ตอนก่อนหน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 14 “จนถึงวันสุดท้ายที่ศิริราช” <<ตอนจบ>> -
http://pantip.com/topic/30072135
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระทู้รวมทุกตอนที่ผ่านมา -
http://pantip.com/topic/30017844
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่ผมได้ลงบทความของผมลงไป ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง มีลูกค่อนข้างยาก เคยแท้งลูกไปแล้วครั้งนึง ด้วยอาการท้องเกร็งคล้ายๆกับที่ภรรยาผมเป็น
แต่ยังไงก็ตาม น้องเค้าก็ยังมาอยู่ในครรภ์คุณแม่คนนี้ตามธรรมชาติอีกจนได้ น้องเค้าคงอยากจะมาเป็นลูกของคุณแม่จริงๆ
คุณแม่คนนี้บอกผมว่า เพราะได้อ่านบทความ "ครั้งหนึ่งที่ศิริราช" ก็ตัดสินใจหยุดงานชั่วคราว และทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่า ลูกสามารถอยู่ในครรภ์ได้นานที่สุดและตอนนี้คุณแม่คนนั้นก็พึ่งคลอดบุตรชายในสัปดาห์ที่ 36 เด็กปลอดภัย คุณแม่ก็ปลอดภัย
ยินดีมากที่เรื่องราวของผมมีส่วนช่วยให้เด็กคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกใบนี้ได้
และนี่เป็นบทส่งท้ายแล้วครับ แอบไปพบข้อเขียนที่คุณแม่หน่องที่ได้เขียนไว้ในวันแรกที่แม่ลูกได้พบกัน ข้อเขียนง่ายๆแต่ทำให้ยิ้มได้ และทำให้เรื่องราวใน "ครั้งหนึ่งที่ศิริราช" จบลงอย่างสมบูรณ์
ขอขอบคุณตัวละครทุกคนที่ผมได้กล่าวถึงมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
สีออน - หลังจากเหตุการณ์ที่ผมพยายามโทรมาเท่าไรก็โทรไม่ติดในวันที่หน่องปวดท้องมากๆ เลยเป็นที่มาให้สีออนได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดมาแทน เพราะโทรศัพท์เครื่องเก่ามันโทรติดบ้างไม่ติดบ้างเป็นประจำ
พี่โชติ - คนที่ซื้อ iPhone ให้ ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่โชติซื้อให้นั่นเอง
ส้ม - ได้รับการเฉลยจากส้มในภายหลังว่า วันที่เข้าไปเยี่ยมหน่องในห้องคลอดฉุกเฉินนั้น จริงๆแล้วทางพยาบาลยังไม่ทันให้เยี่ยมเลย ส้มใช้ลูกมั่วบุกเข้ามาเลย อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบว่าทำไมส้มถึงเข้าไปเยี่ยมหน่องได้ และก็เป็นเพื่อนคนเดียวของหน่องที่ได้เข้าไปเยี่ยมหน่องในห้องคลอดฉุกเฉิน
คุณแม่ของส้มและสีออน - ครอบครัวผมเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวนี้จริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างครับ
คุณหมออนุวัฒน์ - ถ้าไม่ใช่คุณหมอคนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าน้องวิลล์จะเป็นยังไง คุณหมอทุ่มเทมากกับการรักษากายและรักษาใจของคนไข้คนนี้ เป็นคุณหมอที่ทำให้ทัศนคติของผมกับโรงพยาบาลรัฐฯ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หมอโบว์ - เคยได้เจอหมอโบว์โดยบังเอิญหนเดียวเอง นับแต่วันที่คลอดวิลล์ไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสเจอหมอโบว์อีกหรือไม่ แต่คนที่ทำให้หน่องไม่เครียดเกินไประหว่างอยู่ในห้องคลอดพิเศษก็หมอโบว์นี่ละ
พยาบาลทุกคนในห้องคลอดพิเศษ - เมื่อมีโอกาสไปที่ศิริราชเมื่อไร ก็จะพาน้องวิลล์ไปหาพี่ๆที่ห้องคลอดพิเศษเสมอ ทุกๆคนจะบอกว่า "เด็กวอร์ดมาแล้ว"
คุณเปิ้ล - ตอนนี้คุณเปิ้ลก็รับหน้าที่ตัดผมให้วิลล์ด้วย ได้เจอกันทุกเดือนแน่นอน
เพื่อนๆหน่องทุกคน - ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้หน่องและความเอ็นดูในตัวน้องวิลล์ในทุกๆครั้งที่เจอกัน
ครอบครัวหน่องทุกคน - ขอบคุณสำหรับความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอบคุณสำหรับพลังน้ำปลาช่อนของหม่าม้าที่ทำให้วิลล์เป็นเด็กที่แข็งแรงแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ครอบครัวผมเอง - กำลังใจและคำสอนของคุณแม่ทำให้ผมไม่ท้อแท้ และดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สติและทัศนคติในการมองชีวิตที่คุณแม่มอบให้ผม ผมได้นำมาใช้ในชีวิตจริงๆและทำให้ผมผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้
หน่อง - ขอชื่นชมความเข้มแข็งของหน่องที่อดทนและต่อสู้มาตลอด 3 เดือนในโรงพยาบาล และขอบคุณกำลังใจที่ดันให้พี่เขียนเรื่องนี้สำเร็จจนได้ คงจะไม่มีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้พี่เขียนอะไรได้ยาวและละเอียดขนาดนี้อีกแน่นอน ถือว่าเป็น Masterpiece ของพี่ตี้เองเลยนะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทส่งท้าย “ความในใจจากแม่สู่ลูก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องเล่าของน้องวิลล์ ...................วันที่ 22 มิถุนายน วันเกิดวิลล์
น้องวิลล์เป็นลูกชายคนแรกของป่าป๊าตี้ และหม่ามี๊หน่อง ตอนแรกหนูเกิดมามีชื่อในสูติบัตรว่า “น้องกัตส์” มาจาก GUTS ที่แปลว่า “ความกล้าหาญ” และยังเหมือนกับตัว”กั้ตจัง” ในการ์ตูนเรื่องอาราเร่อีกด้วย ป่าป๊ากับหม่ามี๊เลยชอบใจกัน แต่สุดท้ายเราก็เปลี่ยนชื่อหนูอีก เพราะถ้าหนูโตขึ้นไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบอเมริกากับยุโรป เค้าคงตลกชื่อหนูกันว่าทำไมตั้งชื่อ ตับไตใส้พุง ป่าป๊าเลยว่าเปลี่ยนชื่อหนูกันดีกว่า ชื่อหนูได้รับคำแนะนำจากโกวจัน ว่าให้ชื่อ WILL มาจากไหนรู้มั้ย มาจาก Prince William แห่งราชวงศ์อังกฤษ หนูเกิดปีเดียวกับที่เจ้าชายวิลเลี่ยมแต่งงานกับเคท มิดเดิลตันเลยนะ และหม่ามี๊ก็ชอบชื่อนี้เพราะจากความรู้สึกของหม่ามี๊ชื่อ WILL มาจาก "Willing to Be My Son" แต่ก่อนหน้าที่หนูจะเกิดตอนอยู่ในท้องหม่ามี๊อ่ะ หม่ามี๊ตั้งชื่อหนูว่า “ปันปัน” มาจากปันปรีดานะลูก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้
เราสู้กันมานานเลยนะคับลูก สู้ตั้งแต่หนูอยู่ในท้องหม่ามี๊ได้ 26 สัปดาห์ หม่ามี๊ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราช เพราะปวดท้อง มดลูกบีบตัว เหมือนหนูจะคลอดออกมาแล้ว ตอนนั้นหม่ามี๊กลัวมากเลย กลัวหนูจะไปจากหม่ามี๊กะป่าป๊าซะแล้ว แต่ลุงหมออนุวัฒน์ก็ช่วยเราแม่ลูกอย่างเต็มที่ เราต้องอยู่ในห้องคลอดพิเศษกันถึงสองเดือนครึ่ง หม่ามี๊ถูกให้ยาทางสายน้ำเกลือ โดนเจาะเส้นเลือดบนมือทั้งสองข้างจนพรุนไปหมดเลยเพื่อให้มดลูกคลายตัว ไม่เกิด Contraction ตามภาษาทางการแพทย์
ณ ตอนนั้น หม่ามี๊เหมือนถูกกักบริเวณเลย ห้ามลงจากเตียง ทุกอย่างต้องทำบนเตียง ตั้งแต่ล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว เช็ดตัว สระผม หรือแม้กระทั่งฉี่ แถมยังโดนห้ามไม่ให้เยี่ยม ไม่ให้ติดต่อใครเลยแม้แต่โทรศัพท์ ตอนนั้นหม่ามี๊เจอแต่พ่อแม่ของหม่ามี๊กับป่าป๊าของหนูเท่านั้น โลกของหม่ามี๊ตอนนั้น วัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องพยายามให้หนูอยู่ในท้องหม่ามี๊ให้นานที่สุด จนกว่าหนูจะครบกำหนดคลอด หนูจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด ไม่ต้องมาโดนอยู่โรงพยาบาลนานๆเหมือนหม่ามี๊
ตอนนั้นป่าป๊าโทรมที่สุดในโลกเลย เพราะต้องมาหาหม่ามี๊ทุกวันที่โรงพยาบาล กลัวหม่ามี๊เหงาและคิดมาก เวลาตัดผมยังไม่มีเลย หม่ามี๊สงสารป่าป๊ามากเลย และก็สงสารตัวเองด้วย อาม่าของหนูก็ทำอาหารมาให้หม่ามี๊กินทุกวัน เพื่อจะทำน้ำหนักให้หนูแข็งแรง หนูเติบโตขึ้นมาต้องรักทุกๆคนให้มากๆนะ เพราะเค้าเอาใจใส่หนูมากๆ ตั้งแต่หนูยังไม่เกิดมาลืมตาดูโลกภายนอก ตอนกลางคืนไม่มีใครอยู่กับหม่ามี๊ หม่ามี๊ก็มีหนูอยู่นั่นแหละที่อยู่ด้วยกัน คุยกันทุกคืน ให้หนูแข็งแรงออกมาครบ 32 เลี้ยงง่าย แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย เราสัญญากันแล้วไงว่า หนูจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่
ช่วงนั้นป่าป๊าตั้งชื่อหนูอีกชื่อนึงด้วยนะว่า “Fighto” เพราะหนูกะหม่ามี๊ต้องพยายามสู้มาด้วยกันจนครบ 37 สัปดาห์พอดีเป๊ะ ตอน หกโมงครึ่งหม่ามี๊น้ำเดิน หม่ามี๊ตกใจมากเลย เพราะมันเหมือนหม่ามี๊ฉี่รดที่นอน แบบเยอะมากๆ ป่าป๊าทำอะไรไม่ถูกเลย หม่ามี๊ต้องบอกให้กดเรียกพยาบาล หม่ามี๊ถูกย้ายจากผู้ป่วยในไปห้องคลอดพิเศษอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะไปคลอดหนู หม่ามี๊ถูกเจาะให้ยาเร่งการบีบตัวของมดลูกทางสายน้ำเกลือ หม่ามี๊เจ็บมากที่สุดเลยตอนปากมดลูกเปิดถึง 9 – 10 เซนติเมตร แทบจะทนไม่ไหวแล้วพี่พยาบาลต้องเพิ่มออกซิเจนให้หม่ามี๊และให้หนู เพราะหัวใจหนูเต้นช้าลง
แต่สุดท้าย หนูก็ออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างปลอดภัยด้วยฝีมือของลุงหมออนุวัฒน์และพี่ๆพยาบาลในห้องคลอดพิเศษนั้น หม่ามี๊ดีใจมากเลยที่สามารถคลอดหนูออกมาได้ด้วยตัวเอง (เบ่งแทบขาดใจ) แต่หนูดันเอียงหัวทับสายรกหนะสิ เลยออกมายากหน่อย ต้องถูกลุงหมอหนีบหัวออกมา แต่สุดท้ายหัวหนูก็กลมตามปกตินะลูก
แล้วเราสองคนก็เห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก หม่ามี๊ดีใจก็ดีใจ แต่ก็งงๆอยู่ด้วย ดังนั้นคำพูดแรกที่คุยกับหนูคือ “ง่วงนอนเหรอลูก” (ตลกมั้ยหล่ะ) แทนที่จะบอกว่า “สมบูรณ์แข็งแรงครบ 32 นะลูก” หม่ามี๊นี่โก๊ะจริงๆเลย แล้วจากนั้นหนูก็ถูกนำไปทำความสะอาด และลุงหมอก็พาหนูไปให้ป่าป๊าเห็น หน้าป่าป๊าดีใจที่สุดเลย เห็นหน้าหนูถ่ายรูปไม่หยุดเลย หนูเกิดวันที่ 22 มิถุนายนนะลูก น้ำหนักแรกเกิด 2.57 โล เพศชาย ที่โรงพยาบาลศิริราช
หม่ามี๊เองคับ
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - บทส่งท้าย “ความในใจจากแม่สู่ลูก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 14 “จนถึงวันสุดท้ายที่ศิริราช” <<ตอนจบ>> - http://pantip.com/topic/30072135
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระทู้รวมทุกตอนที่ผ่านมา - http://pantip.com/topic/30017844
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่ผมได้ลงบทความของผมลงไป ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง มีลูกค่อนข้างยาก เคยแท้งลูกไปแล้วครั้งนึง ด้วยอาการท้องเกร็งคล้ายๆกับที่ภรรยาผมเป็น
แต่ยังไงก็ตาม น้องเค้าก็ยังมาอยู่ในครรภ์คุณแม่คนนี้ตามธรรมชาติอีกจนได้ น้องเค้าคงอยากจะมาเป็นลูกของคุณแม่จริงๆ
คุณแม่คนนี้บอกผมว่า เพราะได้อ่านบทความ "ครั้งหนึ่งที่ศิริราช" ก็ตัดสินใจหยุดงานชั่วคราว และทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่า ลูกสามารถอยู่ในครรภ์ได้นานที่สุดและตอนนี้คุณแม่คนนั้นก็พึ่งคลอดบุตรชายในสัปดาห์ที่ 36 เด็กปลอดภัย คุณแม่ก็ปลอดภัย
ยินดีมากที่เรื่องราวของผมมีส่วนช่วยให้เด็กคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกใบนี้ได้
และนี่เป็นบทส่งท้ายแล้วครับ แอบไปพบข้อเขียนที่คุณแม่หน่องที่ได้เขียนไว้ในวันแรกที่แม่ลูกได้พบกัน ข้อเขียนง่ายๆแต่ทำให้ยิ้มได้ และทำให้เรื่องราวใน "ครั้งหนึ่งที่ศิริราช" จบลงอย่างสมบูรณ์
ขอขอบคุณตัวละครทุกคนที่ผมได้กล่าวถึงมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
สีออน - หลังจากเหตุการณ์ที่ผมพยายามโทรมาเท่าไรก็โทรไม่ติดในวันที่หน่องปวดท้องมากๆ เลยเป็นที่มาให้สีออนได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดมาแทน เพราะโทรศัพท์เครื่องเก่ามันโทรติดบ้างไม่ติดบ้างเป็นประจำ
พี่โชติ - คนที่ซื้อ iPhone ให้ ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่โชติซื้อให้นั่นเอง
ส้ม - ได้รับการเฉลยจากส้มในภายหลังว่า วันที่เข้าไปเยี่ยมหน่องในห้องคลอดฉุกเฉินนั้น จริงๆแล้วทางพยาบาลยังไม่ทันให้เยี่ยมเลย ส้มใช้ลูกมั่วบุกเข้ามาเลย อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบว่าทำไมส้มถึงเข้าไปเยี่ยมหน่องได้ และก็เป็นเพื่อนคนเดียวของหน่องที่ได้เข้าไปเยี่ยมหน่องในห้องคลอดฉุกเฉิน
คุณแม่ของส้มและสีออน - ครอบครัวผมเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวนี้จริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างครับ
คุณหมออนุวัฒน์ - ถ้าไม่ใช่คุณหมอคนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าน้องวิลล์จะเป็นยังไง คุณหมอทุ่มเทมากกับการรักษากายและรักษาใจของคนไข้คนนี้ เป็นคุณหมอที่ทำให้ทัศนคติของผมกับโรงพยาบาลรัฐฯ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หมอโบว์ - เคยได้เจอหมอโบว์โดยบังเอิญหนเดียวเอง นับแต่วันที่คลอดวิลล์ไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสเจอหมอโบว์อีกหรือไม่ แต่คนที่ทำให้หน่องไม่เครียดเกินไประหว่างอยู่ในห้องคลอดพิเศษก็หมอโบว์นี่ละ
พยาบาลทุกคนในห้องคลอดพิเศษ - เมื่อมีโอกาสไปที่ศิริราชเมื่อไร ก็จะพาน้องวิลล์ไปหาพี่ๆที่ห้องคลอดพิเศษเสมอ ทุกๆคนจะบอกว่า "เด็กวอร์ดมาแล้ว"
คุณเปิ้ล - ตอนนี้คุณเปิ้ลก็รับหน้าที่ตัดผมให้วิลล์ด้วย ได้เจอกันทุกเดือนแน่นอน
เพื่อนๆหน่องทุกคน - ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้หน่องและความเอ็นดูในตัวน้องวิลล์ในทุกๆครั้งที่เจอกัน
ครอบครัวหน่องทุกคน - ขอบคุณสำหรับความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอบคุณสำหรับพลังน้ำปลาช่อนของหม่าม้าที่ทำให้วิลล์เป็นเด็กที่แข็งแรงแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ครอบครัวผมเอง - กำลังใจและคำสอนของคุณแม่ทำให้ผมไม่ท้อแท้ และดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สติและทัศนคติในการมองชีวิตที่คุณแม่มอบให้ผม ผมได้นำมาใช้ในชีวิตจริงๆและทำให้ผมผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้
หน่อง - ขอชื่นชมความเข้มแข็งของหน่องที่อดทนและต่อสู้มาตลอด 3 เดือนในโรงพยาบาล และขอบคุณกำลังใจที่ดันให้พี่เขียนเรื่องนี้สำเร็จจนได้ คงจะไม่มีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้พี่เขียนอะไรได้ยาวและละเอียดขนาดนี้อีกแน่นอน ถือว่าเป็น Masterpiece ของพี่ตี้เองเลยนะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทส่งท้าย “ความในใจจากแม่สู่ลูก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องเล่าของน้องวิลล์ ...................วันที่ 22 มิถุนายน วันเกิดวิลล์
น้องวิลล์เป็นลูกชายคนแรกของป่าป๊าตี้ และหม่ามี๊หน่อง ตอนแรกหนูเกิดมามีชื่อในสูติบัตรว่า “น้องกัตส์” มาจาก GUTS ที่แปลว่า “ความกล้าหาญ” และยังเหมือนกับตัว”กั้ตจัง” ในการ์ตูนเรื่องอาราเร่อีกด้วย ป่าป๊ากับหม่ามี๊เลยชอบใจกัน แต่สุดท้ายเราก็เปลี่ยนชื่อหนูอีก เพราะถ้าหนูโตขึ้นไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบอเมริกากับยุโรป เค้าคงตลกชื่อหนูกันว่าทำไมตั้งชื่อ ตับไตใส้พุง ป่าป๊าเลยว่าเปลี่ยนชื่อหนูกันดีกว่า ชื่อหนูได้รับคำแนะนำจากโกวจัน ว่าให้ชื่อ WILL มาจากไหนรู้มั้ย มาจาก Prince William แห่งราชวงศ์อังกฤษ หนูเกิดปีเดียวกับที่เจ้าชายวิลเลี่ยมแต่งงานกับเคท มิดเดิลตันเลยนะ และหม่ามี๊ก็ชอบชื่อนี้เพราะจากความรู้สึกของหม่ามี๊ชื่อ WILL มาจาก "Willing to Be My Son" แต่ก่อนหน้าที่หนูจะเกิดตอนอยู่ในท้องหม่ามี๊อ่ะ หม่ามี๊ตั้งชื่อหนูว่า “ปันปัน” มาจากปันปรีดานะลูก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้
เราสู้กันมานานเลยนะคับลูก สู้ตั้งแต่หนูอยู่ในท้องหม่ามี๊ได้ 26 สัปดาห์ หม่ามี๊ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราช เพราะปวดท้อง มดลูกบีบตัว เหมือนหนูจะคลอดออกมาแล้ว ตอนนั้นหม่ามี๊กลัวมากเลย กลัวหนูจะไปจากหม่ามี๊กะป่าป๊าซะแล้ว แต่ลุงหมออนุวัฒน์ก็ช่วยเราแม่ลูกอย่างเต็มที่ เราต้องอยู่ในห้องคลอดพิเศษกันถึงสองเดือนครึ่ง หม่ามี๊ถูกให้ยาทางสายน้ำเกลือ โดนเจาะเส้นเลือดบนมือทั้งสองข้างจนพรุนไปหมดเลยเพื่อให้มดลูกคลายตัว ไม่เกิด Contraction ตามภาษาทางการแพทย์
ณ ตอนนั้น หม่ามี๊เหมือนถูกกักบริเวณเลย ห้ามลงจากเตียง ทุกอย่างต้องทำบนเตียง ตั้งแต่ล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว เช็ดตัว สระผม หรือแม้กระทั่งฉี่ แถมยังโดนห้ามไม่ให้เยี่ยม ไม่ให้ติดต่อใครเลยแม้แต่โทรศัพท์ ตอนนั้นหม่ามี๊เจอแต่พ่อแม่ของหม่ามี๊กับป่าป๊าของหนูเท่านั้น โลกของหม่ามี๊ตอนนั้น วัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องพยายามให้หนูอยู่ในท้องหม่ามี๊ให้นานที่สุด จนกว่าหนูจะครบกำหนดคลอด หนูจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด ไม่ต้องมาโดนอยู่โรงพยาบาลนานๆเหมือนหม่ามี๊
ตอนนั้นป่าป๊าโทรมที่สุดในโลกเลย เพราะต้องมาหาหม่ามี๊ทุกวันที่โรงพยาบาล กลัวหม่ามี๊เหงาและคิดมาก เวลาตัดผมยังไม่มีเลย หม่ามี๊สงสารป่าป๊ามากเลย และก็สงสารตัวเองด้วย อาม่าของหนูก็ทำอาหารมาให้หม่ามี๊กินทุกวัน เพื่อจะทำน้ำหนักให้หนูแข็งแรง หนูเติบโตขึ้นมาต้องรักทุกๆคนให้มากๆนะ เพราะเค้าเอาใจใส่หนูมากๆ ตั้งแต่หนูยังไม่เกิดมาลืมตาดูโลกภายนอก ตอนกลางคืนไม่มีใครอยู่กับหม่ามี๊ หม่ามี๊ก็มีหนูอยู่นั่นแหละที่อยู่ด้วยกัน คุยกันทุกคืน ให้หนูแข็งแรงออกมาครบ 32 เลี้ยงง่าย แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย เราสัญญากันแล้วไงว่า หนูจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่
ช่วงนั้นป่าป๊าตั้งชื่อหนูอีกชื่อนึงด้วยนะว่า “Fighto” เพราะหนูกะหม่ามี๊ต้องพยายามสู้มาด้วยกันจนครบ 37 สัปดาห์พอดีเป๊ะ ตอน หกโมงครึ่งหม่ามี๊น้ำเดิน หม่ามี๊ตกใจมากเลย เพราะมันเหมือนหม่ามี๊ฉี่รดที่นอน แบบเยอะมากๆ ป่าป๊าทำอะไรไม่ถูกเลย หม่ามี๊ต้องบอกให้กดเรียกพยาบาล หม่ามี๊ถูกย้ายจากผู้ป่วยในไปห้องคลอดพิเศษอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะไปคลอดหนู หม่ามี๊ถูกเจาะให้ยาเร่งการบีบตัวของมดลูกทางสายน้ำเกลือ หม่ามี๊เจ็บมากที่สุดเลยตอนปากมดลูกเปิดถึง 9 – 10 เซนติเมตร แทบจะทนไม่ไหวแล้วพี่พยาบาลต้องเพิ่มออกซิเจนให้หม่ามี๊และให้หนู เพราะหัวใจหนูเต้นช้าลง
แต่สุดท้าย หนูก็ออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างปลอดภัยด้วยฝีมือของลุงหมออนุวัฒน์และพี่ๆพยาบาลในห้องคลอดพิเศษนั้น หม่ามี๊ดีใจมากเลยที่สามารถคลอดหนูออกมาได้ด้วยตัวเอง (เบ่งแทบขาดใจ) แต่หนูดันเอียงหัวทับสายรกหนะสิ เลยออกมายากหน่อย ต้องถูกลุงหมอหนีบหัวออกมา แต่สุดท้ายหัวหนูก็กลมตามปกตินะลูก
แล้วเราสองคนก็เห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก หม่ามี๊ดีใจก็ดีใจ แต่ก็งงๆอยู่ด้วย ดังนั้นคำพูดแรกที่คุยกับหนูคือ “ง่วงนอนเหรอลูก” (ตลกมั้ยหล่ะ) แทนที่จะบอกว่า “สมบูรณ์แข็งแรงครบ 32 นะลูก” หม่ามี๊นี่โก๊ะจริงๆเลย แล้วจากนั้นหนูก็ถูกนำไปทำความสะอาด และลุงหมอก็พาหนูไปให้ป่าป๊าเห็น หน้าป่าป๊าดีใจที่สุดเลย เห็นหน้าหนูถ่ายรูปไม่หยุดเลย หนูเกิดวันที่ 22 มิถุนายนนะลูก น้ำหนักแรกเกิด 2.57 โล เพศชาย ที่โรงพยาบาลศิริราช
หม่ามี๊เองคับ