ผมทำงานเป็นเสมียนทนาย อยู่ที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่งครับ ไม่มีตั๋วทนาย ( ยังสอบตั๋วทนายไม่ได้ครับ)
ทุกวัน จันทร์ถึงเสาร์ ต้องตื่น ตี 4.45 เพื่อเดินทางมาถึงที่ทำงาน 7โมงครึ่ง ทุกวัน
ที่สำนักงาน ผมต้องไปกับ เจ้าของสำนักงาน ผมมีหน้าที่ หิ้วกระเป๋า+หอบสำนวน ตามเค้าไป เผื่อเค้าจะเรียกใช้ ให้ไปถ่ายเอกสาร, วิ่งไปหยิบคำร้อง 40ก.
บางทีก็ต้องรับบท โดนตะคอก ต่อหน้าคนอื่นๆในศาล บ้าง โดนตะคอกต่อหน้าลูกความบ้าง หน้าบัลลังก์บ้าง (รุ่นพี่บอกว่า เจ้าของสำนักงาน แกทำ เพื่อแสดงบารมี .....................แต่ผมโดนทุกครั้ง ผมก็เหนื่อยทุกครั้ง)
วันใหนที่ไปกับ เจ้าของสำนักงาน ถ้าอยู่ในกรุงเทพ ก็ถือว่าโชคดี ได้กลับบ้าน4โมงครึ่ง กลับมาถึงบ้าน 2ทุ่ม 3-4ทุ่มนอน (วันใหนโชคไม่ดี ต้องไปต่างจังหวัด ลูกพี่ก็จะปล่อยลงกลางทาง กลับถึงบ้าน 3ทุ่มบ้าง 4ทุ่มบ้าง กว่าจะได้นอนก็5ทุ่มเที่ยงคืน) แล้วก็ต้องตื่น ตี 4.45 อีก วนเวียนอย่างนี้ อาทิตย์ละ 6วัน
ผ่านไปสักพัก ผมนึกขึ้นได้ว่า “ผมไม่ได้อ่านหนังสือเลยนี่นา” ............................. ผมเลยพยายามหาเวลาอ่านหนังสือ ทั้งๆที่ผมพยายามเจียดเวลามาอ่านหนังสือ
อ่าน ก่อนนอนก็มึนๆ อ่านไม่รู้เรื่อง จำเรื่องที่อ่านไม่ได้ คงเป็นเพราะ เหนื่อยจากการเดินทาง ไปเช้าเย็นกลับ วันละ5-6ชั่วโมงต่อวัน และเหนื่อยจากการตามลูกพี่นี่แหละ
ตอนเช้าก็ตื่นมาตอนตี4 เพื่อมาอ่านหนังสือแต่ก็อ่านได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องรีบอาบน้ำ กลัวไปสาย อย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้สอบเนติ เผลอๆจะสอบตั๋วทนายไม่ได้อีกด้วย
การสอบเนติ ได้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะที่ทำงานรุ่นพี่สอบเนติกันได้แล้วทุกคน รุ่นพี่เค้าก็เตือนๆมาว่า ให้พยายามหาเวลาอ่านหนังสือบ้าง ผมก็เล่าเหตุผลให้รุ่นพี่ฟัง เค้าก็ตอบกลับมาว่า “พวกผม เคยหยุดอ่านหนังสือกัน เป็นเดือน เลยก็มี (ไม่รับเงินเดือน)
แล้วรุ่นพี่ ก็ แนะนำผมว่า
เจ้าของสำนักงาน ชอบให้ลาหยุดเยอะๆ เพราะไม่ค่อยอยากจ่ายเงินเดือน ทุกคนเลยต้องพยายามแบ่งกันหยุดไปทำธุระหรือ รับงานนอก(ของตัวเอง) ถ้า ไม่เชื่อคอยดูวันจ่ายเงินเดือน เจ้าของสำนักงาน จะอารมณ์เสียทั้งวันเลย (วันนี้ผมก็โดนตะคอกจริงๆเพราะเดือนนี้ ผมลาหยุดแค่ 2วันเอง)
แนะนำว่า ความรู้ เนติบัณฑิต จำเป็นกับการเป็นทนาย ไม่น้อยกว่า ตั๋วทนายเลย เพราะถ้า เจ้าของสำนักงาน ถามแล้ว ตอบไม่ได้ จะโดนแกว่า เราจึงต้องสอบเนติให้ได้และมีความรู้ให้ได้มากกว่าแก เวลาแกถามต้องตอบให้ได้ และมีเหตุผลให้แกเสมอ
ดังนั้นจึงเตือนผมว่า อย่าไปเสียดายเงินเดือน ถ้าวันใหนไม่อยากมาทำงานให้หยุดอ่านหนังสือเลย เอาความรู้เข้าตัวให้มากที่สุด ยิ่งผมเงินเดือนน้อย เดือนละ 9000 โดนหักแค่วันละ300 หยุด 5วัน10วันก็หยุดไป (ถือว่ายอมขาดทุนเพื่อเอากำไร ในระยะยาว)
อีกเรื่องที่ผมเหนื่อยมากๆก็คือ.................................การไปแต่กับเจ้าของสำนักงาน มันทำให้ ผมเรียนรู้งานไม่เป็นระบบตามขั้นตอนเลย ผมไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นแบบเพื่อนคนอื่นๆที่ไปฝึกงาน
แม้รุ่นพี่จะบอกว่า ผมโชคดีมากที่ได้ไปดูการซักความกันจริงๆ คนอื่นไม่มีโอกาสได้ดูแบบนี้เลย แต่ผมกลับคิดว่า ผมอยากเริ่มงานแบบ เรียนรู้งานให้มันเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนมากกว่า
เช่นถ้าเปรียบกับการเรียนเลข เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่การ บวก ลบ คูณ หาร แล้วค่อยๆขึ้นเรื่องที่มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ผมดันมาเริ่มเรียนรู้การ คูณก่อนเลย มันก็เลย งง ครับ
ผมเคยสอบถามเพื่อนๆมแล้วเห็นแต่ละคนเค้าเล่าให้ฟังว่า เค้าจะเรียนรู้เป็นขั้นตอนโดยเริ่มตั้งแต่
1.อาทิตย์แรกนั่งเฉยๆ ดูคนอื่นๆทำงาน แล้วก็เริ่มหัด ซีร็อกซ์ -----------------> ผมว่าขั้นตอนนี้เป็นการทำให้เราคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานกับสำนักงาน ถือเป็นการละลายพฤติกรรมด้วย
2.เริ่มไปส่งหมาย ยื่นคำฟ้อง คำร้องที่ศาล (อันนี้ผมไม่เคยได้ทำเลย) -----------------> ขั้นตอนนี้ผมว่า ทำให้เรารู้ว่าแต่ละศาลอยู่ที่ใหน เราต้องเดินทางอย่างไร แต่ละศาลมีเขตอำนาจ และอยู่ใกลกันแค่ใหน
อนึ่งการยื่นหมายต่างๆ ดังกล่าว จากการยื่นบ่อยๆจะทำให้เราเข้าใจว่า เมื่อยื่นแล้วคำร้อง คำแถลงเราจะไปอยู่ที่ใหน ห้องเก็บสำนวนดำ สำนวนแดง งานอุทธรณ์ ฎีกา มีความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร (ผมว่าขั้นตอนนี้ต้องยื่นบ่อยๆอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3ครั้งเลยยิ่งดี)
3.โทรถามผลหมาย หรือ คำฟ้อง ที่ยื่นไว้ต่างๆ หรือ โทรถามว่าคดีนี้ มีคนยื่นคำคัดค้าน หรือคู่กรณี ยื่นอุทธรณ์ฎีกา หรือไม่ โทรเช็คผลหมาย กับคำสั่งศาลว่าศาลมีคำสั่งอนุญาต หรือรับคำร้องหรือไม่ หรือมีคำสั่งว่าอย่างไร (อันนี้ผมก็ไม่เคยได้ทำเช่นกัน) -----------------> ขั้นตอนนี้ผมว่าทำให้เรารู้จักรับผิดชอบว่าเรา ยื่นคำร้อง คำขอ คำแถลงอะไรไปเมื่อไร
เราต้องคอยโทรเช็ค โดยบอกเลขดำเลขแดง หรือบางครั้งเรายื่นคำร้อง คำแถลงขอถ่ายเอกสาร รายงานกระบวนพิจารณา คำพิพากษาไว้เราก็ต้องไปรับเอกสารดังกล่าวที่เราขอถ่ายไว้ เพื่อนำมาประกอบคดี
(ผมว่าถ้าทำวันละ2-3ครั้ง บ่อยๆเราจะเข้าใจ การตามผลหมายที่เรายื่นใว้ คำสั่งของศาลว่าอนุญาต หรือรับคำร้อง หรือมีคำสั่งว่าอย่างไร)
4.จากนั้น มาเริ่มพิมพ์คำเบิกความ คำพิพากษา (เพื่อเอาไว้ใช้ในการยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกา) แล้วค่อยมาพิมพ์คำฟ้อง คำร้อง ตามที่รุ่นพี่ร่างมา หรือพิมพ์ตามคำบอก ----------------->ทำให้เราเข้าใจสำนวนภาษา กฏหมายว่าควรจะใช้อย่างไรให้สละสลวย
5.ไปศาลกับทนายความ ไปดูการไต่สวน การซักพยาน การถามติง ถามค้าน ขั้นตอนกระบวนการต่างๆในศาล ถ้าคนที่ไปด้วยอธิบายให้ฟัง ว่าทำขั้นตอนนี้เพราะอะไร ยิ่งกลับมาเปิดตัวบทด้วยแล้ว เรายิ่งเข้าใจมากขึ้นอีก
( ผมดันเริ่มต้นที่ขั้นตอนนี้น่ะซิครับ ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจ เรื่องในข้อ1-2-3-4 เลยครับ)
จากเรื่องที่กล่าวมา ทำให้การจัดระเบียบ ความคิดผมสับสน เพราะผมไม่ได้เรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนไป
ทำให้เกิดปัญหาคือ บางทีผมก็งุนงงว่า เรื่องที่กำลังทำอยู่นี้ มันอยู่ขั้นตอนใหน บ่อยครั้งที่ผมก็โดน ลูกพี่ตะคอก แกมักบอกผมว่า ผมเรียนรู้งานช้า ทำไม่คุ้มเงินเดือน ตะคอกทีผมก็ลนลานที คิดอะไรไม่ออก โดนทุกวัน จนเหนื่อยใจไปหมดแล้ว
ผมเคยคิดจะลาออกจากงาน ไปหาอย่างอื่นทำ แต่รุ่นพี่ห้ามไว้ บอกว่า งานทนายที่อื่นไม่มีการจ่ายเงินเดือนเหมือนที่นี่ ที่นี่ให้เป็นเงินเดือน และให้ค่าขึ้นศาลอีก(ในกรณีที่ขึ้นว่าความ หรือซักความ) อีกทั้งที่นี่ ยังมีคดีเข้ามาเยอะหลากหลายรูปแบบ และ เจ้าของสำนักงานก็ไม่รับใครง่ายๆ ใครออกไปแล้ว ไม่ต้องกลับเข้ามาเลย ถ้าเหนื่อยให้ลาหยุดเอา จะดีกว่า
ผมเป็นคนไม่เด็ดขาด ยังไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตตัวเองเลย ใจนึง ก็อยากออกไปหาอย่างอื่นทำที่ไม่โดนตะคอก แต่อีกใจนึงก็คิดว่า เรายังไม่ได้เรียนรู้เท่าไรเลย ออกไปตอนนี้ก็เสียโอกาส
แต่อีกใจนึงก็คิดว่าอยู่มา 3เดือนแล้ว ยังเรียนรู้ได้ช้าแบบนี้ จะเสียเวลาไปหรือเปล่า ตอนนี้เลยได้แต่ปล่อยไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตเลย
(ได้แต่หวังว่าตนเองจะค่อยๆเรียนรู้ แล้วจัดระเบียบความคิดขั้นตอนต่างๆขึ้นในหัว ดังที่กล่าวมาข้างต้น ได้ ซักที)
ขอบคุณที่อ่านและแสดงความคิดเห็นครับ
ขอระบายหน่อยเถอะครับ ไม่รู้จะเอายังไงกับเรื่องงานเสมียนทนาย ที่ตัวเองทำอยู่ดีครับ
ทุกวัน จันทร์ถึงเสาร์ ต้องตื่น ตี 4.45 เพื่อเดินทางมาถึงที่ทำงาน 7โมงครึ่ง ทุกวัน
ที่สำนักงาน ผมต้องไปกับ เจ้าของสำนักงาน ผมมีหน้าที่ หิ้วกระเป๋า+หอบสำนวน ตามเค้าไป เผื่อเค้าจะเรียกใช้ ให้ไปถ่ายเอกสาร, วิ่งไปหยิบคำร้อง 40ก.
บางทีก็ต้องรับบท โดนตะคอก ต่อหน้าคนอื่นๆในศาล บ้าง โดนตะคอกต่อหน้าลูกความบ้าง หน้าบัลลังก์บ้าง (รุ่นพี่บอกว่า เจ้าของสำนักงาน แกทำ เพื่อแสดงบารมี .....................แต่ผมโดนทุกครั้ง ผมก็เหนื่อยทุกครั้ง)
วันใหนที่ไปกับ เจ้าของสำนักงาน ถ้าอยู่ในกรุงเทพ ก็ถือว่าโชคดี ได้กลับบ้าน4โมงครึ่ง กลับมาถึงบ้าน 2ทุ่ม 3-4ทุ่มนอน (วันใหนโชคไม่ดี ต้องไปต่างจังหวัด ลูกพี่ก็จะปล่อยลงกลางทาง กลับถึงบ้าน 3ทุ่มบ้าง 4ทุ่มบ้าง กว่าจะได้นอนก็5ทุ่มเที่ยงคืน) แล้วก็ต้องตื่น ตี 4.45 อีก วนเวียนอย่างนี้ อาทิตย์ละ 6วัน
ผ่านไปสักพัก ผมนึกขึ้นได้ว่า “ผมไม่ได้อ่านหนังสือเลยนี่นา” ............................. ผมเลยพยายามหาเวลาอ่านหนังสือ ทั้งๆที่ผมพยายามเจียดเวลามาอ่านหนังสือ
อ่าน ก่อนนอนก็มึนๆ อ่านไม่รู้เรื่อง จำเรื่องที่อ่านไม่ได้ คงเป็นเพราะ เหนื่อยจากการเดินทาง ไปเช้าเย็นกลับ วันละ5-6ชั่วโมงต่อวัน และเหนื่อยจากการตามลูกพี่นี่แหละ
ตอนเช้าก็ตื่นมาตอนตี4 เพื่อมาอ่านหนังสือแต่ก็อ่านได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องรีบอาบน้ำ กลัวไปสาย อย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้สอบเนติ เผลอๆจะสอบตั๋วทนายไม่ได้อีกด้วย
การสอบเนติ ได้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะที่ทำงานรุ่นพี่สอบเนติกันได้แล้วทุกคน รุ่นพี่เค้าก็เตือนๆมาว่า ให้พยายามหาเวลาอ่านหนังสือบ้าง ผมก็เล่าเหตุผลให้รุ่นพี่ฟัง เค้าก็ตอบกลับมาว่า “พวกผม เคยหยุดอ่านหนังสือกัน เป็นเดือน เลยก็มี (ไม่รับเงินเดือน)
แล้วรุ่นพี่ ก็ แนะนำผมว่า
เจ้าของสำนักงาน ชอบให้ลาหยุดเยอะๆ เพราะไม่ค่อยอยากจ่ายเงินเดือน ทุกคนเลยต้องพยายามแบ่งกันหยุดไปทำธุระหรือ รับงานนอก(ของตัวเอง) ถ้า ไม่เชื่อคอยดูวันจ่ายเงินเดือน เจ้าของสำนักงาน จะอารมณ์เสียทั้งวันเลย (วันนี้ผมก็โดนตะคอกจริงๆเพราะเดือนนี้ ผมลาหยุดแค่ 2วันเอง)
แนะนำว่า ความรู้ เนติบัณฑิต จำเป็นกับการเป็นทนาย ไม่น้อยกว่า ตั๋วทนายเลย เพราะถ้า เจ้าของสำนักงาน ถามแล้ว ตอบไม่ได้ จะโดนแกว่า เราจึงต้องสอบเนติให้ได้และมีความรู้ให้ได้มากกว่าแก เวลาแกถามต้องตอบให้ได้ และมีเหตุผลให้แกเสมอ
ดังนั้นจึงเตือนผมว่า อย่าไปเสียดายเงินเดือน ถ้าวันใหนไม่อยากมาทำงานให้หยุดอ่านหนังสือเลย เอาความรู้เข้าตัวให้มากที่สุด ยิ่งผมเงินเดือนน้อย เดือนละ 9000 โดนหักแค่วันละ300 หยุด 5วัน10วันก็หยุดไป (ถือว่ายอมขาดทุนเพื่อเอากำไร ในระยะยาว)
อีกเรื่องที่ผมเหนื่อยมากๆก็คือ.................................การไปแต่กับเจ้าของสำนักงาน มันทำให้ ผมเรียนรู้งานไม่เป็นระบบตามขั้นตอนเลย ผมไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นแบบเพื่อนคนอื่นๆที่ไปฝึกงาน
แม้รุ่นพี่จะบอกว่า ผมโชคดีมากที่ได้ไปดูการซักความกันจริงๆ คนอื่นไม่มีโอกาสได้ดูแบบนี้เลย แต่ผมกลับคิดว่า ผมอยากเริ่มงานแบบ เรียนรู้งานให้มันเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนมากกว่า
เช่นถ้าเปรียบกับการเรียนเลข เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่การ บวก ลบ คูณ หาร แล้วค่อยๆขึ้นเรื่องที่มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ผมดันมาเริ่มเรียนรู้การ คูณก่อนเลย มันก็เลย งง ครับ
ผมเคยสอบถามเพื่อนๆมแล้วเห็นแต่ละคนเค้าเล่าให้ฟังว่า เค้าจะเรียนรู้เป็นขั้นตอนโดยเริ่มตั้งแต่
1.อาทิตย์แรกนั่งเฉยๆ ดูคนอื่นๆทำงาน แล้วก็เริ่มหัด ซีร็อกซ์ -----------------> ผมว่าขั้นตอนนี้เป็นการทำให้เราคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานกับสำนักงาน ถือเป็นการละลายพฤติกรรมด้วย
2.เริ่มไปส่งหมาย ยื่นคำฟ้อง คำร้องที่ศาล (อันนี้ผมไม่เคยได้ทำเลย) -----------------> ขั้นตอนนี้ผมว่า ทำให้เรารู้ว่าแต่ละศาลอยู่ที่ใหน เราต้องเดินทางอย่างไร แต่ละศาลมีเขตอำนาจ และอยู่ใกลกันแค่ใหน
อนึ่งการยื่นหมายต่างๆ ดังกล่าว จากการยื่นบ่อยๆจะทำให้เราเข้าใจว่า เมื่อยื่นแล้วคำร้อง คำแถลงเราจะไปอยู่ที่ใหน ห้องเก็บสำนวนดำ สำนวนแดง งานอุทธรณ์ ฎีกา มีความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร (ผมว่าขั้นตอนนี้ต้องยื่นบ่อยๆอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3ครั้งเลยยิ่งดี)
3.โทรถามผลหมาย หรือ คำฟ้อง ที่ยื่นไว้ต่างๆ หรือ โทรถามว่าคดีนี้ มีคนยื่นคำคัดค้าน หรือคู่กรณี ยื่นอุทธรณ์ฎีกา หรือไม่ โทรเช็คผลหมาย กับคำสั่งศาลว่าศาลมีคำสั่งอนุญาต หรือรับคำร้องหรือไม่ หรือมีคำสั่งว่าอย่างไร (อันนี้ผมก็ไม่เคยได้ทำเช่นกัน) -----------------> ขั้นตอนนี้ผมว่าทำให้เรารู้จักรับผิดชอบว่าเรา ยื่นคำร้อง คำขอ คำแถลงอะไรไปเมื่อไร
เราต้องคอยโทรเช็ค โดยบอกเลขดำเลขแดง หรือบางครั้งเรายื่นคำร้อง คำแถลงขอถ่ายเอกสาร รายงานกระบวนพิจารณา คำพิพากษาไว้เราก็ต้องไปรับเอกสารดังกล่าวที่เราขอถ่ายไว้ เพื่อนำมาประกอบคดี
(ผมว่าถ้าทำวันละ2-3ครั้ง บ่อยๆเราจะเข้าใจ การตามผลหมายที่เรายื่นใว้ คำสั่งของศาลว่าอนุญาต หรือรับคำร้อง หรือมีคำสั่งว่าอย่างไร)
4.จากนั้น มาเริ่มพิมพ์คำเบิกความ คำพิพากษา (เพื่อเอาไว้ใช้ในการยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกา) แล้วค่อยมาพิมพ์คำฟ้อง คำร้อง ตามที่รุ่นพี่ร่างมา หรือพิมพ์ตามคำบอก ----------------->ทำให้เราเข้าใจสำนวนภาษา กฏหมายว่าควรจะใช้อย่างไรให้สละสลวย
5.ไปศาลกับทนายความ ไปดูการไต่สวน การซักพยาน การถามติง ถามค้าน ขั้นตอนกระบวนการต่างๆในศาล ถ้าคนที่ไปด้วยอธิบายให้ฟัง ว่าทำขั้นตอนนี้เพราะอะไร ยิ่งกลับมาเปิดตัวบทด้วยแล้ว เรายิ่งเข้าใจมากขึ้นอีก
( ผมดันเริ่มต้นที่ขั้นตอนนี้น่ะซิครับ ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจ เรื่องในข้อ1-2-3-4 เลยครับ)
จากเรื่องที่กล่าวมา ทำให้การจัดระเบียบ ความคิดผมสับสน เพราะผมไม่ได้เรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนไป
ทำให้เกิดปัญหาคือ บางทีผมก็งุนงงว่า เรื่องที่กำลังทำอยู่นี้ มันอยู่ขั้นตอนใหน บ่อยครั้งที่ผมก็โดน ลูกพี่ตะคอก แกมักบอกผมว่า ผมเรียนรู้งานช้า ทำไม่คุ้มเงินเดือน ตะคอกทีผมก็ลนลานที คิดอะไรไม่ออก โดนทุกวัน จนเหนื่อยใจไปหมดแล้ว
ผมเคยคิดจะลาออกจากงาน ไปหาอย่างอื่นทำ แต่รุ่นพี่ห้ามไว้ บอกว่า งานทนายที่อื่นไม่มีการจ่ายเงินเดือนเหมือนที่นี่ ที่นี่ให้เป็นเงินเดือน และให้ค่าขึ้นศาลอีก(ในกรณีที่ขึ้นว่าความ หรือซักความ) อีกทั้งที่นี่ ยังมีคดีเข้ามาเยอะหลากหลายรูปแบบ และ เจ้าของสำนักงานก็ไม่รับใครง่ายๆ ใครออกไปแล้ว ไม่ต้องกลับเข้ามาเลย ถ้าเหนื่อยให้ลาหยุดเอา จะดีกว่า
ผมเป็นคนไม่เด็ดขาด ยังไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตตัวเองเลย ใจนึง ก็อยากออกไปหาอย่างอื่นทำที่ไม่โดนตะคอก แต่อีกใจนึงก็คิดว่า เรายังไม่ได้เรียนรู้เท่าไรเลย ออกไปตอนนี้ก็เสียโอกาส
แต่อีกใจนึงก็คิดว่าอยู่มา 3เดือนแล้ว ยังเรียนรู้ได้ช้าแบบนี้ จะเสียเวลาไปหรือเปล่า ตอนนี้เลยได้แต่ปล่อยไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตเลย
(ได้แต่หวังว่าตนเองจะค่อยๆเรียนรู้ แล้วจัดระเบียบความคิดขั้นตอนต่างๆขึ้นในหัว ดังที่กล่าวมาข้างต้น ได้ ซักที)
ขอบคุณที่อ่านและแสดงความคิดเห็นครับ