้อความว่า สโมสรแห่งนี้ยังไม่ตาย แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะยืนหยัดต่อไป” “หัวใจผมอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ผมจะช่วยแมตต์เริ่มต้นใหม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน” และสุดท้ายขอปิดด้วยแถลงการณ์ของประธานสโมสรดังต่อไปนี้

“คุณต้องพามันไปจิมมี่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยิ่งใหญ่กว่าคุณ ยิ่งใหญ่กว่าผม ยิ่งใหญ่กว่าแมตต์ มันยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งสิ้น สโมสรแห่งนี้ต้องก้าวต่อไป”

“หนทางจากนี้คงยาวไกลและแสนสาหัส แต่เพื่ออุทิศแด่ความทรงจำต่อผู้เสียชีวิต เพื่อตอบแทนความสำเร็จและความมหัศจรรย์ที่พวกเขามอบให้แก่เรา” …

“แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะต้องผงาดอีกครั้ง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่