เมื่อต้นปีที่ผ่านมา iT_messenger ได้ฤกษ์ซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่เข้าบ้านแทนอ้วนดำเครื่องเก่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาสิบกว่าปี แต่เมื่อทีวีเครื่องใหม่มาส่งถึงที่บ้านเรียบร้อย ไอทีก็พบว่าช่องฟรีทีวีไม่ชัดเอาเสียเลย (ซึ่งช่างบอกว่าเป็นเพราะทีวีรุ่นใหม่มีความละเอียดในการรับภาพมากกว่ารุ่นเก่า) จึงทำให้ต้องเริ่มศึกษาหาจานดาวเทียมมาติดเพื่อจะให้ทีวีชัดสมกับที่เพิ่งถอยมาใหม่ แต่แล้วเมื่อค้นไปเรื่อยๆ ไอทีก็พบว่า ทำไมมันถึงมีกล่องสัญญาณหลายเจ้า จานหลายสีเหลือเกิน แล้วอันไหนจะดีที่สุดล่ะ? ซึ่งระหว่างที่กำลังงงวยเลือกไม่ถูกนั้น วันพฤหัสที่ผ่านมา ( 18 ม.ค)  เราก็ช่างโชคดีที่ได้รับเชิญไปงานเปิดตัว  MeTV ของ TOT พร้อมกับได้รับกล่อง Set-top Box ตัวจิ๋วมาทดลองใช้งานด้วย ซึ่งรีวิวต่อจากนี้ไปก็คือเรื่องราวของ Set-top Box เท่าที่เราได้ทดลองใช้

ก่อนอื่นเลย สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นหูกับคำว่า Set-top Box และกำลังเริ่มต้นไม่ถูก ไอทีขออธิบายง่ายๆ ว่า มันก็คือ กล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ประเภทหนึ่งที่คล้ายกับพวกกล่องทรู, กล่อง PSI หรือกล่อง GMM ที่มีขายอยู่ทั่วไป แต่ข้อแตกต่างหลักๆ ของ Set-top Box ตัวนี้ กับกล่องสัญญาณที่เกริ่นมาข้างต้นนั้น ก็คือกล่อง Set-top Box ที่เราได้มานั้น จะเป็นวิธีการรับชมรายการโทรทัศน์ จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือที่เรียกกัน IPTV ในขณะที่พวกกล่องสัญญาณทั้งหลายนั้นจะต้องอาศัยการรับชมการดาวเทียมที่ติดตั้งอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นจานเล็กหรือใหญ่

และหลังจากที่ทำความรู้จักกันไปคร่าวๆ แล้วว่า Set-top Box ที่ว่านี้ คืออะไรกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะมาแกะกล่อง Set-top Box ที่ได้รับมาจาก TOT กัน โดยชื่อทางการตลาด ก็คือ MeTV ซึ่งเกิดจากกร่วมมือกันของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของทีโอที โดยทีโอที กับ บริษัท มี เทเลวิชั่น จำกัด

สำหรับ ตัวแพ็คเกจกล่อง มีขนาดใหญ่พอประมาณ ตัวกล่องสีขาว มาพร้อมกับสโลแกน More Than Just TV เช่นเดียวกับตัวเครื่อง Set-top Box กล่องจิ๋วที่แลดูน่าใช้ด้วยตัวเครื่องสีขาวเช่นเดียวกัน

อุปกรณ์ภายในกล่องหลักๆ ก็จะมีตัวเครื่อง คู่มือทั้งไทยและอังกฤษ และรีโมท

ส่วนบรรดาอุปกรณ์พ่วงต่อต่างๆ ทาง TOT ก็จัดเต็มมาให้ในกล่อง ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์, ถ่านรีโมท, สาย AV และ HDMI , สาย LAN สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งการที่มีมาทั้ง สาย AV และ HDMI ก็แปลว่า มันจะสามารถใช้ได้ทั้งทีวีรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

และด้วยขนาดตัวเครื่องที่เล็กเพียงแค่ฝ่ามือ ดังนั้นการจัดวางตำแหน่งพอร์ทต่างๆ จึงต้องจัดวางให้ลงตัว โดยด้านหน้าของตัวกล่องจะเป็นตำแหน่งของ ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องและรับสัญญาณอินฟราเรดจากรีโมทคอนโทรล ถัดไปจุดเล็กๆ สองจุดจะเป็นไฟแสดงสถานะสํญญาณอินเทอร์เน็ตและพาวเวอร์ ขณะที่ด้านล่างจะเป็นช่องสำหรับเสียบ SD /SDHC/ MS/ MMC ส่วนพอร์ท USB ทั้งสองช่องเป็นแบบ 2.0 สามารถที่จะเสียบเพื่อต่อคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ เพื่อแปลงร่างทีวีให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ได้

ส่วนตัวรีโมทคอนโทรล การจัดวางปุ่มต่างๆ ก็เข้าใจง่ายดี มีตัวอักษรกำกับ การใช้งานก็เหมือนกับรีโมททีวีทั่วไป เลื่อนขึ้น ลง ซ้าย ขวา เพิ่มเสียง ลดเสียง

ส่วนด้านหลังของ กล่อง MeTV จะเป็นพอร์ทเชื่อมต่อทั้งหมด 5 ช่อง อันได้แก่ อะแดปเตอร์, AV, HDMI, ช่องต่อสาย LAN และ SPDIF ซึ่งเป็นช่องต่อระบบเสียงดิจิตอล

และนอกจากจะเชื่อมต่อผ่านสาย LAN ได้แล้ว มันยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจาก Wi-Fi ได้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ต่อจาก Wi-Fi อาจจะไม่เสถียรเท่ากับ LAN

การใช้งาน

การติดตั้งตั้ง ก็ทำได้ไม่ยุ่งยาก สามารถทำตามคู่มือที่แนบมาได้ด้วยเลย หรือ เพียงแค่นำสาย HDMI หรือ AV เชื่อมต่อเข้ากับกล่อง MeTV และทีวีในขั้นตอนแรก จากนั้นให้กลับมาที่โทรทัศน์เพื่อทำการเลือกช่องสัญญาณที่เชื่อมต่ออยู่ เพียงเท่านั้น กล่อง MeTV ก็จะทำบูทข้อมูลต่างๆ รวมถึงชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่าน จากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าโฮมอินเทอร์เฟสที่คุ้นเคยกับชาวสมาร์ทโฟน เพราะมันรันด้วย Android นั่นเอง

ซึ่งเมื่อเข้าสู่หน้าโฮมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากอยากจะใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยการเชื่อมต่อ Wi-Fi แทน LAN ก็สามารถตั้งค่าได้ โดยเข้าไปที่ Setting> Wi-Fi แต่อาจจะลำบากเสียหน่อยสำหรับการป้อนรหัสผ่าน ถ้าใช้รีโมทครอลโทรลป้อนข้อมูล แนะนำว่าต้องหาคีย์บอร์ดมาช่วยใช้งานด้วยจะสบายขึ้นอีกนิด

เอาล่ะ หลังจากเซตค่าเรียบร้อย เรามาเริ่มต้นดูรายการทีวีต่างๆ กัน โดยเราสามารถเริ่มต้นการดูทีวีได้โดยเลือกที่ปุ่ม ดูทีวี ซึ่งเมื่อเข้าจิ้มเข้าไปแล้ว ก็จะพบกับหน้าแสดงรายการทีวีต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งช่อง ฟรีทีวี หนัง เพลง การ์ตูนเหมือนรายการที่ฉายทางเคเบิ้ล แต่อย่างไรก็ดี ถ้าความเร็วอินเทอร์เน็ตมีปัญหา มันก็ทำให้การโหลดภาพต้องใช้เวลารวมถึงเจอช่วงบัฟเฟอร์ได้เหมือนกัน และนอกจากจะรับดูรายการโปรดได้แล้ว ยังสามารถเรียกดูรายการย้อนหลังได้อีกด้วย

โดยรวมแล้ว คุณภาพที่ได้ก็ถือว่าชัดเจนดี และหลักๆ ก็ต้องใช้กับความเร็วอินเทอร์เน็ตขั้นต่ำที่สักประมาณ 5-6 เมกะไบต์ขึ้นไป ซึ่งถ้าต่ำกว่านี้ก็คงต้องอัพสปีดเพิ่ม เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้าเน็ตช้ามันก็ใช้เวลาโหลดและอาจจะเกิดอาการกระตุกได้ ทำให้เสียอรรถรส

เราสามารถที่จะทำการ Scroll แถบแสดงเวลาเล่นได้ด้วย เหมือนกับการดูคลิปบนยูทูป ถ้าไม่อยากดูนาทีแรก เราก็กระโดดข้ามไปที่นาทีที่ห้าเลยก็ได้ โดยใช้รีโมทเป็นตัวเลื่อน

หรือ ถ้าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่นอินเทอร์เน็ต บนหน้าจอขนาดยักษ์ ก็ทำได้

และนอกจากการเล่นอินเทอร์เน็ตแล้ว ด้วยการที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม แอนดรอยด์ มันก็ต้องสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ แต่อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะโหลดแอพพลิเคชั่นได้ทุกตัวที่มีอยู่ใน Play Store บางตัวก็ไม่สนับสนุนเหมือนกัน แต่จากเท่าที่ลองโหลดแอพฯ เฟซบุ๊คมา ก็สามารถโหลดได้ ติดตั้งได้ ล๊อกอินใช้งานได้ไม่มีปัญหา

ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ เราขอไม่พูดถึง และการใช้งานก็ไม่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนมากนัก ซึ่งท้ายนี้ เราก็หวังว่า รีวิวนี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังสนใจหรืออยากทดลองใช้  IPTV และก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรับชมรายการต่างๆ ผ่านโทรทัศน์จริงๆ ไม่ใช่หน้าจอคอมพิวเตอร์  



ขอบคุณ TOT สำหรับอุปกรณ์ทดสอบ