ปัญหาชาวโรฮิงญา กลายเป็นประเด็นระดับสากลที่ได้รับการไฮไลท์ไปแล้ว แต่ถูกขับเน้นในแนวเดียวคือ ห่วงใยความร้าวรานของคนสายพันธุ์นี้ ที่ต้องลอยเรือไปตกระกำลำบากในประเทศต่างๆ กระแสความเรียกร้องในเชิงมนุษยธรรมจึงสูงมาก จนถึงกับมีบางกลุ่มคิดอย่างสุดโต่งถึงการช่วยเหลือพวกเขาให้เต็มที่ แต่เมื่อพิจารณาถึงมุมของความมั่นคงและมุมของการแบ่งปันความรับผิดชอบแล้ว ประเทศที่สามอย่างไทย ไม่ควรต้องรับภาระนี้ให้มากเกินกำลัง
ชาวโรฮิงญานั้นน่าสงสารจริง เพราะใครๆ ก็ไม่นับว่าเป็นพวก พม่าเจ้าของที่รังเกียจขนาดไม่ให้ใช้แซ่ร่วม แม้ว่าพม่าจะเป็นดินแดนหลายเผ่าพันธุ์ หลายกลุ่มฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ทุกฝ่ายกลับประสานเสียงกันไม่เอาโรฮิงญา ทั้งชาวบ้าน พระสงฆ์และรัฐ หรือแม้แต่ฝ่ายค้าน บังกลาเทศที่ว่าเชื้อสายใกล้เคียงที่สุดก็ทำได้ดีสุดแค่ตั้งค่ายอพยพไว้ชายแดน ส่วนมาเลเซีย เป้าหมายในฝันของเหล่ามนุษย์น้ำ ก็พยายามผลักดันออก ไม่ให้สัญชาติเช่นกัน ในสภาพปกติชาวโรฮิงญาก็อดอยากจนต้องลอยเรือออกนอกประเทศอยู่แล้ว สถานการณ์รุนแรงที่ยะไข่เมื่อปีกลาย ยิ่งทำให้พวกเขาแห่กันออกมามากเข้าไปใหญ่ ไทยซึ่งเป็นรัฐชายฝั่งรัฐแรกที่มีเพียงทะเลกั้นพวกเขาไว้ จึงต้องเจอปัญหานี้เข้าไปเต็มๆ
แน่นอนว่า การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในขั้นต้นเป็นสิ่งประเสริฐ แต่จะมากไปกว่านี้นั้น ไม่ควร เพราะนี่คือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ประการหนึ่ง ในหลายปีที่ปัญหาไม่ได้รับการจับตามองเท่านี้ คนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่เมืองไทยเป็นจำนวนหลายพันแล้ว หลายคนถูกนำไปใช้เป็นแรงงานทาสอย่างน่าสงสาร แต่หลายคนก็พัฒนาตนเองเป็นคนขายโรตี หรือยิ่งไปกว่านั้น เช่น รับเดินโพยฟุตบอล อาชีพทั้งผิดและถูกกฎหมายเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะการฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่บางพวกกับนายทุนหน้าเลือด โดยที่คนไทยผู้ได้รับผลกระทบเองนิ่งเฉย คนชั้นล่างใกล้ชิดกลุ่มนี้อยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คนชั้นกลางไม่รู้ปัญหาและไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า โรฮิงญาในไทยมีมากแค่ไหน กระทบต่อปัญหาสังคม เช่น การจ้างงานอาชญากรรมหรือโรคภัยอย่างไร ส่วนคนที่น่าจะสั่งการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ก็ยังงงว่าจะจัดการอย่างไรดี
หากช่วยเหลือดีเกินไป ให้สิทธิต่างๆ คนพลัดถิ่นเหล่านี้จะยิ่งมายังเมืองไทยและไม่ยอมออก หลายปีผ่านไปทำให้พวกเขาตั้งหลักได้และจะเรียกร้องสิทธิทั้งบนดินใต้ดินยิ่งกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ทางการไทยปวดหัวแน่นอน ทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นหาทางผลักดันออกไป ถึงจะยากลำบาก เพราะพม่าก็ยืนหยัดแนวทางเดิมโดยไม่สนใจเสียงโวยขององค์กรระหว่างประเทศ ส่วนมาเลเซียก็สกัดกั้นเต็มที่ เพราะมีคนที่หน้าตาคล้ายแรงงานบังกลาเทศแต่ไม่ใช่บังกลาเทศนี้อยู่ถึง 5 หมื่น ปลอมตัวเป็นชาวบังกลาเทศลักลอบทำงานอยู่เต็มไปหมดอยู่แล้ว ดังนั้นในห้วงเวลาที่ทางการไทยกำลังหวานอมขมกลืนก็อย่าเพิ่งกดดันเอาแต่มนุษยธรรมเป็นหลักจนลืมมองมุมด้านความมั่นคงเสียเลย
http://www.komchadluek.net/detail/20130128/150408/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99.html#.UQYL5vJFtIs
จากการตรวจดีเอ็นเอของมุสลิมโรฮิงญาหลายๆครั้งมีข้อน่ากังวลในประเด็นที่เกี่ยว ข้องกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ในช่วงปี 2552 ตรวจพบชาวโรฮิงญาที่ถือบัตรสัญชาติมาเลเซียเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้กรณีนี้ไม่ได้พบบ่อย แต่มีข้อน่าสงสัยว่าเข้ามาเส้นทางใด เนื่องจากชาวโรฮิงญาไม่มีศักยภาพพอที่จะลอยเรือไปขึ้นฝั่งที่มาเลเซียได้ นอกจากนี้จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ยังพบว่าในกลุ่มของผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมีการนำวัตถุระเบิดจากประเทศอินเดียเข้ามาด้วย จึงน่าสงสัยว่ามีขบวนการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายคนกลุ่มนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลักดันคนเหล่านี้กลับประเทศ แต่ในความเป็นจริงโรงฮิงญาจะถูกส่งขึ้นฝั่งที่ จ.สตูล ระนอง และจังหวัดอื่นๆ และบางส่วนจะถูกส่งต่อเข้าไปมาเลเซีย” พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบขยายผลถึงที่พักกลุ่มโรฮิงญา ผู้ต้องหา 2 รายให้การรับสารภาพว่า เป็นโรฮิงญาที่อพยพมาจากชายแดนด้านแม่สอด แต่มาอาศัยอยู่ที่สุไหง โกลก และต่อมาถูกส่งตัวไปฝึกกับอาร์เคเค และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นนี้จึงน่าเป็นห่วงมาก เพราะขณะนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายชัดเจนว่าจะแก้ปัญหามุสลิมโรฮิงญาที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างไร สำหรับนายหน้าชาวโรฮิงญาสัญชาติพม่าที่นำคนเหล่านิ้เข้ามาเจ้าหน้าจะเก็บดีเอ็นเอไว้เพื่อประโยชน์ในการตรวจพิสูจน์การกระทำความผิด โดยจะบันทึกไว้ในฐานข้อมูลประวัติอาชญากร
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบขยายผลถึงที่พักกลุ่มโรฮิงญาผู้ต้องหา 2 รายให้การรับสารภาพว่า ชาวโรฮิงยาที่อพยพมาจากชายแดนด้านแม่สอด ได้มาอาศัยอยู่ที่สุไหง-โกลก ก่อนจะถูกส่งตัวไปฝึกกับกลุ่มอาร์เคเค และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ประเด็นนี้น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากรัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายชัดเจนว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000011027
เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี็(28 ม.ค.) ที่กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่จ.นราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพบปะผู้นำศาสนาว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีโอกาสหารือถึงปัญหาทุกเรื่องร่วมกับพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องโรฮิงญาเท่านั้น อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาความมั่นคงเรามีแผนในการดำเนินการ โดยปัญหาเรื่องโรฮิงญาก็ต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของทหารเองก็มีหน้าที่สนับสนุน เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้เรามีการดำเนินการทุกปี เพราะในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูมรสุมก็จะมีการลักลอบอพยพเข้ามาตามฝั่งทะเลชายฝั่งอันดามันเราก็มีการจับกุมและส่งกลับ โดยเป็นไปตามข้อตกลงกฎหมายทุกประการ แต่ครั้งนี้มีการลักลอบมารวมกลุ่มกันเพื่อไปทำความผิดอย่างอื่น ซึ่งเป็นประเด็นที่พบใหม่คือมีการลักลอบเข้ามาทางบกมากพอสมควร ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความเป็นมาและแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด และรัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะให้การสนับสนุนตามหลักมนุษยธรรมไปสักระยะหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะระดับอาเซียน หรือประชาคมอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคนไทยโดยรวม
....................................................................................................
เอามาให้อ่าน แล้ววิเคาะกันเองครับ ส่วนตัวผมที่รัฐบาลทำอยู่ตอนนี้ กำลังดีครับ ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป
โรฮิงญาอย่าทำเป็นเล่น
ชาวโรฮิงญานั้นน่าสงสารจริง เพราะใครๆ ก็ไม่นับว่าเป็นพวก พม่าเจ้าของที่รังเกียจขนาดไม่ให้ใช้แซ่ร่วม แม้ว่าพม่าจะเป็นดินแดนหลายเผ่าพันธุ์ หลายกลุ่มฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ทุกฝ่ายกลับประสานเสียงกันไม่เอาโรฮิงญา ทั้งชาวบ้าน พระสงฆ์และรัฐ หรือแม้แต่ฝ่ายค้าน บังกลาเทศที่ว่าเชื้อสายใกล้เคียงที่สุดก็ทำได้ดีสุดแค่ตั้งค่ายอพยพไว้ชายแดน ส่วนมาเลเซีย เป้าหมายในฝันของเหล่ามนุษย์น้ำ ก็พยายามผลักดันออก ไม่ให้สัญชาติเช่นกัน ในสภาพปกติชาวโรฮิงญาก็อดอยากจนต้องลอยเรือออกนอกประเทศอยู่แล้ว สถานการณ์รุนแรงที่ยะไข่เมื่อปีกลาย ยิ่งทำให้พวกเขาแห่กันออกมามากเข้าไปใหญ่ ไทยซึ่งเป็นรัฐชายฝั่งรัฐแรกที่มีเพียงทะเลกั้นพวกเขาไว้ จึงต้องเจอปัญหานี้เข้าไปเต็มๆ
แน่นอนว่า การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในขั้นต้นเป็นสิ่งประเสริฐ แต่จะมากไปกว่านี้นั้น ไม่ควร เพราะนี่คือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ประการหนึ่ง ในหลายปีที่ปัญหาไม่ได้รับการจับตามองเท่านี้ คนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่เมืองไทยเป็นจำนวนหลายพันแล้ว หลายคนถูกนำไปใช้เป็นแรงงานทาสอย่างน่าสงสาร แต่หลายคนก็พัฒนาตนเองเป็นคนขายโรตี หรือยิ่งไปกว่านั้น เช่น รับเดินโพยฟุตบอล อาชีพทั้งผิดและถูกกฎหมายเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะการฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่บางพวกกับนายทุนหน้าเลือด โดยที่คนไทยผู้ได้รับผลกระทบเองนิ่งเฉย คนชั้นล่างใกล้ชิดกลุ่มนี้อยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คนชั้นกลางไม่รู้ปัญหาและไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า โรฮิงญาในไทยมีมากแค่ไหน กระทบต่อปัญหาสังคม เช่น การจ้างงานอาชญากรรมหรือโรคภัยอย่างไร ส่วนคนที่น่าจะสั่งการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ก็ยังงงว่าจะจัดการอย่างไรดี
หากช่วยเหลือดีเกินไป ให้สิทธิต่างๆ คนพลัดถิ่นเหล่านี้จะยิ่งมายังเมืองไทยและไม่ยอมออก หลายปีผ่านไปทำให้พวกเขาตั้งหลักได้และจะเรียกร้องสิทธิทั้งบนดินใต้ดินยิ่งกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ทางการไทยปวดหัวแน่นอน ทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นหาทางผลักดันออกไป ถึงจะยากลำบาก เพราะพม่าก็ยืนหยัดแนวทางเดิมโดยไม่สนใจเสียงโวยขององค์กรระหว่างประเทศ ส่วนมาเลเซียก็สกัดกั้นเต็มที่ เพราะมีคนที่หน้าตาคล้ายแรงงานบังกลาเทศแต่ไม่ใช่บังกลาเทศนี้อยู่ถึง 5 หมื่น ปลอมตัวเป็นชาวบังกลาเทศลักลอบทำงานอยู่เต็มไปหมดอยู่แล้ว ดังนั้นในห้วงเวลาที่ทางการไทยกำลังหวานอมขมกลืนก็อย่าเพิ่งกดดันเอาแต่มนุษยธรรมเป็นหลักจนลืมมองมุมด้านความมั่นคงเสียเลย
http://www.komchadluek.net/detail/20130128/150408/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99.html#.UQYL5vJFtIs
จากการตรวจดีเอ็นเอของมุสลิมโรฮิงญาหลายๆครั้งมีข้อน่ากังวลในประเด็นที่เกี่ยว ข้องกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ในช่วงปี 2552 ตรวจพบชาวโรฮิงญาที่ถือบัตรสัญชาติมาเลเซียเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้กรณีนี้ไม่ได้พบบ่อย แต่มีข้อน่าสงสัยว่าเข้ามาเส้นทางใด เนื่องจากชาวโรฮิงญาไม่มีศักยภาพพอที่จะลอยเรือไปขึ้นฝั่งที่มาเลเซียได้ นอกจากนี้จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ยังพบว่าในกลุ่มของผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมีการนำวัตถุระเบิดจากประเทศอินเดียเข้ามาด้วย จึงน่าสงสัยว่ามีขบวนการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายคนกลุ่มนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลักดันคนเหล่านี้กลับประเทศ แต่ในความเป็นจริงโรงฮิงญาจะถูกส่งขึ้นฝั่งที่ จ.สตูล ระนอง และจังหวัดอื่นๆ และบางส่วนจะถูกส่งต่อเข้าไปมาเลเซีย” พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบขยายผลถึงที่พักกลุ่มโรฮิงญา ผู้ต้องหา 2 รายให้การรับสารภาพว่า เป็นโรฮิงญาที่อพยพมาจากชายแดนด้านแม่สอด แต่มาอาศัยอยู่ที่สุไหง โกลก และต่อมาถูกส่งตัวไปฝึกกับอาร์เคเค และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นนี้จึงน่าเป็นห่วงมาก เพราะขณะนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายชัดเจนว่าจะแก้ปัญหามุสลิมโรฮิงญาที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างไร สำหรับนายหน้าชาวโรฮิงญาสัญชาติพม่าที่นำคนเหล่านิ้เข้ามาเจ้าหน้าจะเก็บดีเอ็นเอไว้เพื่อประโยชน์ในการตรวจพิสูจน์การกระทำความผิด โดยจะบันทึกไว้ในฐานข้อมูลประวัติอาชญากร
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบขยายผลถึงที่พักกลุ่มโรฮิงญาผู้ต้องหา 2 รายให้การรับสารภาพว่า ชาวโรฮิงยาที่อพยพมาจากชายแดนด้านแม่สอด ได้มาอาศัยอยู่ที่สุไหง-โกลก ก่อนจะถูกส่งตัวไปฝึกกับกลุ่มอาร์เคเค และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ประเด็นนี้น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากรัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายชัดเจนว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000011027
เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี็(28 ม.ค.) ที่กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่จ.นราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพบปะผู้นำศาสนาว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีโอกาสหารือถึงปัญหาทุกเรื่องร่วมกับพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องโรฮิงญาเท่านั้น อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาความมั่นคงเรามีแผนในการดำเนินการ โดยปัญหาเรื่องโรฮิงญาก็ต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของทหารเองก็มีหน้าที่สนับสนุน เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้เรามีการดำเนินการทุกปี เพราะในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูมรสุมก็จะมีการลักลอบอพยพเข้ามาตามฝั่งทะเลชายฝั่งอันดามันเราก็มีการจับกุมและส่งกลับ โดยเป็นไปตามข้อตกลงกฎหมายทุกประการ แต่ครั้งนี้มีการลักลอบมารวมกลุ่มกันเพื่อไปทำความผิดอย่างอื่น ซึ่งเป็นประเด็นที่พบใหม่คือมีการลักลอบเข้ามาทางบกมากพอสมควร ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความเป็นมาและแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด และรัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะให้การสนับสนุนตามหลักมนุษยธรรมไปสักระยะหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะระดับอาเซียน หรือประชาคมอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคนไทยโดยรวม
....................................................................................................
เอามาให้อ่าน แล้ววิเคาะกันเองครับ ส่วนตัวผมที่รัฐบาลทำอยู่ตอนนี้ กำลังดีครับ ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป