บังเอิญไปอ่านเฟสบุคของคุณปรีชาชาญเลยเอามาแชร์ให้อ่านกันคะ หลังจากเกิดดราม่าวอลเลย์บอลในช่วงระยะนี้ เห็นว่าเนื้อหาี่ดี และเป็นเรื่องราวดีๆคะ^^
กำลังใจเล็กๆ..แด่เจ็ดนักตบลูกยางสาวไทย
ความพ่ายแพ้..ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตการแข่งขัน
จงขอบคุณทุกเรื่องราวในชีวิต..ที่ทำให้ได้เรียนรู้
ขอบคุณอุปสรรค ที่ทำให้รู้จักวิธีแก้ปัญหา
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้รู้จักเตรียมใจ
ขอบคุณความพ่ายแพ้ ที่ทำให้เห็นคุณค่าของชัยชนะ
ขอบคุณน้ำตาที่ทำให้มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น
และขอบคุณเสียงบ่นด่าจากแฟนคลับบางคน ที่ไม่ยอมเข้าใจ "เกม..ที่เป็นเกมแห่งชีวิต"
และทำให้พวกเธอทั้งเจ็ดได้รู้จักคำว่า "ให้อภัย" กับคนเหล่านั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรเลย ที่ความพ่ายแพ้ของนักตบลูกยางสาวไทย ไม่ว่าในแม็ทช์สำคัญใดๆจะกลายมาเป็น talk of the town ให้แฟนคลับหลายๆคนที่ไม่เข้าใจ "เกม" มาดุด่าว่ากล่าวหรือพูดให้นักกีฬาน้อยเนื้อต่ำใจว่าเล่นแบบไร้สปิริตบ้าง เสียฟอร์มแบบไม่น่าจะเสียบ้าง หรือเหตุผลร้อยแปดใดๆที่สร้างโพสต์ขึ้นมาเพื่อกดดันทางอ้อมให้ผู้คนได้อ่านและโน้มน้าวความรู้สึกให้เห็นคล้อยตามความคิด ผมเองมักชอบทำอะไรแบบมีหตุผล ผมเคยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลสมัยเป็นนักเรียน รวมทั้งสมัยเป็นทหารอยู่ในกองทัพเรือ ผมอ่านนวนิยายหลายเรื่องที่เกี่ยวกับวอลเลย์บอล รวมทั้ง "ยอดหญิงนักตบ" ของไมตรี ลิมปิชาติ ที่ทำให้เห็นว่าคุณค่าของนักตบลูกยาง ไม่ได้อยู่แค่ "ต้องชนะ" แต่เป็นการเล่นยังไงให้ชนะใจ "คนดูส่วนใหญ่" โดยไม่ต้องไปสนใจกับคนดูที่ดู "เกม" ไม่เป็น เพราะอยากเห็นแต่ "ชัยชนะ" เท่านั้น
ผมจำคำพูดของโค้ชอ๊อดได้ดีสมัยที่เดินทางตามทีมไปแข่งขัน World Grand Prix โค้ชอ๊อดเคยบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเล่นดีทุกนัด เพราะทุกนัดที่นักกีฬาเราลงไปแข่งขันในแต่ละครั้ง เขาใส่ "ใจ" ลงไปในเกมไม่เท่ากัน หากวันนั้นเขาไม่สบาย เขาผิดใจกับแฟน พ่อแม่เขาป่วยอยู่ เขาปวดหัวเนื่องจากพักผ่อนน้อย ซ้อมหนักเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นและมีเหตุผล มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาแบบผิดหวังและคาดไม่ถึงได้เสมอ คนที่เข้าใจ "เกม" จึงต้องเรียนรู้ด้วยว่า วอลเลย์บอลนี่เขาเล่นกัน "เป็นทีม" ทุกคนต้องมี "กำลังใจเต็มร้อย" แม้ว่าทำเต็มที่แล้ว แต่ยังแพ้ พวกเธอก็ชนะใจตนเองที่ทำดีที่สุดแล้วและที่สำคัญ..ชนะใจผู้ชม "ส่วนใหญ่" ด้วย
เมื่อวานผมมีโอกาสได้เข้าไปในกระทู้วอลเลย์บอลในพันทิป "โดยไม่ได้ตั้งใจ" มันมีลิงก์ในเฟซบุ๊คผมที่เพียง "คลิ๊ก" มันก็พาเราให้เข้าไปรับรู้เรื่องราวมากมายที่อ่านแล้ว "บั่นทอนความรู้สึกอย่างแรง" ผมเองก็คล้ายนักกีฬาที่อ่านแล้วมีความรู้สึกไม่ต่างกัน ผมเคยเขียนอะไรหลายครั้ง ก็โดนต่อว่าจากแฟนคลับบางคน "ที่ไม่เข้าใจ ที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกตนเองตัดสินทุกอย่างรอบตัว" แต่ผมเองโชคดี เพราะผมคิดเสมอว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ผมเตือนตัวเองเสมอว่า "อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วตัดสินคนอื่น จากมุมมองของตัวเอง เพราะเราไม่ได้มีไม้บรรทัดวัดความถูกต้องของใคร และไม่ได้มีตาชั่งที่จะใช้วัดใคร ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่ ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญ เราเองต้องจดจำไว้ด้วยว่า..เราก็อาจจะไม่ได้ "ถูก" เสมอไป
เวลาที่นักกีฬาชนะ โดยเฉพาะกับแม็ทช์สำคัญๆระดับชาติ ทุกคนกรูกันเข้าไปแสดงความยินดี แต่พอเขาแพ้กลับมา หลายคนก่นด่าว่าอย่างเสียสติ ผมเองเป็นแค่ "คนกลาง" ที่บังเอิญได้ผ่านไปร่วมชะตาเดียวกันกับนักกีฬาเหล่านี้ เคยเห็นพวกเธอหัวเราะอย่างมีความสุขเวลาที่คว้าชัยชนะ กอดคอกันร้องไห้ เวลาที่พ่ายแพ้และสูญสิ้นความหวัง..แต่อย่างที่บอก ว่าหากเรารู้ว่านี่คือ "เกมของชีวิต" จะไม่มีเลยแม้สักครั้งที่ใครจะเหยียดหยามซ้ำเติมความปราชัยนั้น แต่กลับจะมอบกำลังใจ คำชื่นชม ให้เขาได้ทำหน้าที่ "เพื่อชาติ" ต่อไป เพราะ "วอลเลย์บอลเขาเล่นกันเป็นทีม" นักกีฬาสต๊าฟโค้ชและกองเชียร์ต้องเล่นไปด้วยกัน เพื่อ "ทีมชาติไทย"
อันที่จริงการที่เจ็ดนักตบ สาวไทยไปเล่นลีกอาชีพที่อะเซอร์ไบจัน หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้ไปเล่น "เพื่อชาติ" แต่ "เพื่อตัวเอง" หากคิดได้แค่นี้ ก็ถือว่าคิดแบบเข้าข้างตัวเองมากไป นักกีฬาพวกนี้เขาเหนื่อยมาเพื่อชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา และการไปเล่นที่อะเซอร์ไบจัน ก็เท่ากับพวกเธอได้ใช้เวลาเตรียมตัวฝึกปรือฝีมือเพื่อความพร้อมในการลงแข่งขันรายการยิ่งใหญ่ระดับทวีปและระดับโลกหลายรายการในปีนี้ ส่วนค่าตัวที่พวกเธอได้รับ ก็ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนความดี ความทุ่มเท ความเพียรพยายามในหลายๆปีที่พวกเธอ "ทำเพื่อชาติ" ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ใครที่เห็นฟอร์มพวกเธอหลุดไปบ้างก็ต้องเข้าใจนะครับว่า นักกีฬาไม่ได้ฟอร์มดีทุกวัน ที่สำคัญพวกเธอก็ไม่ได้เล่นให้กับทีมชาติไปจนแก่เฒ่า นักกีฬารุ่นน้องที่มีฝีมือดีกำลังได้ัรับการเจียรนัยเพื่อเข้ามาเสริมกำลังทีมชาติในอนาคตต่อไป ตอนนี้เจ็ดสาวยังพอทำหน้าที่ได้ ก็ต้องให้พวกเธอทำเต็มที่กับเวลาที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของพวกเธอที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันโอลิมปิค
ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้ เพื่อให้ใครมาชื่่นชม และคาดหวังว่าก็คงมี "ใคร" อีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย ที่พร้อมจะมาเขียนตอบโต้ เรื่องราวนี้ที่ผมใส่ "ใจ" ลงไปด้วย ผมคิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับหากจะมีใครเห็นต่าง และคิดว่า "ดาบจะดี ต้องตีเหล็กขณะไฟแรง" แต่หากคุณเขียนอย่างสร้างสรร เขียนด้วย "ใจ" ที่อยากเห็นนักกีฬาเขามีกำลังใจ มีความมุ่งมั่นมากขึ้น ผมคิดว่า พวกคุณรู้ดีว่าการเขียนอย่างสร้างสรรมันเป็นยังไง...
ท้ายนี้ ผมเองไม่ได้บ้าวอลเลย์บอล ไม่ได้คลั่งไคล้นักกีฬาจนเสียสติ แต่ผมดู "เกม" เป็นอย่างมีสติ เพราะเวลาดู "เกมการแข่งขัน" ผมไม่ได้ดูแค่ "เกม" และ "ผลการแข่งขัน" แต่ผมใช้ "ตาใน" ดูว่าเกมที่เราเห็น มันเป็นแค่ "เกมการแข่ง" หรือว่ามันเป็น "เกมแห่งชีวิต" ที่เราต้องใส่ "ใจ" ลงไปอ่านเกมด้วย มันจึงจะเข้าใจในอรรถรสของเกมทั้งในสนามและนอกสมรภูมิการแข่งขัน...
cr.facebook ปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์
เอ๊ะ!! เรามาช้าไปรึป่าว ก๊อปคำพูดของคุณปรีชาชาญมาให้แฟนๆวอลเลย์บอลทั้งหลายคะ
กำลังใจเล็กๆ..แด่เจ็ดนักตบลูกยางสาวไทย
ความพ่ายแพ้..ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตการแข่งขัน
จงขอบคุณทุกเรื่องราวในชีวิต..ที่ทำให้ได้เรียนรู้
ขอบคุณอุปสรรค ที่ทำให้รู้จักวิธีแก้ปัญหา
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้รู้จักเตรียมใจ
ขอบคุณความพ่ายแพ้ ที่ทำให้เห็นคุณค่าของชัยชนะ
ขอบคุณน้ำตาที่ทำให้มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น
และขอบคุณเสียงบ่นด่าจากแฟนคลับบางคน ที่ไม่ยอมเข้าใจ "เกม..ที่เป็นเกมแห่งชีวิต"
และทำให้พวกเธอทั้งเจ็ดได้รู้จักคำว่า "ให้อภัย" กับคนเหล่านั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรเลย ที่ความพ่ายแพ้ของนักตบลูกยางสาวไทย ไม่ว่าในแม็ทช์สำคัญใดๆจะกลายมาเป็น talk of the town ให้แฟนคลับหลายๆคนที่ไม่เข้าใจ "เกม" มาดุด่าว่ากล่าวหรือพูดให้นักกีฬาน้อยเนื้อต่ำใจว่าเล่นแบบไร้สปิริตบ้าง เสียฟอร์มแบบไม่น่าจะเสียบ้าง หรือเหตุผลร้อยแปดใดๆที่สร้างโพสต์ขึ้นมาเพื่อกดดันทางอ้อมให้ผู้คนได้อ่านและโน้มน้าวความรู้สึกให้เห็นคล้อยตามความคิด ผมเองมักชอบทำอะไรแบบมีหตุผล ผมเคยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลสมัยเป็นนักเรียน รวมทั้งสมัยเป็นทหารอยู่ในกองทัพเรือ ผมอ่านนวนิยายหลายเรื่องที่เกี่ยวกับวอลเลย์บอล รวมทั้ง "ยอดหญิงนักตบ" ของไมตรี ลิมปิชาติ ที่ทำให้เห็นว่าคุณค่าของนักตบลูกยาง ไม่ได้อยู่แค่ "ต้องชนะ" แต่เป็นการเล่นยังไงให้ชนะใจ "คนดูส่วนใหญ่" โดยไม่ต้องไปสนใจกับคนดูที่ดู "เกม" ไม่เป็น เพราะอยากเห็นแต่ "ชัยชนะ" เท่านั้น
ผมจำคำพูดของโค้ชอ๊อดได้ดีสมัยที่เดินทางตามทีมไปแข่งขัน World Grand Prix โค้ชอ๊อดเคยบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเล่นดีทุกนัด เพราะทุกนัดที่นักกีฬาเราลงไปแข่งขันในแต่ละครั้ง เขาใส่ "ใจ" ลงไปในเกมไม่เท่ากัน หากวันนั้นเขาไม่สบาย เขาผิดใจกับแฟน พ่อแม่เขาป่วยอยู่ เขาปวดหัวเนื่องจากพักผ่อนน้อย ซ้อมหนักเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นและมีเหตุผล มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาแบบผิดหวังและคาดไม่ถึงได้เสมอ คนที่เข้าใจ "เกม" จึงต้องเรียนรู้ด้วยว่า วอลเลย์บอลนี่เขาเล่นกัน "เป็นทีม" ทุกคนต้องมี "กำลังใจเต็มร้อย" แม้ว่าทำเต็มที่แล้ว แต่ยังแพ้ พวกเธอก็ชนะใจตนเองที่ทำดีที่สุดแล้วและที่สำคัญ..ชนะใจผู้ชม "ส่วนใหญ่" ด้วย
เมื่อวานผมมีโอกาสได้เข้าไปในกระทู้วอลเลย์บอลในพันทิป "โดยไม่ได้ตั้งใจ" มันมีลิงก์ในเฟซบุ๊คผมที่เพียง "คลิ๊ก" มันก็พาเราให้เข้าไปรับรู้เรื่องราวมากมายที่อ่านแล้ว "บั่นทอนความรู้สึกอย่างแรง" ผมเองก็คล้ายนักกีฬาที่อ่านแล้วมีความรู้สึกไม่ต่างกัน ผมเคยเขียนอะไรหลายครั้ง ก็โดนต่อว่าจากแฟนคลับบางคน "ที่ไม่เข้าใจ ที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกตนเองตัดสินทุกอย่างรอบตัว" แต่ผมเองโชคดี เพราะผมคิดเสมอว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ผมเตือนตัวเองเสมอว่า "อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วตัดสินคนอื่น จากมุมมองของตัวเอง เพราะเราไม่ได้มีไม้บรรทัดวัดความถูกต้องของใคร และไม่ได้มีตาชั่งที่จะใช้วัดใคร ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่ ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญ เราเองต้องจดจำไว้ด้วยว่า..เราก็อาจจะไม่ได้ "ถูก" เสมอไป
เวลาที่นักกีฬาชนะ โดยเฉพาะกับแม็ทช์สำคัญๆระดับชาติ ทุกคนกรูกันเข้าไปแสดงความยินดี แต่พอเขาแพ้กลับมา หลายคนก่นด่าว่าอย่างเสียสติ ผมเองเป็นแค่ "คนกลาง" ที่บังเอิญได้ผ่านไปร่วมชะตาเดียวกันกับนักกีฬาเหล่านี้ เคยเห็นพวกเธอหัวเราะอย่างมีความสุขเวลาที่คว้าชัยชนะ กอดคอกันร้องไห้ เวลาที่พ่ายแพ้และสูญสิ้นความหวัง..แต่อย่างที่บอก ว่าหากเรารู้ว่านี่คือ "เกมของชีวิต" จะไม่มีเลยแม้สักครั้งที่ใครจะเหยียดหยามซ้ำเติมความปราชัยนั้น แต่กลับจะมอบกำลังใจ คำชื่นชม ให้เขาได้ทำหน้าที่ "เพื่อชาติ" ต่อไป เพราะ "วอลเลย์บอลเขาเล่นกันเป็นทีม" นักกีฬาสต๊าฟโค้ชและกองเชียร์ต้องเล่นไปด้วยกัน เพื่อ "ทีมชาติไทย"
อันที่จริงการที่เจ็ดนักตบ สาวไทยไปเล่นลีกอาชีพที่อะเซอร์ไบจัน หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้ไปเล่น "เพื่อชาติ" แต่ "เพื่อตัวเอง" หากคิดได้แค่นี้ ก็ถือว่าคิดแบบเข้าข้างตัวเองมากไป นักกีฬาพวกนี้เขาเหนื่อยมาเพื่อชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา และการไปเล่นที่อะเซอร์ไบจัน ก็เท่ากับพวกเธอได้ใช้เวลาเตรียมตัวฝึกปรือฝีมือเพื่อความพร้อมในการลงแข่งขันรายการยิ่งใหญ่ระดับทวีปและระดับโลกหลายรายการในปีนี้ ส่วนค่าตัวที่พวกเธอได้รับ ก็ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนความดี ความทุ่มเท ความเพียรพยายามในหลายๆปีที่พวกเธอ "ทำเพื่อชาติ" ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ใครที่เห็นฟอร์มพวกเธอหลุดไปบ้างก็ต้องเข้าใจนะครับว่า นักกีฬาไม่ได้ฟอร์มดีทุกวัน ที่สำคัญพวกเธอก็ไม่ได้เล่นให้กับทีมชาติไปจนแก่เฒ่า นักกีฬารุ่นน้องที่มีฝีมือดีกำลังได้ัรับการเจียรนัยเพื่อเข้ามาเสริมกำลังทีมชาติในอนาคตต่อไป ตอนนี้เจ็ดสาวยังพอทำหน้าที่ได้ ก็ต้องให้พวกเธอทำเต็มที่กับเวลาที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของพวกเธอที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันโอลิมปิค
ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้ เพื่อให้ใครมาชื่่นชม และคาดหวังว่าก็คงมี "ใคร" อีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย ที่พร้อมจะมาเขียนตอบโต้ เรื่องราวนี้ที่ผมใส่ "ใจ" ลงไปด้วย ผมคิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับหากจะมีใครเห็นต่าง และคิดว่า "ดาบจะดี ต้องตีเหล็กขณะไฟแรง" แต่หากคุณเขียนอย่างสร้างสรร เขียนด้วย "ใจ" ที่อยากเห็นนักกีฬาเขามีกำลังใจ มีความมุ่งมั่นมากขึ้น ผมคิดว่า พวกคุณรู้ดีว่าการเขียนอย่างสร้างสรรมันเป็นยังไง...
ท้ายนี้ ผมเองไม่ได้บ้าวอลเลย์บอล ไม่ได้คลั่งไคล้นักกีฬาจนเสียสติ แต่ผมดู "เกม" เป็นอย่างมีสติ เพราะเวลาดู "เกมการแข่งขัน" ผมไม่ได้ดูแค่ "เกม" และ "ผลการแข่งขัน" แต่ผมใช้ "ตาใน" ดูว่าเกมที่เราเห็น มันเป็นแค่ "เกมการแข่ง" หรือว่ามันเป็น "เกมแห่งชีวิต" ที่เราต้องใส่ "ใจ" ลงไปอ่านเกมด้วย มันจึงจะเข้าใจในอรรถรสของเกมทั้งในสนามและนอกสมรภูมิการแข่งขัน...
cr.facebook ปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์