สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ว่า กลุ่มตรวจสอบคอรัปชันโลก “องค์กรความโปร่งใสสากล สาขาประเทศอังกฤษ (Transparency International : TI-UK) ได้เผยแพร่งานสำรวจแนวโน้มคอรัปชันในวงการทหาร หรือกลาโหมในวันเดียวกันนี้ ซึ่งถือเป็นการสำรวจการทุจริตในวงการกลาโหมเป็นครั้งแรกของ TI ด้วย และพบว่า 70% ของ 82 ชาติ ยังขาดกลไกป้องกันคอรัปชันในส่วนนี้ และ TI ยังคาดการณ์ด้วยว่า การคอรัปชันในภาคกลาโหมทั่วโลก อยู่ที่ปีละ 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 600,000ล้านบาท) เป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ TI ทำการสำรวจและจัดกลุ่ม 82 ชาติทั่วโลก เลือกเจาะจงสำรวจไปที่สัญญา หรือสัมปทานด้านกลาโหม การใช้งบกลาโหมโดยมิชอบและการทุจริตในกองทัพ โดยแบ่งเป็นกลุ่มเอ-เอฟ หรือจากมีความเสี่ยงคอรัปชันน้อยไปหามาก และใช้เกณฑ์ประเมิน 5 ข้อ ประกอบด้วย ความเสี่ยงด้านการเมือง การเงิน ส่วนบุคคล การปฏิบัติการ และการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่ง TI มองว่ามีผลต่อแนวโน้มเกิดการคอรัปชัน และให้คะแนนจาก 0 (โปร่งใสต่ำ) ถึง 4 (โปร่งใสสูง) สำหรับประเทศที่ติดกลุ่มเอ หมายถึงมีกลไกป้องกันคอรัปชันในวงการกลาโหมดีที่สุด หรือเสี่ยงคอรัปชันต่ำมาก (Very low) มี 2 ชาติ คือเยอรมนีและออสเตรเลีย ขณะที่สหรัฐฯ กับอังกฤษ ติดกลุ่มบี หรือมีความเสี่ยงคอรัปชันต่ำ (Low) ร่วมกับอีก 5 ชาติ คือ ออสเตรีย นอร์เวย์ เกาหลีใต้ สวีเดน และไต้หวัน
ขณะที่กลุ่มซี มีความเสี่ยงทุจริตระดับปานกลาง (Moderate) มี 16 ประเทศ รวมทั้งฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี และญี่ปุ่น ส่วนไทยติดกลุ่มดีหรือกลุ่มมีความเสี่ยงคอรัปชันในวงการกลาโหมสูง (High) ร่วมกับ 30 ประเทศ รวมทั้งอินเดีย อิสราเอล ยูเออี และสิงคโปร์ ทั้งนี้กลุ่มดี ยังถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยคือ D+ และ D- ซึ่งมีประเทศติดอันดับกลุ่มย่อยละ 15 ชาติ โดยไทยติดกลุ่ม D+ ส่วนกลุ่มย่อย D- มีรวมทั้งจีน มาเลเซีย รัสเซีย และตุรกี โดยกลุ่มดีนี้ข่าวระบุด้วยว่า มีทั้งชาติผู้ค้าหรือส่งออกอาวุธอย่างจีน รัสเซีย และอิสราเอล กับชาติผู้นำเข้าอาวุธอันดับต้นๆ ของโลก อย่างอินเดีย ไทย ยูเออี สิงคโปร์ และตุรกี ติดกลุ่มเดียวกัน ด้านกลุ่มอี หมายถึงเสี่ยงคอรัปชันสูงมาก (Very high) มี 18 ชาติ รวมทั้งอัฟกานิสถาน เวเนซุเอลา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ส่วนกลุ่มเอฟ มีแนวโน้มคอรัปชั่นสูงอย่างมาก หรือเข้าขั้นวิกฤติ (Critical) มี 9 ประเทศ คือ แอลจีเรีย แองโกลา แคเมอรูน คองโก อียิปต์ เอริเทรีย ลิเบีย ซีเรีย และเยเมน ทั้งนี้ รายงานของ TI ยังพบด้วยว่า มีแค่ 15% ของรัฐบาลทั้ง 82 ชาติที่พบว่ามีการตรวจสอบนโยบายกลาโหมของภาคการเมืองที่เข้มแข็งพอผ่านเกณฑ์สำรวจ
ด้านนายมาร์ค ไพแมน ผู้อำนวยการโครงการกลาโหมและความมั่นคงของ TI-UK แถลงหวังว่า รายงานชิ้นนี้จะเป็นผลให้รัฐบาลแต่ละชาติปรับปรุงนโยบายปราบคอรัปชันให้ดียิ่งขึ้น.
http://www.thairath.co.th/content/oversea/323391
ไทยติดกลุ่ม D+' เสี่ยงคอรัปชันวงการทหาร - อันดับ 13 ขนเงินออกนอกประเทศมากสุด
ทั้งนี้ TI ทำการสำรวจและจัดกลุ่ม 82 ชาติทั่วโลก เลือกเจาะจงสำรวจไปที่สัญญา หรือสัมปทานด้านกลาโหม การใช้งบกลาโหมโดยมิชอบและการทุจริตในกองทัพ โดยแบ่งเป็นกลุ่มเอ-เอฟ หรือจากมีความเสี่ยงคอรัปชันน้อยไปหามาก และใช้เกณฑ์ประเมิน 5 ข้อ ประกอบด้วย ความเสี่ยงด้านการเมือง การเงิน ส่วนบุคคล การปฏิบัติการ และการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่ง TI มองว่ามีผลต่อแนวโน้มเกิดการคอรัปชัน และให้คะแนนจาก 0 (โปร่งใสต่ำ) ถึง 4 (โปร่งใสสูง) สำหรับประเทศที่ติดกลุ่มเอ หมายถึงมีกลไกป้องกันคอรัปชันในวงการกลาโหมดีที่สุด หรือเสี่ยงคอรัปชันต่ำมาก (Very low) มี 2 ชาติ คือเยอรมนีและออสเตรเลีย ขณะที่สหรัฐฯ กับอังกฤษ ติดกลุ่มบี หรือมีความเสี่ยงคอรัปชันต่ำ (Low) ร่วมกับอีก 5 ชาติ คือ ออสเตรีย นอร์เวย์ เกาหลีใต้ สวีเดน และไต้หวัน
ขณะที่กลุ่มซี มีความเสี่ยงทุจริตระดับปานกลาง (Moderate) มี 16 ประเทศ รวมทั้งฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี และญี่ปุ่น ส่วนไทยติดกลุ่มดีหรือกลุ่มมีความเสี่ยงคอรัปชันในวงการกลาโหมสูง (High) ร่วมกับ 30 ประเทศ รวมทั้งอินเดีย อิสราเอล ยูเออี และสิงคโปร์ ทั้งนี้กลุ่มดี ยังถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยคือ D+ และ D- ซึ่งมีประเทศติดอันดับกลุ่มย่อยละ 15 ชาติ โดยไทยติดกลุ่ม D+ ส่วนกลุ่มย่อย D- มีรวมทั้งจีน มาเลเซีย รัสเซีย และตุรกี โดยกลุ่มดีนี้ข่าวระบุด้วยว่า มีทั้งชาติผู้ค้าหรือส่งออกอาวุธอย่างจีน รัสเซีย และอิสราเอล กับชาติผู้นำเข้าอาวุธอันดับต้นๆ ของโลก อย่างอินเดีย ไทย ยูเออี สิงคโปร์ และตุรกี ติดกลุ่มเดียวกัน ด้านกลุ่มอี หมายถึงเสี่ยงคอรัปชันสูงมาก (Very high) มี 18 ชาติ รวมทั้งอัฟกานิสถาน เวเนซุเอลา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ส่วนกลุ่มเอฟ มีแนวโน้มคอรัปชั่นสูงอย่างมาก หรือเข้าขั้นวิกฤติ (Critical) มี 9 ประเทศ คือ แอลจีเรีย แองโกลา แคเมอรูน คองโก อียิปต์ เอริเทรีย ลิเบีย ซีเรีย และเยเมน ทั้งนี้ รายงานของ TI ยังพบด้วยว่า มีแค่ 15% ของรัฐบาลทั้ง 82 ชาติที่พบว่ามีการตรวจสอบนโยบายกลาโหมของภาคการเมืองที่เข้มแข็งพอผ่านเกณฑ์สำรวจ
ด้านนายมาร์ค ไพแมน ผู้อำนวยการโครงการกลาโหมและความมั่นคงของ TI-UK แถลงหวังว่า รายงานชิ้นนี้จะเป็นผลให้รัฐบาลแต่ละชาติปรับปรุงนโยบายปราบคอรัปชันให้ดียิ่งขึ้น.
http://www.thairath.co.th/content/oversea/323391