"ที่ออกตามสื่อไปเนี่ย ผมว่าไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ ผมจะบอกให้"

เพียงการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในสัปดาห์แรก 1 ในคนที่น่าจะสร้างเสียงฮือฮาในการหาเสียงที่สุดได้แก่ “พล.ต.ต.พงศพัศ พงษ์เจริญ” ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย (พท.) เพราะมีวิธีในการสร้างสีสัน ออกแอ็คชั่นให้อยู่บนหน้าสื่ออยู่ทุกวัน
ทั้ง กระโดดไปขับรถเมล์ด้วยตัวเอง เกาะรถขยะไปพูดคุยกับเทศกิจ นั่งกับพื้นกินข้าวพูดคุยปัญหากับชาวบ้าน ฯลฯ
หลายๆ คนตั้งฉายา พล.ต.อ.พงศพัศ ว่าเป็น “นายตำรวจนักพีอาร์” ตั้งแต่สมัยรับราชการตำรวจ กระทั่งพลิกบทบาทมาเป็นนักการเมือง ก็ยังคงสไตล์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“สำนักข่าวอิศรา” (www.isranews.org) ขอติดตามการหาเสียงของผู้สมัครไปในวันหนึ่ง แล้วหาช่วงจังหวะเวลาว่างไปนั่งคุยกับ “จูดี้” ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 9 เพื่อสอบถามกลยุทธต่างๆ ที่ใช้ในโค้งแรกของการหาเสียง
ที่เพียงเริ่มต้นหาเสียงอย่างเป็นทางการได้เพียง 2 วัน เอแบคโพลล์ก็ยกให้ตัวเขาเป็นต่อคู่แข่งคนสำคัญของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” หรือ “คุณชายหมู” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในทุกๆ ด้าน...
รู้สึกอย่างไรที่หาเสียงไม่กี่วันก็มีโพลล์ให้เป็นเต็ง 1 แล้ว
ผมยังไม่ได้ติดตามรายละเอียด แต่การนำเสนอนโยบายเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเท่าที่ผมสัมผัสเขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเลือกคนเก่าหรือคนใหม่
แค่สัปดาห์แรกเองนะครับ
ผมว่าเขาตัดสินใจเกือบหมดแล้ว ว่าจะเลือกคนเก่าหรือคนใหม่ จะเลือกคนที่ทำงานร่วมรัฐบาลหรือคนที่ไม่ทำงานร่วมกับรัฐบาล
แล้วเท่าที่สัมผัสเขาเลือกคนเก่าหรือคนใหม่
ผมคิดว่าอยากเปลี่ยนแปลง นี่คือความรู้สึกของคนทั่วไป
เขาอยากเปลี่ยนเพราะอะไร
เขาดูสภาพปัญหาที่เกิดกับเขามาหลายๆ ปี คนก็คิดได้
การเปลี่ยนสถานะจากข้าราชการมาลงเล่นการเมืองต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากน้อยแค่ไหน
ผมเดินชุมชนมาเยอะ ที่ผมอยากลงผู้ว่าฯ กทม.คราวนี้ เพราะผมเดินมาหลายปีแล้ว ปัญหามันไม่ได้รับการแก้ไข ผมถึงอยากจะขอความกรุณาจากรัฐบาล ลงมาช่วยดูแลคนกทม. คนกทม.มากขึ้นทุกวัน แล้วปัญหามันหมักหมมต่อเนื่อง ถ้าเราไม่แก้ไขแบบพลิกฟื้น หรือเปลี่ยนแปลงแบบยกระดับ มันแก้ไขยาก แล้วมันจะหมักหมมต่อไปอีกมาก
ความรู้สึกระหว่างการตรวจตราดูปัญหาสมัยเป็นตำรวจ กับการขอคะแนนเมื่อเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ประเด็นมันไม่ใช่การขอคะแนน แต่การที่ผู้สมัครไปถึงตัวผู้ที่มีสิทธิ หรือประชาชนโดยทั่วไป มันก็เป็นความรู้สึกอีกส่วน การขายนโยบายผ่านสื่อก็เป็นอีกส่วน มันเป็นความรู้สึกของคนไทย เป็นวัฒนธรรมที่เมื่อเราไปพบปะพูดคุยก็เกือบความใกล้ชิด
การลงพื้นที่หาเสียงยังจำเป็นอยู่ไหมครับ
ถ้ามีเวลาเราต้องไปทุกที่อยู่แล้ว เพราะทุกคนก็เป็นพี่น้องเรา อยากน้อยๆ มีอะไรเขาก็บอกเรา เนี่ย จดหมายเต็มกระเป๋าไปหมด
มีผู้สมัครบางคนใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการหาเสียง
สำหรับคนไทย ความผูกพันจะมีผลค่อนข้างเยอะ เขาอาจจะไม่รู้จักผม เคยเห็นแค่ในทีวี แต่วันนี้เขาได้จับไม้จับมือ ได้พูดคุยกัน มันจะเป็นความรู้สึกอีกระดับหนึ่ง เป็นแบบญาติพี่น้อง อย่างผมทำโครงการฝากบ้านกับตำรวจ แทบจะไม่ต้องไปสัมผัสกับเจ้าของบ้านเรา แต่เป็นความผูกพันระหว่างเจ้าของบ้านกับคนที่ทำโครงการ ก็เป็นห่วงเป็นใยเขา ไปช่วยเหลือเขา นี่คือความรู้สึก
ก็เลยใช้วิธีหาเสียงแบบถึงลูกถึงคน
ผมคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน ความคุ้นเคย มันต้องติดดิน การจะมาแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน มันต้องรู้ มันต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วก็ต้องจริงใจด้วยนะ ผมไม่ใช่เพิ่งมาทำ ทำมา 30 กว่าปีแล้ว ลงชุมชนผมลงมานานแล้ว
แก๊กในการหาเสียงต่างๆ เช่น ชงกาแฟ ลวกก๋วยเตี๋ยว ทำส้มทำ คือมาจากการคิดของตัวเอง
ความจริงไม่ใช่เพิ่งมาชงตอนนี้ ชงมานานแล้ว ก็ผมลงชุมชน 2.2 พันแห่ง มา 10 กว่าปีแล้ว ไม่มีอะไรๆ มันอยู่ที่บุคลิกของแต่ละบุคคล อย่าไปแกล้งทำ เสแสร้ง คนเขาเห็นเขารู้
หลายอย่างที่ทำมาคิดว่าจะทำให้คน กทม.ชอบไหม
ตัวตนผมเป็นอย่างนี้ เราจะไปบังคับให้คนชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้ แต่ตัวตนเราเป็นอย่างนี้ เราก็ทำในสิ่งที่เคยทำ
ก่อนจะไปลวกก๋วยเตี๋ยว ตำส้มตำ ประเมินผลที่จะได้อย่างไร คิดอะไรอยู่ในใจ
ไม่ต้องคิดอะไร (ลากเสียง) มันเป็นวิถีชีวิตชาวบ้าน เมื่อก่อนเราก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนทำแล้วก็มานั่งล้อมวงกินกัน แต่คราวนี้มันไม่มีเวลามานั่งกิน
หวังทำโชว์สื่อให้มีข่าวตัวเองอยู่ในกระแสหรือเปล่า
ไม่มีสื่อผมก็ทำอยู่แล้ว ถ้าทำโชว์สื่อ บางคนอาจจะไม่ชอบเสียอีก
แต่ตัวคุณพงศพัศเองหลายคนยอมรับความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์
ไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อน หรือต้องแกล้งทำ ไม่มี (เสียงสูง) มันเป็นตัวตน เป็นวิถีชีวิต อย่าลืมว่าพ่อผมเป็นกำนันอยู่ต่างจังหวัด ผมเนี่ยคุ้นเคยกับการทำงาน การบริการชาวบ้าน ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ เลยมันเป็นจิตวิญญาณของผมเลย ผมเป็นตำรวจผมไม่เคยใช้อำนาจ ตำรวจไปจบคนค้าซีดีเถื่อน ผมยังต้องไปช่วยประกันตัวออกมาจากคุก มันเป็นความรู้สึกว่า เขาอาจจะไม่รู้กฎหมาย เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนา และที่ผมทำ ผมอยากทำให้ตำรวจเห็น ว่าการจะตัดสินใจจับกุมใครดำเนินคดี ต้องถามที่มาที่ไปให้รอบคอบถี่ถ้วน คนกระทำความผิดมันทำได้ทั้งนั้น แต่มันไม่รู้ว่าเหตุที่เขาต้องกระทำ มันเพราะอะไร เหมือนที่ผมไปช่วยแม่ลูกเจ็ดขโมยนมให้ลูกกิน มันเป็นความรู้สึกของผม
ปกติเวลาทำอะไร ต้องโชว์ ต้องแสดง ต้องพีอาร์ไหม
ที่ออกตามสื่อไปเนี่ย ผมว่าไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ ผมจะบอกให้
ทำมากกว่านั้น?
(ย้ำ) ไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ
พอมาลงเล่นการเมือง หลักคิดในการประชาสัมพันธ์ จะยังเหมือนสมัยรับราชการอยู่ไหม
เหมือนกัน เพราะประชาชนยังอยู่ที่เดิม ปัญหายังอยู่เหมือนเดิม
แต่เราแค่เปลี่ยนหมวก
ก็ไม่ได้เปลี่ยนหมวกอะไร เราก็อาสาทำ เพียงอาจจะดุในมุมที่กว้างกว่า ถึงทุกปัญหาได้มากกว่า ตำรวจอาจจะดูแค่ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด แต่ผู้ว่าฯกทม.มันไปถึงก้นครัว วิถีชีวิต ปากท้อง ทุกเรื่อง มันเป็นมุมมองที่ผมคิดว่า แต่ก่อนที่ผมตัดสินใจ ต้องให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะต้องช่วย เพราะถ้าเรายังทำแบบเดิม ใช้งบเหมือนเดิม สไตล์เดิม ปัญหามันก็จะเป็นแบบเนี้ย ผมถึงได้พูดไงว่าผ่านไป 4 ปี เราก็ยังมาหาเสียงในเรื่องเดิมๆ มันต้องเอาทุกกระทรวงมาคุยกัน แล้วปฏิรูปฟื้นฟูกันอย่างหนัก น้ำเน่าเหม็น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องมาช่วยแก้ไขด้วย ไม่เช่นนั้นจะเอาตังค์มาจากไหน ผมอยากจะแก้ปัญหาอาชญากรรม อยากจะติดตั้งซีซีทีวี กทม.ก็ไม่มีตังค์ ผมก็ต้องไปขอรัฐบาล จะเอามาในส่วนของกระทรวงมหาดไทยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เอามาช่วยกันติดตั้ง ผมจะได้ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้
นี่คือข้อได้เปรียบของผู้สมัครจาก พท.ที่เป็นรัฐบาลอยู่
ไม่ใช่ข้อได้เปรียบ แต่เป็นหน้าที่ของ กทม.และรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาให้กับคน กทม.
ผู้สมัครายอื่นก็บอกว่าไม่ว่าใครได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. รัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกับเขาอยู่ดี
มันคนละประเด็น ผู้ว่าฯ กทม.ไม่ใช่จะประสานได้ทุกส่วน ทุกเรื่อง ทุกกระทรวง ทบวง กรม ยิ่งถ้ามีเรื่องพรรคเข้ามาเกี่ยวด้วย จะประสานอะไร
ชีวิตการเป็นตำรวจ 30 กว่าปี เมื่อเปลี่ยนมาเป็นนักการเมืองแล้ว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
เหมือนกันๆ (แต่ต้องตื่นเช้ามากมาหาเสียง) เป็นตำรวจก็ต้องตื่นเช้า
แต่ต้องไปเจอหัวคะแนน นักการเมืองในพื้นที่ ผู้ใหญ่ภายในพรรค
หัวคะแนนก็คนนำความจริงในพื้นที่มาบอกเรา ดีเสียอีก เมื่อก่อนเราเป็นตำรวจคนอาจจะไม่กล้าเขา พอมาเป็นนักการเมือง เขาอาจจะยิ่งแอยากเข้ามาบอกปัญหา ให้แก้ปัญหาครบมิติมากขึ้นไปอีก มีแต่ดีกับดี ถ้าผมเป็นรอง ผบ.ตร.รอเป็น ผบ.ตร. ผมก็แค่นั่งอยู่ในห้องแอร์ หรือไปประชุม มันไม่มีประโยชน์อะไร แต่พอมาเป็นนักการเมืองเราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับปัญหาของประชาชนมากกว่าเยอะ ตำรวจพอคนเห็นแต่งเครื่องแบบ คนก็ไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว แต่พอเราเป็นประชาชนเต็มขั้น เขาก็แฮปปี้กว่าในการเข้ามาคุย
เหลืออีก 40 กว่าวันในการหาเสียง จะแสดงอะไรในการหาเสียงมากกว่าที่ทำไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่มี ที่ผมมาก็ไม่ใช่การแสดง ผมแค่ทำตามรูปแบบที่ผมเคยทำ ไม่ต้องแสดงอะไร
--------------------------------------------------------------------------------
“ไร้รอยต่อ” ของจริง
ในขณะที่สโลแกนหลักในการหาเสียงของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ที่ก็คือ “ไร้รอยต่อ” โดยอ้างถึงการที่รัฐบาลกับ กทม.มีผู้บริหารมาจากพรรคเดียวกัน จะทำให้ทำงานประสานกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน ชนิด “ไร้รอยต่อ”
วิธีการลงพื้นที่หาเสียงของ “ผู้สมัครหมายเลข 9” รายนี้ ก็ “ไร้รอยต่อ” เช่นกัน แต่เป็นในอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือมีการติดต่อประสานงานกันน้อยมาก
เนื่องจาก พท.จะมีทีมงานอีกชุดหนึ่ง แต่ตัว พล.ต.อ.พงศพัศก็จะมีทีมงานของตัวเอง โดยพรรคจะกำหนดจุดหาเสียงคร่าว ๆ และให้ ส.ส. ส.ก.หรือ ส.ข.ในเขตนั้น ช่วยประสานงานจับเตรียมมวลชนมารอบต้อนรับ
แต่วิธีการเดินหาเสียง จะไปที่ไหนอย่างไร ทำอะไรบ้าง กลับปล่อยให้ขึ้นอยู่กับตัว “พล.ต.อ.พงศพัศ” แทบจะล้วนๆ
หลายครั้งที่กำหนดจุดหาเสียงไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องเลี่อน ยกเลิก หรือเปลี่ยนจุด
ด้านหนึ่งเป็นเรื่องการตระเตรียมของ พท.ที่ยังมีข้อบกพร่อง แต่อีกด้านก็มาจากการตัดสินใจของตัวผู้สมัคร ที่ยังมีปัญหาเรื่องการประสานงานกับต้นสังกัด
อย่างการหาเสียงในวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.อ.พงศพัศมีกำหนดการตะลุยหาเสียงย่านฝั่งธนบุรี ไว้ 6 จุด
แต่ถึงเวลาหาเสียงจริงๆ กลับเหลือเพียง 3 จุด กระทั่งบางจุดที่ชาวบ้านมายืนรอแต่เช้า ทยอยเดินทางกลับ เพราะตัวผู้สมัครมาช้ากว่าเวลานัดถึงชั่วโมงเศษ
หรือในช่วงเวลาเที่ยงซึ่ง พท.กำหนดให้ไปรับประทานอาหารที่จุดหนึ่ง เจ้าตัวกลับขอ ว.5 ไปรับประทานอีกจุด ทำเอาเจ้าหน้าที่ พท.ต้องสั่งให้รถยนต์ไล่ตามรถยนต์อีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว ของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ไปจนถึงที่หมาย
นี่เป็นตัวอย่างการประสานงานแบบ “ไร้รอยต่อ” เล็กๆ ที่ปรากฏในทีมหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ไม่แน่ว่าอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
credit:
http://www.isranews.org/เวทีทัศน์/item/19010-bkk-2013-1-25-pongsapas.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++ผู้สัมภาษณ์ คล้ายคลึงกับ BBC +++
++คำตอบที่ออกมา ก็เหมือนกับรู้ๆกันอยู่ +++
++++ความโดดเด่นในเชิงพัฒนา นำกรุงเทพฯมหานคร ถือว่า ยังด้อยอยู่มาก +++
++ผมว่า ณ เวลานี้ คนเสื้อแดง บางคน อาจต้องยอมรับว่า เขาไม่มีอะไรที่โดดเด่น ในด้านศักยภาพ หรือการพัฒนาเลยก็ได้++++
คุณพงศพัศ คาฟ อะไรที่เป็นจุดเด่น ด้านศักยภาพด้านการพัฒนา ผมหาไม่เจอเจงๆๆๆๆ
"ที่ออกตามสื่อไปเนี่ย ผมว่าไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ ผมจะบอกให้"
เพียงการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในสัปดาห์แรก 1 ในคนที่น่าจะสร้างเสียงฮือฮาในการหาเสียงที่สุดได้แก่ “พล.ต.ต.พงศพัศ พงษ์เจริญ” ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย (พท.) เพราะมีวิธีในการสร้างสีสัน ออกแอ็คชั่นให้อยู่บนหน้าสื่ออยู่ทุกวัน
ทั้ง กระโดดไปขับรถเมล์ด้วยตัวเอง เกาะรถขยะไปพูดคุยกับเทศกิจ นั่งกับพื้นกินข้าวพูดคุยปัญหากับชาวบ้าน ฯลฯ
หลายๆ คนตั้งฉายา พล.ต.อ.พงศพัศ ว่าเป็น “นายตำรวจนักพีอาร์” ตั้งแต่สมัยรับราชการตำรวจ กระทั่งพลิกบทบาทมาเป็นนักการเมือง ก็ยังคงสไตล์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“สำนักข่าวอิศรา” (www.isranews.org) ขอติดตามการหาเสียงของผู้สมัครไปในวันหนึ่ง แล้วหาช่วงจังหวะเวลาว่างไปนั่งคุยกับ “จูดี้” ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 9 เพื่อสอบถามกลยุทธต่างๆ ที่ใช้ในโค้งแรกของการหาเสียง
ที่เพียงเริ่มต้นหาเสียงอย่างเป็นทางการได้เพียง 2 วัน เอแบคโพลล์ก็ยกให้ตัวเขาเป็นต่อคู่แข่งคนสำคัญของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” หรือ “คุณชายหมู” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในทุกๆ ด้าน...
รู้สึกอย่างไรที่หาเสียงไม่กี่วันก็มีโพลล์ให้เป็นเต็ง 1 แล้ว
ผมยังไม่ได้ติดตามรายละเอียด แต่การนำเสนอนโยบายเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเท่าที่ผมสัมผัสเขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเลือกคนเก่าหรือคนใหม่
แค่สัปดาห์แรกเองนะครับ
ผมว่าเขาตัดสินใจเกือบหมดแล้ว ว่าจะเลือกคนเก่าหรือคนใหม่ จะเลือกคนที่ทำงานร่วมรัฐบาลหรือคนที่ไม่ทำงานร่วมกับรัฐบาล
แล้วเท่าที่สัมผัสเขาเลือกคนเก่าหรือคนใหม่
ผมคิดว่าอยากเปลี่ยนแปลง นี่คือความรู้สึกของคนทั่วไป
เขาอยากเปลี่ยนเพราะอะไร
เขาดูสภาพปัญหาที่เกิดกับเขามาหลายๆ ปี คนก็คิดได้
การเปลี่ยนสถานะจากข้าราชการมาลงเล่นการเมืองต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากน้อยแค่ไหน
ผมเดินชุมชนมาเยอะ ที่ผมอยากลงผู้ว่าฯ กทม.คราวนี้ เพราะผมเดินมาหลายปีแล้ว ปัญหามันไม่ได้รับการแก้ไข ผมถึงอยากจะขอความกรุณาจากรัฐบาล ลงมาช่วยดูแลคนกทม. คนกทม.มากขึ้นทุกวัน แล้วปัญหามันหมักหมมต่อเนื่อง ถ้าเราไม่แก้ไขแบบพลิกฟื้น หรือเปลี่ยนแปลงแบบยกระดับ มันแก้ไขยาก แล้วมันจะหมักหมมต่อไปอีกมาก
ความรู้สึกระหว่างการตรวจตราดูปัญหาสมัยเป็นตำรวจ กับการขอคะแนนเมื่อเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ประเด็นมันไม่ใช่การขอคะแนน แต่การที่ผู้สมัครไปถึงตัวผู้ที่มีสิทธิ หรือประชาชนโดยทั่วไป มันก็เป็นความรู้สึกอีกส่วน การขายนโยบายผ่านสื่อก็เป็นอีกส่วน มันเป็นความรู้สึกของคนไทย เป็นวัฒนธรรมที่เมื่อเราไปพบปะพูดคุยก็เกือบความใกล้ชิด
การลงพื้นที่หาเสียงยังจำเป็นอยู่ไหมครับ
ถ้ามีเวลาเราต้องไปทุกที่อยู่แล้ว เพราะทุกคนก็เป็นพี่น้องเรา อยากน้อยๆ มีอะไรเขาก็บอกเรา เนี่ย จดหมายเต็มกระเป๋าไปหมด
มีผู้สมัครบางคนใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการหาเสียง
สำหรับคนไทย ความผูกพันจะมีผลค่อนข้างเยอะ เขาอาจจะไม่รู้จักผม เคยเห็นแค่ในทีวี แต่วันนี้เขาได้จับไม้จับมือ ได้พูดคุยกัน มันจะเป็นความรู้สึกอีกระดับหนึ่ง เป็นแบบญาติพี่น้อง อย่างผมทำโครงการฝากบ้านกับตำรวจ แทบจะไม่ต้องไปสัมผัสกับเจ้าของบ้านเรา แต่เป็นความผูกพันระหว่างเจ้าของบ้านกับคนที่ทำโครงการ ก็เป็นห่วงเป็นใยเขา ไปช่วยเหลือเขา นี่คือความรู้สึก
ก็เลยใช้วิธีหาเสียงแบบถึงลูกถึงคน
ผมคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน ความคุ้นเคย มันต้องติดดิน การจะมาแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน มันต้องรู้ มันต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วก็ต้องจริงใจด้วยนะ ผมไม่ใช่เพิ่งมาทำ ทำมา 30 กว่าปีแล้ว ลงชุมชนผมลงมานานแล้ว
แก๊กในการหาเสียงต่างๆ เช่น ชงกาแฟ ลวกก๋วยเตี๋ยว ทำส้มทำ คือมาจากการคิดของตัวเอง
ความจริงไม่ใช่เพิ่งมาชงตอนนี้ ชงมานานแล้ว ก็ผมลงชุมชน 2.2 พันแห่ง มา 10 กว่าปีแล้ว ไม่มีอะไรๆ มันอยู่ที่บุคลิกของแต่ละบุคคล อย่าไปแกล้งทำ เสแสร้ง คนเขาเห็นเขารู้
หลายอย่างที่ทำมาคิดว่าจะทำให้คน กทม.ชอบไหม
ตัวตนผมเป็นอย่างนี้ เราจะไปบังคับให้คนชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้ แต่ตัวตนเราเป็นอย่างนี้ เราก็ทำในสิ่งที่เคยทำ
ก่อนจะไปลวกก๋วยเตี๋ยว ตำส้มตำ ประเมินผลที่จะได้อย่างไร คิดอะไรอยู่ในใจ
ไม่ต้องคิดอะไร (ลากเสียง) มันเป็นวิถีชีวิตชาวบ้าน เมื่อก่อนเราก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนทำแล้วก็มานั่งล้อมวงกินกัน แต่คราวนี้มันไม่มีเวลามานั่งกิน
หวังทำโชว์สื่อให้มีข่าวตัวเองอยู่ในกระแสหรือเปล่า
ไม่มีสื่อผมก็ทำอยู่แล้ว ถ้าทำโชว์สื่อ บางคนอาจจะไม่ชอบเสียอีก
แต่ตัวคุณพงศพัศเองหลายคนยอมรับความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์
ไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อน หรือต้องแกล้งทำ ไม่มี (เสียงสูง) มันเป็นตัวตน เป็นวิถีชีวิต อย่าลืมว่าพ่อผมเป็นกำนันอยู่ต่างจังหวัด ผมเนี่ยคุ้นเคยกับการทำงาน การบริการชาวบ้าน ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ เลยมันเป็นจิตวิญญาณของผมเลย ผมเป็นตำรวจผมไม่เคยใช้อำนาจ ตำรวจไปจบคนค้าซีดีเถื่อน ผมยังต้องไปช่วยประกันตัวออกมาจากคุก มันเป็นความรู้สึกว่า เขาอาจจะไม่รู้กฎหมาย เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนา และที่ผมทำ ผมอยากทำให้ตำรวจเห็น ว่าการจะตัดสินใจจับกุมใครดำเนินคดี ต้องถามที่มาที่ไปให้รอบคอบถี่ถ้วน คนกระทำความผิดมันทำได้ทั้งนั้น แต่มันไม่รู้ว่าเหตุที่เขาต้องกระทำ มันเพราะอะไร เหมือนที่ผมไปช่วยแม่ลูกเจ็ดขโมยนมให้ลูกกิน มันเป็นความรู้สึกของผม
ปกติเวลาทำอะไร ต้องโชว์ ต้องแสดง ต้องพีอาร์ไหม
ที่ออกตามสื่อไปเนี่ย ผมว่าไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ ผมจะบอกให้
ทำมากกว่านั้น?
(ย้ำ) ไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ผมทำ
พอมาลงเล่นการเมือง หลักคิดในการประชาสัมพันธ์ จะยังเหมือนสมัยรับราชการอยู่ไหม
เหมือนกัน เพราะประชาชนยังอยู่ที่เดิม ปัญหายังอยู่เหมือนเดิม
แต่เราแค่เปลี่ยนหมวก
ก็ไม่ได้เปลี่ยนหมวกอะไร เราก็อาสาทำ เพียงอาจจะดุในมุมที่กว้างกว่า ถึงทุกปัญหาได้มากกว่า ตำรวจอาจจะดูแค่ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด แต่ผู้ว่าฯกทม.มันไปถึงก้นครัว วิถีชีวิต ปากท้อง ทุกเรื่อง มันเป็นมุมมองที่ผมคิดว่า แต่ก่อนที่ผมตัดสินใจ ต้องให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะต้องช่วย เพราะถ้าเรายังทำแบบเดิม ใช้งบเหมือนเดิม สไตล์เดิม ปัญหามันก็จะเป็นแบบเนี้ย ผมถึงได้พูดไงว่าผ่านไป 4 ปี เราก็ยังมาหาเสียงในเรื่องเดิมๆ มันต้องเอาทุกกระทรวงมาคุยกัน แล้วปฏิรูปฟื้นฟูกันอย่างหนัก น้ำเน่าเหม็น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องมาช่วยแก้ไขด้วย ไม่เช่นนั้นจะเอาตังค์มาจากไหน ผมอยากจะแก้ปัญหาอาชญากรรม อยากจะติดตั้งซีซีทีวี กทม.ก็ไม่มีตังค์ ผมก็ต้องไปขอรัฐบาล จะเอามาในส่วนของกระทรวงมหาดไทยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เอามาช่วยกันติดตั้ง ผมจะได้ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้
นี่คือข้อได้เปรียบของผู้สมัครจาก พท.ที่เป็นรัฐบาลอยู่
ไม่ใช่ข้อได้เปรียบ แต่เป็นหน้าที่ของ กทม.และรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาให้กับคน กทม.
ผู้สมัครายอื่นก็บอกว่าไม่ว่าใครได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. รัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกับเขาอยู่ดี
มันคนละประเด็น ผู้ว่าฯ กทม.ไม่ใช่จะประสานได้ทุกส่วน ทุกเรื่อง ทุกกระทรวง ทบวง กรม ยิ่งถ้ามีเรื่องพรรคเข้ามาเกี่ยวด้วย จะประสานอะไร
ชีวิตการเป็นตำรวจ 30 กว่าปี เมื่อเปลี่ยนมาเป็นนักการเมืองแล้ว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
เหมือนกันๆ (แต่ต้องตื่นเช้ามากมาหาเสียง) เป็นตำรวจก็ต้องตื่นเช้า
แต่ต้องไปเจอหัวคะแนน นักการเมืองในพื้นที่ ผู้ใหญ่ภายในพรรค
หัวคะแนนก็คนนำความจริงในพื้นที่มาบอกเรา ดีเสียอีก เมื่อก่อนเราเป็นตำรวจคนอาจจะไม่กล้าเขา พอมาเป็นนักการเมือง เขาอาจจะยิ่งแอยากเข้ามาบอกปัญหา ให้แก้ปัญหาครบมิติมากขึ้นไปอีก มีแต่ดีกับดี ถ้าผมเป็นรอง ผบ.ตร.รอเป็น ผบ.ตร. ผมก็แค่นั่งอยู่ในห้องแอร์ หรือไปประชุม มันไม่มีประโยชน์อะไร แต่พอมาเป็นนักการเมืองเราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับปัญหาของประชาชนมากกว่าเยอะ ตำรวจพอคนเห็นแต่งเครื่องแบบ คนก็ไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว แต่พอเราเป็นประชาชนเต็มขั้น เขาก็แฮปปี้กว่าในการเข้ามาคุย
เหลืออีก 40 กว่าวันในการหาเสียง จะแสดงอะไรในการหาเสียงมากกว่าที่ทำไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่มี ที่ผมมาก็ไม่ใช่การแสดง ผมแค่ทำตามรูปแบบที่ผมเคยทำ ไม่ต้องแสดงอะไร
--------------------------------------------------------------------------------
“ไร้รอยต่อ” ของจริง
ในขณะที่สโลแกนหลักในการหาเสียงของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ที่ก็คือ “ไร้รอยต่อ” โดยอ้างถึงการที่รัฐบาลกับ กทม.มีผู้บริหารมาจากพรรคเดียวกัน จะทำให้ทำงานประสานกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน ชนิด “ไร้รอยต่อ”
วิธีการลงพื้นที่หาเสียงของ “ผู้สมัครหมายเลข 9” รายนี้ ก็ “ไร้รอยต่อ” เช่นกัน แต่เป็นในอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือมีการติดต่อประสานงานกันน้อยมาก
เนื่องจาก พท.จะมีทีมงานอีกชุดหนึ่ง แต่ตัว พล.ต.อ.พงศพัศก็จะมีทีมงานของตัวเอง โดยพรรคจะกำหนดจุดหาเสียงคร่าว ๆ และให้ ส.ส. ส.ก.หรือ ส.ข.ในเขตนั้น ช่วยประสานงานจับเตรียมมวลชนมารอบต้อนรับ
แต่วิธีการเดินหาเสียง จะไปที่ไหนอย่างไร ทำอะไรบ้าง กลับปล่อยให้ขึ้นอยู่กับตัว “พล.ต.อ.พงศพัศ” แทบจะล้วนๆ
หลายครั้งที่กำหนดจุดหาเสียงไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องเลี่อน ยกเลิก หรือเปลี่ยนจุด
ด้านหนึ่งเป็นเรื่องการตระเตรียมของ พท.ที่ยังมีข้อบกพร่อง แต่อีกด้านก็มาจากการตัดสินใจของตัวผู้สมัคร ที่ยังมีปัญหาเรื่องการประสานงานกับต้นสังกัด
อย่างการหาเสียงในวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.อ.พงศพัศมีกำหนดการตะลุยหาเสียงย่านฝั่งธนบุรี ไว้ 6 จุด
แต่ถึงเวลาหาเสียงจริงๆ กลับเหลือเพียง 3 จุด กระทั่งบางจุดที่ชาวบ้านมายืนรอแต่เช้า ทยอยเดินทางกลับ เพราะตัวผู้สมัครมาช้ากว่าเวลานัดถึงชั่วโมงเศษ
หรือในช่วงเวลาเที่ยงซึ่ง พท.กำหนดให้ไปรับประทานอาหารที่จุดหนึ่ง เจ้าตัวกลับขอ ว.5 ไปรับประทานอีกจุด ทำเอาเจ้าหน้าที่ พท.ต้องสั่งให้รถยนต์ไล่ตามรถยนต์อีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว ของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ไปจนถึงที่หมาย
นี่เป็นตัวอย่างการประสานงานแบบ “ไร้รอยต่อ” เล็กๆ ที่ปรากฏในทีมหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ไม่แน่ว่าอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
credit: http://www.isranews.org/เวทีทัศน์/item/19010-bkk-2013-1-25-pongsapas.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++ผู้สัมภาษณ์ คล้ายคลึงกับ BBC +++
++คำตอบที่ออกมา ก็เหมือนกับรู้ๆกันอยู่ +++
++++ความโดดเด่นในเชิงพัฒนา นำกรุงเทพฯมหานคร ถือว่า ยังด้อยอยู่มาก +++
++ผมว่า ณ เวลานี้ คนเสื้อแดง บางคน อาจต้องยอมรับว่า เขาไม่มีอะไรที่โดดเด่น ในด้านศักยภาพ หรือการพัฒนาเลยก็ได้++++