เรื่องสั้น "เสรีธิปไตย"

กระทู้สนทนา
เสรีธิปไตย

“ขณะนี้ผู้สื่อข่าวและประชาชนจำนวนประมาณ300คนได้ไปรวมตัวกันหน้าสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยบริเวณถนนสามเสนและแกนนำได้ประกาศว่าจะเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปที่ท้องสนามหลวงหลังจากที่ทางตำรวจได้ทำการควบคุมตัวนายนเรศ ไทยสรรค์และนายปรีติ ยงค์ตระกูล2 ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ เสียงประชาชนไปคุมขังที่สน.ชนะสงครามหลังจากทั้งสองได้ไปกรีดเลือดประท้วงหน้าสน.ชนะสงครามเนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เอาจริงเอาจังกับกรณ๊ที่ผู้สื่อข่าวทั้ง2ถูกลอบยิงขณะรถจอดติดไฟแดงบริเวณแยกบางลำภูเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา โดยสาเหตุคาดว่ามาจากการที่นักข่าวทั้ง2ได้ทำข่าวเปิดโปงการฮั้วประมูลรถยนต์ตำรวจครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้แกนนำได้กล่าวว่า...”

เสียงผู้สื่อข่าวสาวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง2เงียบหายไปหลังจากวิชัยยกรีโมทขึ้นมากดปิดโทรทัศน์และเปลี่ยนมาเปิดเพลงจากวิทยุเทปแทน วิทยุเทปเครื่องเก่ามีร่องรอยของการซ่อมแซมอยู่ทั่วร่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของมัน อายุของของมันก็ไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของของมันเท่าไรนัก มันพยายามเอื้อนเอ่ยเสียงออกจากปากของมันเหมือนคนที่หายใจเฮือกสุดท้ายก่อนลาจากโลกแต่มันก็ยังคงอยู่ไม่ได้จากไปไหน หลังจากมีเสียงกรอกแกรกอยู่สักพัก เพลงเดือนเพ็ญดังกังวานออกมาจากปากเก่าๆของมัน ถึงสภาพมันจะเก่าแค่ไหนแต่การดูแลรักษาที่ดีจากผู้เป็นเจ้าของก็ทำให้มันยังคงสามารถส่งเสียงเพลงขับกล่อมเขาอยู่ได้เสมอมา

วิชัยหลับตาและปล่อยให้เสียงเพลงขับกล่อมจิตใจของเขา ชายผู้ผ่านโลกมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ รอยยับย่นบนใบหน้า
สีดอกเลาชโลมอยู่ทุกอนูของเส้นผม ทำให้เขาดูแก่เกินวัย เขานึกถึงสิ่งที่ผ่านพ้นมาในอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเทปม้วนนี้พังก็คงถึงเวลาที่ต้องบอกลาเจ้าวิทยุเครื่องนี้เสียที ไอ้ทวีมันก็จะรีบด่วนตายไปไหน ลูกชายมันก็ไม่คิดจะทำร้านต่อเอาที่ไปขายให้เขาสร้างคอนโดฯเสียฉิบ สงสัยคงต้องซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องเสียที” เขาคุยกับตัวเองในใจ

เสียงนกกรงหัวจุกร้องดังขึ้นมาทำให้วิชัยต้องตื่นจากภวังค์นึกคิด เนื่องด้วยเมียของเขาตายไปหลายปีแล้วส่วนลูกชายคนเดียวก็ไปทำงานอยู่ที่ประเทศเยอรมันเขาจึงต้องหาสิ่งคลายเหงาบ้างนั่นคือการเลี้ยงนก ความจริงเขาก็ไม่ได้มีความนิยมชมชอบในการเลี้ยงสัตว์สักเท่าไรนักแต่เพื่อนสนิทที่เป็นคนนราธิวาสก็ได้ยกนกกรงหัวจุกตัวนี้มาให้เขาจนได้
“จะได้มีเพื่อนคุย ไม่ใช่วันๆเอาแต่หุบปากแล้วทำหน้ายับ” นั่นคือสิ่งที่เพื่อนเขาบอกในวันที่หยิบยื่นเจ้าด่านมาให้

“ว่าไงไอ้ด่านมีอะไรจะคุยกับกูก็ว่ามา” เขาเอ่ยพร้อมปรายหางตาไปทางมัน ไอ้ด่านไม่ตอบคำได้แต่ผงกหัวไปมา
วิชัยย้ายร่างอันผอมเกร็งจากโซฟาตัวโปรดไปยังตู้เย็นสีแดงจัดหลังใหญ่ สีของมันร้อนแรงตรงข้ามกับความเย็นเยียบที่อยู่ภายใน ไอเย็นกระทบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน หลังจากคัดสรรอยู่ชั่วครู่เขาก็หยิบเบียร์ดาวแดงเย็นฉ่ำที่สุดออกมา1ขวดเล็ก
แล้วเดินไปนั่งม้านั่งบริเวณหน้าบ้าน เขาไม่นิยมเสพเบียร์ที่ผลิตในประเทศไทยด้วยรู้สึกเฝื่อนปากและเขาก็เคยใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอยู่ที่ประเทศเยอรมันและติดใจรสชาติเบียร์ของที่นั่นมาก แต่ปัจจุบันนี้ก็หาเบียร์เยอรมันตกถึงท้องยากเย็นเสียเหลือเกิน ส่วนไอ้เบียร์ยี่ห้อดีๆก็หาซื้อยากนักเขาเลยต้องยอมจำนนกับไอ้ดาวแดง บ้านของเขาปกคลุมไปด้วยมวลหมู่ไม้น้อยใหญ่ทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นมีความร่มเย็นพอสมควรเหมือนไม่ได้อยู่กลางเมืองหลวง “บรรยากาศโพล้เพล้ ดูพระอาทิตย์โหม่งโลก เหมาะแก่การดื่มเป็นที่สุด” เขามักจะเอ่ยกับตัวเองเช่นนี้เป็นประจำก่อนดื่ม วิชัยเปิดขวดเบียร์แล้วดวดมันเข้าไปอึกใหญ่ แทบไม่ปล่อยให้รสชาติของมันซึมซาบเข้าไปในลิ้น เขาวางขวดลงบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหยิบกรงของไอ้ด่านมาไว้ข้างนอกพร้อมเปิดบทสนทนากับมัน

“ตกลงมีอะไรถึงได้เรียกกูรู้ไหมว่ากูไม่ชอบให้ใครมารบกวนกูตอนที่กูฟังเดือนเพ็ญ” ไอ้ด่านเงียบไม่ตอบคำ
“แหม่ นี่มันกวนบาทาเหมือนเจ้าของเก่าจริงๆ หรือว่าเบื่อหน้ากูแล้วเลยอยากกลับไปหาเจ้าของเก่า พรุ่งนี้กูจะได้เตรียมกระทะไว้ทอดกระเทียม จะได้ไปอยู่ด้วยกันสมใจอยาก แถมกูยังได้ของแกล้มอีกต่างหาก ฮ่าๆๆ” วิชัยหัวเราะแล้วก็ดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่  พลางเช็ดหยดเบียร์ที่หกออกมาจากริมฝีปาก
“กูล้อเล่นนะไอ้นกเวร ถึงจะพูดน้อยแต่ก็ร้องเพลงเพราะใช่ย่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปหาเพื่อนมาให้เอง”

เขาเดินไปที่ริมรั้วบ้านเพิ่อสูบบุหรี่ด้วยไม่ต้องการให้ไอ้ด่านหายใจเอาควันพิษเข้าสู่ร่างกายด้วยกลัวว่ามันจะร้องเพลงไม่เพราะเหมือนเช่นเคย เขาหยิบซองบุหรี่มาร์ลโบโร่สีแดงขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อพร้อมกับจุดมันด้วยไฟแช็คซิปโป้คู่ใจซึ่งเขาอยู่ร่วมกับมันมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยหนุ่มกระทง เขาไม่ชอบใช้ไฟแช็คธรรมดาเพราะเขาคิดว่ามันไม่สุนทรีย์เลยที่จะสูบบุหรี่ที่จุดจากไฟแช็คพลาสติกและซิปโป้มันมันมีเสียงเพราะเฉพาะตัวของมัน เสียงบานพับของมันครางเบาๆ ประกายไฟจากถ่านหินทำให้ไส้ของมันลุกเป็นไฟ เขาจ่อปลายบุหรี่แล้วกลืนลมเข้าไป เสียงฝาของมันปิดดังกังวานขณะที่เขากลืนควันเข้าปอดไปอึกใหญ่แล้วค่อยๆละเลียดควันออกมาตามไรฟัน ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนานเนื่องด้วยเวลานั้นไม่มีลม
เขาจ้องมองมันจนมันสลายตัวไป คืนวันนั้นวิชัยติดดาวแดงให้ตัวเองไป10ดวง เขาหลับสนิทโดยไม่ฝัน

วันรุ่งขึ้นวิชัยตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และไร้ซึ่งอาการเมาค้าง พิษจากแอลกอฮอลล์แทบจะทำอะไรเขาไม่ได้  เขาชำระล้างร่างกายและรับประทานอาหารเช้าอย่างง่าย ด้วยชีวิตตัวคนเดียวไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก ไข่ดาว2ฟอง
ไส้กรอก1อัน แน่นอนว่าต้องเป็นไส้กรอกเยอรมัน สลัดจานเล็กและนมจืดหนึ่งแก้ว ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้น โดยปกติวิชัยมักจะไม่ค่อยชอบทำอาหารกินเองเพราะเขาไม่ชอบการล้างจาน เขารู้สึกไม่ค่อยดีกับความไหลลื่นเป็นมันของน้ำมันทำอาหาร ส่วนมากเขาจะโทรสั่งอาหารจากร้านอาหารตามสั่งภายในบริเวณหมู่บ้านของเขา

วิชัยสวมหมวกใบโปรดและส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าก่อนออกจากบ้าน เขาเดินทอดน่องฝ่าอากาศชื้นเย็นของยามเช้าพร้อมกับสูบบุหรี่ยี่ห้อโปรดเพื่อไปขึ้นรถโดยสารประจำทาง ความจริงแล้ววิชัยถือเป็นคนมีอยู่มีกิพอสมควรถึงแม้ไม่ได้รวยล้นแต่ถ้าอยากได้อะไรที่ไม่เกินกำลังทรัพย์ก็มักจะหามาไว้ครอบครองเสมอ จากการรับราชการมาหลายสิบปีจนก้าวหน้าในหน้าที่การงานเงินบำนาญจากการขอเกษียนก่อนกำหนดแต่ละเดือนของเขาก็มากเกินพอสำหรับคนๆเดียว ทั้งๆที่เขามีรถMercedes-Benz 300SL Roadster สีแดงมันปลาบจนเกือบจะใช้แทนกระจกส่องหน้าได้จอดอยู่ที่บ้าน แต่เขามักจะใช้บริการรถโดยสารประจำทางเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจด้วยการอยู่คนเดียวจนเกิดความเบื่อหน่ายก็เป็นได้เขาเลยต้องการจะพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ครั้งสุดท้ายที่เขาใช้เจ้ารถคู่ใจคันนี้ก็คงเป็นเมื่อปลายปีที่แล้วที่เขาลงใต้ไปหาเพื่อนเก่าของเขาที่ตำบลท่าพญา จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างทางที่ขับรถไปนั้นเขาเปิดหลังคาผ้าใบสีขาวของมันออกให้ลมเย็นกระทบใบหน้าที่มีริ้วรอยของเขา เขารู้สึกเหมือนตัวเองคล้ายจะบินได้ ถึงเขาไม่ค่อยได้ใช้มันไปไหนเท่าไรนักแต่เขาก็ดูแลมันอย่างดี

เช้าวันนี้ผู้คนบริเวณป้ายรถโดยสารประจำทางยังไม่มากเท่าไรนัก เขาขึ้นรถประจำทางสาย59มุ่งสู่ตลาดนัดสวนจตุจักรเพื่อหาเพื่อนให้ไอ้ด่าน ตามปกติแล้วเช้าขนาดนี้พ่อค้านกส่วนมากยังเดินทางมาไม่ถึงสวนจตุจักรแต่เมื่อคืนนี้วิชัยได้โทรนัด
ช้วน พ่อค้าขายนกที่รู้จักมักคุ้นกันดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนแรกช้วนจะนำนกมาให้วิชัยดูถึงที่บ้าน แต่ด้วยความเกรงใจและต้องการรักษาพื้นที่ส่วนตัวเขาจึงนัดช้วนในเช้าวันนี้

หลังจากใช้เวลาไม่นานเขาก็ถึงจุดหมาย สวนจตุจักรเช้านี้เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาเตรียมของที่ร้านแล้วบ้างแต่ยังคงบางตาอยู่ เขาเดินตรงไปที่ร้านของช้วนที่โครงการ13 ป้ายร้านขนาดไม่ใหญ่ไม่โตเขียนเป็นอักษรภาษาอังกฤษว่า Happy Bird ติดอยู่เหนือหัวบริเวณทางเข้าร้าน ในบริเวณโครงการที่ขายสัตว์เลี้ยงจะมีกลิ่นของสิ่งปฏิกูลล่องลอยเจืออยู่ในอากาศ
วิชัยไม่ชอบกลิ่นนี้เลยและก็คงไม่มีใครหน้าไหนที่ชอบหรอก ชายวัยกลางคน รูปร่างอ้วนท้วน ศรีษะล้าน กล่าวทักทายวิชัยทันทีที่เห็นหน้า
“ว่าไงพี่วิชัย นัดผมแต่เช้าเลยนะ ตอนแรกเกือบจะตื่นไม่ไหวอยู่แล้วปวดหัวมาก เมื่อคืนตอนที่พี่โทรฯมาผมกำลังก๊งอยู่พอดีเลย เพื่อนมันเพิ่งขึ้นมาจากใต้ไม่ได้เจอกันนานเลยลากยาวไปเกือบตี2” ช้วนกล่าวทักทายด้วยความสนิทชิดเชื้อกันแต่ทำหน้าเหยเกแสดงอาการเมาค้าง ลมหายใจของช้วนเจือปนไปด้วยกลิ่นที่วิชัยคุ้นเคยแต่ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร
“อะไรวะ กูก็กินมาเหมือนกันตั้ง10ขวดคนเดียวแต่ขวดเล็กนะ ของไม่ดีหรือเปล่าวะถึงได้ค้างขนาดนี้” วิชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงกรั้วหัวเราะ
“แหม่พี่ ดีแค่ไหนถ้ากินเยอะมันก็ค้างเหมือนกันแหล่ะ ว่าแต่ทำไมนัดแต่เช้าขนาดนี้ล่ะ”
“กูไม่ชอบตอนคนเยอะๆ ร้อน อึดอัด วุ่นวาย ลายตา ว่าแต่มีนกอะไรแนะนำบ้างล่ะ”
“เยอะแยะเลยพี่ พี่ต้องบอกก่อนว่าพี่ชอบแบบไหน จะเอาพวกนกกรงแบบที่พี่เลี้ยงอยู่ไหมล่ะ”
วิชัยคิดกับตัวเองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
“กูว่าจะเอาแบบที่พูดได้น่ะเอาไว้แก้เหงาหน่อย ไอ้ด่านมันพูดไม้ได้ร้องเพราะอย่างเดียว แล้วมีอะไรแนะนำบ้างล่ะ”
“ที่ร้านผมมันก็มีทั่วๆไปแหล่ะ นกแก้ว นกยิ้มง นกขุนทอง  เดี๋ยวผมพาไปดูเลยละกัน”
ช้วนพาวิชัยเดินไปที่กรงนกทั้ง3สายพันธุ์ และแสดงการพูดของนกทั้ง3ให้วิชัยดู ช้วนบอกให้วิชัยเลือกนกเหล่านั้นก่อนจะไปทำธุระอื่นๆที่หลังร้าน
หลังจากที่เขาได้เลือกนกที่ถูกชะตาแล้วก็เดินไปบอกช้วนที่บริเวณหลังร้าน
“กูเอาขุนทองที่อยู่ในกรงชมพูละกัน กูรู้สึกถูกชะตากับมันดี”
“พี่นี่ไม่ธรรมนะตาถึงจริงๆ ไอ้ตัวนั้นถ้าไม่มีใครซื้อผมกะจะส่งประกวดแล้วนะนั่น ผมประคบประหงมเช้าเย็น ยุงไม่ให้ไต่ไรก็ไม่เคยให้ตอม เมียมาขอไปให้พ่อผมยังไม่ยอมเลยนะ”
“พอๆ จะขี้โม้เกินไปแล้ว พูดแบบนี้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาร้านเลยหรือเปล่าวะ”
“เอาน่าพี่ ถึงผมจะพูดเกินจริงไปบ้างแต่ผมรับรองว่านกตัวนั้นดีจริง”
“เออๆกูเชื่อแล้ว แล้วมันตัวละเท่าไหร่ล่ะ”
“ผมคิดราคาพี่น้องที่รู้จักกันมานานเลยนะ ตัวละ 3,500 ถ้วน”
“เออ ตกลง” พูดจบวิชัยก็ควักกระเป๋าเงินออกมา
“เฮ้ยพี่ ไม่คิดจะต่อราคาเลยหรอ”
“เอ้า ก็บอกว่าคิดราคาพี่น้องแล้วนี่”
“โธ่ การค้าขายมันก็ต้องมีต่อราคากันพอหอมปากหอมคอเป็นกลับแกล้มบ้าง” ช้วนพูดเจือใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ตั้งแต่เมียกูตาย ในชีวิตนี้กูไม่เคยมีการต่อราคาเกิดขึ้นอีกเลย” วิชัยพูดหน้าตาขึงขัง
“เอาล่ะๆ ผมคิดพี่3,000ถ้วน แต่มีข้อแม้”
“ไม่เอาๆ กูไม่ชอบข้อแม้” วิชัยพูดพร้อมยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้า
“ข้อแม้นี้พี่น่าจะชอบนะ แค่พี่อยู่ถอนเป็นเพื่อนผมหน่อย ไม่ได้เจอกันตั้งนานจะไม่นั่งคุยกันสักหน่อยหรอ”
“แต่เช้าเลยนี่นะ จะไม่รีบไปหรอวะ”
“จะร่ำสุราทั้งทีบรรยากาศไม่สำคัญเท่ามิตรสหายหรอกพี่”

ทั้งสองร่วมกันร่ำสุรากันอย่างสนุกสนานพูดคุยสารทุกข์สุกดิบและเรื่องสัพเพเหระกันอย่างออกรสชาติ ช้วนปล่อยให้ลูกจ้างที่ร้านเป็นคนขายนกในวันนั้น จนกระทั่งบ่ายแก่ๆวิชัยก็ขอตัวกลับบ้านเพราะคนเริ่มพลุกพล่านจนเขารู้สึกอึดอัด
เขานั่งรถประจำทางสายเดิมกลับบ้านบริเวณใกล้เคียงสนามหลวง วันนี้รถติดเป็นพิเศษเพราะมีการชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง รถเคลื่อนตัวได้ช้ามากจนวิชัยรู้สึกอดรนทนไม่ไหวเลยยอมลงเดิน ตามถนนนั้นมีผู้ที่กำลังเดินทางไปร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย บ้างถือป้าย บ้างมีผ้าคาดหัว ข้อความที่เขียนลงบนป้ายและผ้าเหล่านั้นส่วนมากก็จะเกี่ยวกับ
เสรีภาพ ประชาธิปไตย การคุกคามสื่อมวลชน อะไรเทือกนี้ ด้วยความสนใจวิชัยเลยเดินตามผู้ชุมนุมไปที่เวทีปราศรัยบริเวณท้องสนามหลวง เขาคิดว่าถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เดินกลับบ้านได้สะดวก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่