พงษ์ศักดิ์ขึ้นราคาLPG เม.ย.อีกแล้ว
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงนโยบายการปรับราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ไปดำเนินการแจกเอกสารจำนวน 2 ล้านฉบับให้แก่ประชาชนทั่วประเทศแล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจถึงการปรับราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือนและขนส่ง ที่คาดว่าจะดำเนินอย่างเร็วสุดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ หลังจากได้ข้อมูลตัวเลขในการช่วยเหลือกลุ่มหาบเร่ แผงลอย ที่แท้จริงจากประมาณการไว้ 5 แสนราย
"เอกสารดังกล่าวได้ชี้แจงว่า ในปีนี้กระทรวงพลังงานจะดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มของภาคครัวเรือนในระดับ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม จาก 18.13บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับเพิ่มขึ้น 6.69บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ครัวเรือนที่ใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 กิโลกรัม มีภาระเพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกิน 100 บาทต่อถัง ซึ่งหากดำเนินการได้ทันในเดือนเมษายนนี้ ราคาก๊าซหุงต้มจะทยอยปรับขึ้นไปกิโลกรัมละ 75 สตางค์ เมื่อนำมาเฉลี่ยทั้งปีแล้วเท่ากับว่าประชาชนจะมีภาระเพิ่มขึ้นเพียง 20 บาทต่อเดือน"
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของกระทรวงพลังงานพบว่า ปัจจุบันครัวเรือนมีการใช้ก๊าซหุงต้มเฉลี่ยอยู่ประมาณ 5ถังต่อปี หรือประมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ดังนั้น เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น 300 บาทต่อวันหรือเดือนละ 9 พันบาท ค่าใช้จ่ายจากราคาก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้นมีสัดส่วนเพียง 0.22 % ของรายได้ต่อเดือนเท่านั้น
ด้านข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ยังระบุว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายข้าวแกง ที่ใช้ก๊าซถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งทำอาหารได้ 300 จาน มีต้นทุนค่าก๊าซเพิ่มขึ้นไม่ถึง 35 สตางค์ต่อจาน แต่การปรับขึ้นราคาครั้งนี้ ทางรัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีประมาณ 8.4 ล้านครัวเรือน ที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน และผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือเกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจากที่มีอยู่ประมาณ 20ล้านครัวเรือน จะยังคงใช้ก๊าซหุงต้มในราคาเดิมอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างทำการสำรวจ ตัวเลขที่แท้จริง และจะต้องแบ่งกลุ่มปริมาณการใช้ แต่จะอุดหนุนไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน จะยังคงใช้ก๊าซหุงต้มในราคาเดิมอยู่ ซึ่งหากภายในเดือนมีนาคมการสำรวจยังไม่ครอบคลุม อาจจะมาเพิ่มเติมภายหลัง จากที่ประกาศปรับราคาในเดือนเมษายนไปแล้ว
นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนปีนี้เช่นกัน กระทรวงพลังงานจะทยอยปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งขึ้นไปในระดับ 24.82บาทต่อกิโลกรัมด้วย หรือเพิ่มขึ้น 3.44 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม หรือคำนวณเป็นลิตรปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1.86 บาทต่อลิตร เป็น 13.42 บาทต่อลิตร จากเดิม 11.56 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำ เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจี เมื่อเทียบกับค่าพลังงานความร้อนที่ได้จากฐานที่เท่ากัน มีความสิ้นเปลืองต่อระยะทางเท่ากับ 1.33 บาทต่อกิโลเมตร ยังถูกกว่าเชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันเบนซิน 95 ที่มีความสิ้นเปลืองต่อระยะทางเท่ากับ 4.64 บาทต่อกิโลเมตร แก๊สโซฮอล์ 91 เท่ากับ 4.12 บาทต่อกิโลเมตร เป็นต้น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ภาคประชาชนมีข้อสงสัยก๊าซแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ก๊าซในราคาถูกกว่าภาคครัวเรือน 16.20 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ข้อเท็จจริงพบว่า ต้นทุนที่ปิโตรเคมีซื้อก๊าซหุงต้มมาในราคา 22.30 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรา 1 บาทต่อกิโลกรัมและภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.63 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยูที่ 24.93 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ภาคครัวเรือนมีต้นทุนก๊าซอยู่ที่ 10.26 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมภาษีต่างๆ และเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาขายปลีกจะขึ้นไปอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น อุตสาหกรรมเซรามิก อุตสาหกรรมอบลำไย และอุตสาหกรรมรายย่อย ซึ่งใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงหลักในราคา 30.13บาทต่อกิโลกรม ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้เข้าไปสนับสนุนในการปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และประหยัดการใช้เชื้อเพลิงประมาณ 20-30 % หรือทำให้ลดต้นทุนค่าก๊าซแอลพีจีลงได้เหลือประมาณ 21 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
นายนที ทับมณี รองผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า ขณะนี้ สนพ. อยู่ระหว่างจะจัดทำแผนการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี โดยเฉพาะภาคครัวเรือน เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าต้นสัปดาห์หน้า ก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ต่อไป
"ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ทยอยแจกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาต้นทุนก๊าซแอลพีจี ซึ่งเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ส่วนจะปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีได้ในเดือนเมษายนนี้หรือไม่ ต้องรอการตัดสินใจจากที่ประชุม กพช. ก่อน เพราะในการประชุมครั้งนี้ จะเสนอขอเลื่อนตรึงราคาแอลพีจีที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัมออกไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2555 ส่วนผลกระทบจากการปรับราคา กระทรวงพลังงานเตรียมแนวทางช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้น้อยแล้ว"
ด้านนายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนอีกประมาณ 100 บาทต่อถัง ภายในสิ้นปี 2556 เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มภาระของประชาชน แต่เห็นว่าหากเป็นการทยอยปรับขึ้นที่ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก ขณะเดียวกันราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนควรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องแบกรับภาระดังกล่าวจำนวนมากเดือนละ 3-4พันล้านบาท ขณะเดียวจะเห็นว่าเกิดการลักลอบใช้ข้ามประเภทเพิ่มขึ้น เพราะราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนมีราคาถูกกว่าภาคอุตสาหกรรมประมาณ 12 บาทต่อกิโลกรัม และถูกกว่าภาคขนส่ง 3.25 บาทต่อกิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีดังกล่าว แม้ว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งร้านค้าหาบเร่แผงลอย จำนวน 9ล้านครัวเรือน ซึ่งมองว่ายังไม่ตรงจุดและไม่เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรมีการประสานกับร้านจำหน่ายก๊าซแอลพีจี เพื่อสำรวจว่าประชาชนต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ เพราะไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 90 หน่วย จะเป็นผู้มีรายได้มาก
สำหรับการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งจากปัจจุบัน 11.56บาทต่อลิตร เป็น 13.42 บาทต่อลิตร เป็นตัวเลขที่ไม่มาก และเชื่อว่าผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีในรถยนต์ก็คงไม่เดือดร้อน เพราะเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันแล้วยังถูกกว่ามาก ขณะเดียวกันก็จะเกิดความเป็นธรรมกับกลุ่มผู้ใช้น้ำมันที่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่ออุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีด้วย
พงษ์ศักดิ์ขึ้นราคาLPG เม.ย.อีกแล้ว
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงนโยบายการปรับราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ไปดำเนินการแจกเอกสารจำนวน 2 ล้านฉบับให้แก่ประชาชนทั่วประเทศแล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจถึงการปรับราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือนและขนส่ง ที่คาดว่าจะดำเนินอย่างเร็วสุดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ หลังจากได้ข้อมูลตัวเลขในการช่วยเหลือกลุ่มหาบเร่ แผงลอย ที่แท้จริงจากประมาณการไว้ 5 แสนราย
"เอกสารดังกล่าวได้ชี้แจงว่า ในปีนี้กระทรวงพลังงานจะดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มของภาคครัวเรือนในระดับ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม จาก 18.13บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับเพิ่มขึ้น 6.69บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ครัวเรือนที่ใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 กิโลกรัม มีภาระเพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกิน 100 บาทต่อถัง ซึ่งหากดำเนินการได้ทันในเดือนเมษายนนี้ ราคาก๊าซหุงต้มจะทยอยปรับขึ้นไปกิโลกรัมละ 75 สตางค์ เมื่อนำมาเฉลี่ยทั้งปีแล้วเท่ากับว่าประชาชนจะมีภาระเพิ่มขึ้นเพียง 20 บาทต่อเดือน"
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของกระทรวงพลังงานพบว่า ปัจจุบันครัวเรือนมีการใช้ก๊าซหุงต้มเฉลี่ยอยู่ประมาณ 5ถังต่อปี หรือประมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ดังนั้น เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น 300 บาทต่อวันหรือเดือนละ 9 พันบาท ค่าใช้จ่ายจากราคาก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้นมีสัดส่วนเพียง 0.22 % ของรายได้ต่อเดือนเท่านั้น
ด้านข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ยังระบุว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายข้าวแกง ที่ใช้ก๊าซถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งทำอาหารได้ 300 จาน มีต้นทุนค่าก๊าซเพิ่มขึ้นไม่ถึง 35 สตางค์ต่อจาน แต่การปรับขึ้นราคาครั้งนี้ ทางรัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีประมาณ 8.4 ล้านครัวเรือน ที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน และผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือเกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจากที่มีอยู่ประมาณ 20ล้านครัวเรือน จะยังคงใช้ก๊าซหุงต้มในราคาเดิมอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างทำการสำรวจ ตัวเลขที่แท้จริง และจะต้องแบ่งกลุ่มปริมาณการใช้ แต่จะอุดหนุนไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน จะยังคงใช้ก๊าซหุงต้มในราคาเดิมอยู่ ซึ่งหากภายในเดือนมีนาคมการสำรวจยังไม่ครอบคลุม อาจจะมาเพิ่มเติมภายหลัง จากที่ประกาศปรับราคาในเดือนเมษายนไปแล้ว
นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนปีนี้เช่นกัน กระทรวงพลังงานจะทยอยปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งขึ้นไปในระดับ 24.82บาทต่อกิโลกรัมด้วย หรือเพิ่มขึ้น 3.44 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม หรือคำนวณเป็นลิตรปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1.86 บาทต่อลิตร เป็น 13.42 บาทต่อลิตร จากเดิม 11.56 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำ เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจี เมื่อเทียบกับค่าพลังงานความร้อนที่ได้จากฐานที่เท่ากัน มีความสิ้นเปลืองต่อระยะทางเท่ากับ 1.33 บาทต่อกิโลเมตร ยังถูกกว่าเชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันเบนซิน 95 ที่มีความสิ้นเปลืองต่อระยะทางเท่ากับ 4.64 บาทต่อกิโลเมตร แก๊สโซฮอล์ 91 เท่ากับ 4.12 บาทต่อกิโลเมตร เป็นต้น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ภาคประชาชนมีข้อสงสัยก๊าซแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ก๊าซในราคาถูกกว่าภาคครัวเรือน 16.20 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ข้อเท็จจริงพบว่า ต้นทุนที่ปิโตรเคมีซื้อก๊าซหุงต้มมาในราคา 22.30 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรา 1 บาทต่อกิโลกรัมและภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.63 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยูที่ 24.93 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ภาคครัวเรือนมีต้นทุนก๊าซอยู่ที่ 10.26 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมภาษีต่างๆ และเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาขายปลีกจะขึ้นไปอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น อุตสาหกรรมเซรามิก อุตสาหกรรมอบลำไย และอุตสาหกรรมรายย่อย ซึ่งใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงหลักในราคา 30.13บาทต่อกิโลกรม ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้เข้าไปสนับสนุนในการปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และประหยัดการใช้เชื้อเพลิงประมาณ 20-30 % หรือทำให้ลดต้นทุนค่าก๊าซแอลพีจีลงได้เหลือประมาณ 21 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
นายนที ทับมณี รองผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า ขณะนี้ สนพ. อยู่ระหว่างจะจัดทำแผนการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี โดยเฉพาะภาคครัวเรือน เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าต้นสัปดาห์หน้า ก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ต่อไป
"ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ทยอยแจกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาต้นทุนก๊าซแอลพีจี ซึ่งเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ส่วนจะปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีได้ในเดือนเมษายนนี้หรือไม่ ต้องรอการตัดสินใจจากที่ประชุม กพช. ก่อน เพราะในการประชุมครั้งนี้ จะเสนอขอเลื่อนตรึงราคาแอลพีจีที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัมออกไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2555 ส่วนผลกระทบจากการปรับราคา กระทรวงพลังงานเตรียมแนวทางช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้น้อยแล้ว"
ด้านนายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนอีกประมาณ 100 บาทต่อถัง ภายในสิ้นปี 2556 เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มภาระของประชาชน แต่เห็นว่าหากเป็นการทยอยปรับขึ้นที่ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก ขณะเดียวกันราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนควรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องแบกรับภาระดังกล่าวจำนวนมากเดือนละ 3-4พันล้านบาท ขณะเดียวจะเห็นว่าเกิดการลักลอบใช้ข้ามประเภทเพิ่มขึ้น เพราะราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนมีราคาถูกกว่าภาคอุตสาหกรรมประมาณ 12 บาทต่อกิโลกรัม และถูกกว่าภาคขนส่ง 3.25 บาทต่อกิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีดังกล่าว แม้ว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งร้านค้าหาบเร่แผงลอย จำนวน 9ล้านครัวเรือน ซึ่งมองว่ายังไม่ตรงจุดและไม่เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรมีการประสานกับร้านจำหน่ายก๊าซแอลพีจี เพื่อสำรวจว่าประชาชนต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ เพราะไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 90 หน่วย จะเป็นผู้มีรายได้มาก
สำหรับการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งจากปัจจุบัน 11.56บาทต่อลิตร เป็น 13.42 บาทต่อลิตร เป็นตัวเลขที่ไม่มาก และเชื่อว่าผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีในรถยนต์ก็คงไม่เดือดร้อน เพราะเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันแล้วยังถูกกว่ามาก ขณะเดียวกันก็จะเกิดความเป็นธรรมกับกลุ่มผู้ใช้น้ำมันที่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่ออุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีด้วย