(T_T) อย่าเพิ่งด่านะคะ ขอคำแนะนำเรื่องการกู้ซื้อบ้านแบบคนไม่มีตังส์เก็บแล้วโลภมากหน่อยค่ะ (T_T)

เรื่องมีอยู่ว่า ต้องการซื้อบ้านมือสองในเมืองที่เดินทางสะดวก และอยู่ในแหล่งที่ปลอดภัย หามา 7 ปีในที่สุดก็เจอในราคาที่คิดว่าถ้าเขย่งหน่อยก็เอื้อมถึงได้....หลังจากรีรออยู่หลายเดือนก็นัดเข้าไปดูบ้านได้และถูกใจเพราะสภาพดี ราคาเรียกได้ว่าไม่แพงเมื่อนับว่าอยู่ในทำเลแถวนั้น ราคา 5.5 ล้าน พท. 36 ตรว. เป็นทาวน์โฮม 4 ชั้น (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราฯ) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณสิงหาปีที่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์พลิกผัน ที่บ้านเกิดอุบัติเหตุ น้องและแม่เข้าผ่าตัดด่วน ต้องใช้เงินจำนวนมาก (เข้าโรงพยาบาลเอกชน) เงินเก็บหมดเกลี้ยง แต่ยังดีไม่มีหนี้อื่นอีก
จนปลายปีที่ผ่านมาคนขายบ้านเริ่มสอบถามกลับมาว่าตกลงจะซื้อรึเปล่า ถ้าอยากซื้อให้มาวางมัดจำทำสัญญาภายในสิ้นเดือนม.ค. (อีกไม่กี่วันนี้) เค้าเรียกมัดจำแค่ 5 หมื่น เราก็อยากได้มากเลยรับปากไป เพราะบ้านที่อยู่ปัจจุบันกับแม่ โดนน้ำท่วมในปี 54 เต็ม ๆ ปี 55 เสียค่าซ่อมบ้านไปหลายแสนก็ยังมีสภาพไม่ค่อยดีเท่าเดิม และหากมีน้ำท่วมอีก ก็มีแนวโน้มที่จะให้โซนบ้านเราเป็นจุดรับน้ำ (ฝั่งธน) แต่เรื่องนี้เราไม่ได้บอกครอบครัว เพราะในฐานะลูกคนโตก็อยากได้บ้านในที่สะดวกสบายอยู่กับครอบครัว และน้อง ๆ เราก็มีแผนจะออกเรือนกันแล้ว ต่างคนก็มีภาระของตัวเอง
สรุป: สถานะตอนนี้เราไม่มีตังส์เก็บ มีเงินเดือนค่อนข้างสูง (รายได้เกินปีละ 2 ล้านกว่า เป็นพนง.เอกชน) พอมีเงินไปมัดจำทำสัญญากับเค้าได้ ไม่มีหนี้อะไรอีก (มีแต่ต้องจ่ายค่ายาค่ารักษาให้ที่บ้าน ต้องไปหาหมอเป็นประจำ) เมือ่สองอาทิตย์ก่อนไปคุยกับ ธ.กรุงเทพฯ เพราะเงินเดือนเราเข้าธนาคารนี้ เค้าบอกกู้ได้ไม่มีปัญหา จ่ายค่างวดต่อเดือนน่าจะอยู่ที่ 4 หมื่นปลาย ๆ
คำถามคือ.....
1. ทางนายหน้าที่ขายบ้าน แนะให้ทำสัญญากู้เป็น 6 ล้าน ถ้าประเมินเต็มได้จะได้กู้ 95% พอดี 5.5 ล้าน (ค่างวดน่าจะตกที่เดือนละ 5 หมื่น) แต่ถ้าเกิดประเมินได้ไม่ถึงตามที่เค้าตั้งราคาขายล่ะค่ะ จะทำยังไงดี ไม่มีเงินก้อนไปโป๊ะส่วนต่าง???
2. อยากจะยื่นกู้กับธนาคารอื่นอีกสักแห่งเป็นตัวเลือกสำรอง เคยเดินไปถามออมสิน แต่ถ้าในราคา 6 ล้าน เค้าคิดค่างวดคร่าว ๆ อยู่ที่ 57,000 บาท แพงกว่าธนาคารกรุงเทพเดือนตั้งหมื่น ไม่ทราบว่ามีธนาคารอื่นแนะนำอีกมั๊ยค่ะ
3. คำแนะนำอื่น ๆ ที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ อยากจะแนะนำมาเชิญได้เลยค่ะ ยินดีรับฟังค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่สนใจอ่านและเข้ามาแนะนำกันล่วงหน้านะคะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
ผมว่าคุณกำลังเดินเข้าสู่กับดัก

1. คุณไม่มีเงินเก็บ แต่อยากซื้อบ้านหลังละห้าหกล้าน โดยเอารายได้ในอนาคต ซึ่งไม่แน่นอนมาจ่าย แบบนี้ไม่เรียก "พอเพียง"
2. แบ็งค์ยอมปล่อยกู้ 95% คือกับดัก คุณผ่านโลกมานาน น่าจะทราบว่าควรจ่ายสดได้สัก 25-30% หรือแม้แต่ 50% ของราคาบ้าน เพื่อลดความเสี่ยง อย่าอ้างว่า "ใครๆ เขาก็ทำกัน" เพราะเวลาตกต่ำ มันก็ตายกันยกโขยง
3. นายหน้าแนะให้ทำสัญญาโก่งราคาบ้านเกินจริง แปลกใจที่ผู้ขายโดนภาษีที่ดินเพิ่ม แต่ขอรับไว้เอง แสดงว่าเขาบวกค่าภาษีในราคาขายแล้วใช่ไหม ? แถมยังยุให้คุณกู้เงินมากเกินความสามารถจ่าย นี่เรียกว่าหวังดี ?
4. คุณซื้อบ้านเพราะหามานาน 7 ปี คงจะหมดความอดทน แต่ไม่ได้ซื้อบ้านเพราะราคามันถูกมากๆ ผิดหลักการซื้อที่รอบคอบ

ผมหมายถึง ถ้าเศรษฐกิจสะดุด คุณตกงาน มีแผนสองไหม ?
บ้านราคาถูก จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่มีคนมากมายถูกบังคับขาย เพราะผ่อนต่อไม่ไหว คุณมีโอกาสถูกบังคับขายในอนาคต เพราะตอนนี้คุณซื้อในราคาแพง ไม่ถูก และมีแนวโน้มจะเป็นเหยื่อ ตอนที่ระบบสะดุด
ผมแปลกใจ คุณมีรายได้สูง ทำไม 7 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเงินเก็บ ?!? ถ้าบอกว่าแค่เพราะโดนค่ารักษามหาโหด นั่นอาจเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าทำไมคุณไม่ควรซื้อบ้าน ก็เพราะอนาคตมันไม่แน่นอนไงครับ !

สรุปคือ คุณต้องมองมุมใหม่ อยู่อพาร์ทเม้นต์ต่อไป สะสมเงินก้อน รอจังหวะบ้านถูก แล้วกำเงินสดก้อนโตๆ ไปซื้อบ้านมือสอง ที่ถูกบังคับตัดเนื้อขาย ในราคาที่ต่ำเหลือเชื่อ
ความคิดเห็นที่ 31
แปลกใจ ที่ชีวิต การศึกษา รายไำด้ และอายุของ คุณ จขกท. ก็คล้ายๆ ผม

ผมเคยซื้อบ้านเดี่ยวเงินผ่อน ราคา 2.7 ล้าน และขายทิ้งตอนปี 41 ขาดทุนหลายแสน เพราะตกงาน เครียด รับภาระไม่ไหว แยกทางกับภรรยา  โดนภาษีธุรกิจเฉพาะี+ดอกเบี้ย100% ฯลฯ

ผมอยู่อพาร์ทเม้นต์มาสิบกว่าปี จนถึงวันนี้ ก็ยังเขียน comment นี้จากอพาร์ทเม้นต์เช่ารายเดือน
จนตอนนี้มีเงินก้อน พอซื้อบ้่านทั้งหลังด้วยเงินสดได้ 100%

แต่... แปลกใจตัวเอง ที่ผมกลับคิดว่า บ้านคือ "ภาระ" คือการผูกมัดให้อยู่กับที่ ไม่ใช่ liquid asset
การซื้อบ้าน ซึ่งเป็นการลงทุนที่ "แพง" ที่สุดในชีวิตของมนุษย์เงินเดือน จึงควรเป็นการ "ลงทุน" ล้วนๆ อย่าคิดว่ามันเป็นที่อยู่อาศัย
ซึ่งย่อมอนุมานต่อได้ว่า ก็ต้องซื้อถูกๆ และขายแพงมากๆ ได้ มีแต่คนขอแย่งซื้อตลอดปี มีนายหน้ามาจีบให้ขายทิ้งตลอด

อาจเป็นเพราะผมเคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นมา ความคิดจึงเปลี่ยน
ขอเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังครับ ...

หลายปีก่อน ผมเคยคุยกับเจ้าของอพาร์ทเม้นต์มือใหม่แ่ห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ห้องก็ไม่ถูกนะ สตูดิโอ ก็สองสามล้านสมัยนั้น เป็น low-rise ไม่ถึงร้อยห้อง เขาเล่าว่าเปิดตัวสัปดาห์เดียวหมดเกลี้ยง จนตัวเจ้าของเองก็งง ทำไม ?
คำตอบคือ พวกญี่ปุ่นบอกต่อๆ กัน มาแย่งซื้อ ตอนนั้นยังไม่มี J town J market แต่มีผับกับร้านอาหารเพียบ ญี่ปุ่นมีนิสัยชอบสังคมหลังเลิกงาน ทำเลนั้นมันเมาแล้วเดินแอ๋กลับคอนโดได้ ไม่ต้องขับรถครับ จึงกลายเป็น rare asset อยากขายเมื่อไหร่มีญี่ปุ่นแย่งซื้อ เพราะที่ดีๆ แบบนั้นไม่มีอีกแล้ว ราคาต่อ ตร.ม. ก็พุ่งจาก 4-5 หมื่นเป็นแสนกว่าอย่างรวดเร็ว

แล้วทำไมคุณหรือผมจึงไม่เคยได้ซื้อบ้านแบบนี้บ้าง ? บ้านแบบนี้ต่างหาก ที่ไม่ใช่ "ภาระ" แต่เป็น "ห่้านทองคำ" !

ดังนั้นการซื้อบ้าน ก็เหมือนการซื้อสินค้าทั่วๆ ไป คืออยากได้ของดี ก็ต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้ง ราคามันสูงมากนะ พลาดก็ติดแหง่กเป็นสิบปี จะขายก็ไม่มีใครเอา ถ้าดีก็ขายได้กำไรมหาศาล แล้วคุณแน่ใจหรือว่าบ้านที่เลือกไว้ เป็นบ้านที่ดีจริง ?

เดี๋ยวนี้ผมชักจะคิดอะไรแปลกๆ เช่นอยากได้บ้าน ทำไมไม่สร้างขายซะเองเลย ? หรือร่วมลงทุนกับเจ้าของโครงการ แล้วเลือกห้องหนึ่งมาอยู่เองฟรี อะไรเทือกนี้ ...

เรียนฝากท่าน จขกท. ขอให้ระลึกถึงความรู้สึกในอดีต อายุ 35 ณ วันที่ผ่อนบ้านหมด คุณรู้สึกไหม...ถึง "อิสรภาพทางการเงิน"
แล้วทำไม จึงคิดเผลอใจ ไปติด "กับดักหนู" แบบนั้นได้ครับ ? ถ้าพลาดรอบนี้ อีกกี่สิบปีจึงจะหลุดพ้น ?

ขอให้ประสบกับโชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่