คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยังไม่ทันตั้งโต๊ะรับสมัครและแจกหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร กลับปรากฏว่า ผู้เสนอตัวจำนวนหลายท่าน เดินหน้าตั้งป้ายหาเสียงและลงพื้นที่หาเสียง เพื่อไขว่คว้าเก้าอี้ “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” กันแล้ว
ปีนี้ ทั้งน่าสนุกและน่าขมขื่น
น่าสนุกตรงที่ “ผู้เสนอตัว” แต่ละคนมี “บาดแผล” ที่สูสีกัน ไม่ว่าคนเก่าหรือคนใหม่ นั่นทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งขมขื่นไปด้วยในที เพราะอยากเห็นตัวเลือกที่ดี มากกว่าต้องเลือก “คนที่เลวน้อยที่สุด”
1.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แม้จะเป็นผู้ว่า กทม.มาหนึ่งสมัย มีประสบการณ์มากกว่าผู้เสนอตัวรายใดๆ แต่ในยามที่เป็นผู้ว่าฯ ผู้คนไม่ค่อยได้เห็นหน้าท่าน เวลาเห็นท่านก็มักจะหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กระนั้นก็ตาม สี่ปีมีหน ท่านแสดงศักยภาพของการเป็น“พ่อเมือง”ในยามวิกฤตคือ สู้กับปัญหา “น้ำท่วม” ได้อย่างเฉียบขาด ทุ่มเท และกล้านำ ออกปกป้องพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเอาจริงเอาจัง ท่ามกลางการ“กลุ้มรุม”จากฝ่ายรัฐบาลพรรคตรงข้ามและลิ่วล้ออย่างเต็มที่ ท่านได้ใจตรงนี้ แต่ย่อหย่อนตรงอื่นเสียเยอะ ดีที่ท่านมีคณะรองผู้ว่าที่เอาการเอางาน เสียสละและทุ่มเท สี่ปีที่ผ่านมา การงานหลายอย่างจึงไม่เลวร้ายเลย เพียงแต่งานที่โดดเด่นจริงๆ ไม่เห็นชัดนัก เมื่อเจอกับคู่แข่งรอบนี้ ท่านจึงเกือบจะเป็น “น้องใหม่” พอๆ กับคนอื่น
2.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ไม่ปรากฏการทำงานในฐานะผู้บริหารที่มีผลงานเป็นรูปธรรมเลย แม้จะผ่านการดำรงตำแหน่งสำคัญๆมาบ้าง แต่ไม่ปรากฏภาพการทำงาน แต่ภาพของการเป็นนักพูด นักประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและทำได้ดี การท้าชิงเก้าอี้ผู้ว่า กทม. โดยการผลักดันของพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรอบนี้ จึงไม่ถึงกับเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนในพรรค ที่จำนวนหนึ่งอยากหนุน“เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มากกว่าพล.ต.อ.พงศพัศ ซึ่งไม่เคยเสียสละอะไรให้พรรคมาก่อน พูดง่ายๆว่า เป็นตาอยู่ ที่เทพมูลเมืองอุ้มสม
ดังนั้น ไม่เพียงแต่ต้องทำให้ประชาชนคนเลือกเชื่อมั่น พล.ต.อ.พงศพัศ หรือ “จูดี้” ยังต้องทำให้คนในพรรคเชื่อมั่นด้วย งานนี้จึงหินสำหรับพงศพัศมีใช่น้อย
ยังไม่รวมมลทินที่เขาพยายามจะสลัดให้หลุด เรื่อง“ขโมยวิทยุ”ขณะศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ก็ต้องรอให้ กกต. สอบสวนและชี้ออกมา น้ำหนักที่พงศพัศชี้แจงว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว คณะกรรมการสอบฝ่ายไทยโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุติเรื่องนี้ ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้แปลว่า ผู้คนจะปลงใจเชื่อและลืมมันโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็เจอ“คราบเปื้อน”ในทำนองนี้ จากกรณีสนามฟุตซอล และการว่าจ้างเอกชนบริหารส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองเรื่อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็เหมือนกับพงศพัศ ตรงที่“แน่ใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง” และถูกใช้เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่องมือ “ลดทอนความน่าเชื่อถือ” ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องง่ายๆที่อธิบายและทำความจริงให้กระจ่างต่อสังคมได้เหล่านี้ ทั้งสองท่านจะทำความเข้าใจกับสังคมได้ทัน เพื่อไม่ให้มีผลต่อการ“ไม่กล้าเลือก” ของคนกรุงเทพฯ
พล.ต.อ.พงศพัศยังติดค้างการอธิบายเรื่องพฤติกรรมที่ปรากฏในสำนวนคำให้การของ นางสาวเกวลิน กังวานธนวัต ผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ ในคดี “บิ๊กขี้หลี” ว่าการเข้าไปเจรจา ชักชวน และถึงกับถูกเนื้อน้องตัว ดึงแขนกันเลยนั้น แปลว่าอะไร ทำไปทำไม ดีหรือไม่ที่สุภาพบุรุษทำอย่างนั้น และสาวๆ ที่อาจต้องร่วมงานกับท่าน จะต้องวางเนื้อวางตัวอย่างไร ซึ่งก็หวังว่า คงจะได้ยินคำอธิบายเร็วๆนี้ ซึ่งดีกว่าไปโหนรถขยะ เพราะหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯนั้น ไม่ต้องลงไปจัดเก็บขยะ เขามีพนักงานจัดเก็บอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ “คิดระบบ” การจัดเก็บ การลด และการกำจัดขยะครับ ฉะนั้น เวลาหาเสียง จงแสดงบทบาทว่า เมื่อเป็นผู้ว่า กทม. ท่านจะบริหารจัดการอย่างไร อย่าไปแย่งงานพนักงานระดับล่างเขาทำ เพราะอย่างไร มันก็ไม่ใช่ความจริง
3.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ดูจะมีคนสนใจไม่น้อยและเมื่อท่านมาในนาม“ผู้สมัครอิสระ” ก็ช่วยให้ท่าน“นำเสนอตัวเอง” ว่าไม่มีฝักมีฝ่ายได้ แต่ประชาชนเขาจะเชื่อหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าหากเข้าไปในโลกอินเตอร์เนต มีการเผยแพร่เหตุการณ์ในอดีต ที่สะท้อนทัศนคติของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่ค่อยสวยงามนัก เช่น การพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องที่ตำรวจต้องคอยรับเสด็จ จนไม่มีเวลาไปทำหน้าที่จับผู้ร้ายหรืองานอื่นๆ หรือเรื่องที่มีหนังสือขอความร่วมมืองดจัดงานรื่นเริงในครั้งมีงานพระเมรุ ซึ่งขณะนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจะมีกีฬาภายใน แล้วท่านลงลายมือในหนังสือเวียนนั้นว่า“ควายหรือเปล่า” มันเป็นข้อมูลที่ “ตัดคะแนน” ท่าน และสวนทางกับแนวหาเสียงของท่านที่ย้ำเรื่องการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา รูปในเฟซบุ๊ค ที่ได้เข้าเฝ้าฯ เหล่านี้เป็นต้น
ที่กล่าวมานี้ มิได้ปรักปรำว่าท่านเป็นเช่นนั้นจริง หากแต่ชี้เป็นเบาะแสว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เนต ซึ่งมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะปฏิเสธหรือยืนยันข้อมูลเหล่านั้นว่าจริงหรือเท็จได้ดีที่สุด และอยากให้ท่านยืนยันกรณีที่ข้อมูลเหล่านั้นไม่เป็นความจริง เพื่อที่ข้อครหา (อันอาจจะเลื่อนลอยแต่เป็นผลเสียกับท่าน)จะได้หมดไป และทำให้การตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกคนประชาชน ปลอดโปร่งมากขึ้น
4.) สุหฤท สยามวาลา เป็นผู้เสนอตัวที่กำลังได้รับการโจษจันว่า “แนวคิด” แต่ละอย่างของเขาน่าสนใจมาก ทว่าในสถานการณ์“ชิงบ้านชิงเมือง”ในเวลานี้ จะมีประชาชนมากหรือไม่ ที่จะกล้าหาญเลือกสุหฤท เพราะมีศรัทธาต่อแนวนโยบายของเขาจริงๆ เนื่องจากอีกด้านหนึ่ง แนวคิดประเภท“ไม่เลือกคนนี้ คนนั้นมา อยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ” มีผลกระทบโดยตรงต่อสุหฤท ผมคิดว่า ถ้าในสถานการณ์บ้านเมืองปกติ ประชาชนคนกรุงเทพฯไม่ควรทอดทิ้งผู้สมัครรายนี้ไว้ “นอกสายตา” ควรจะพิจารณาให้จงหนัก และเปรียบเทียบแนวคิดของเขากับของคนอื่นๆให้ครื้นเครง ก่อนตัดสินใจ “เลือกคน” โดยไม่ต้องตกเป็นทาสความกังวลกับ “สถานการณ์”
ทว่ายามนี้ บ้านเมืองมิได้เป็นปกติ ย่อมแปลว่า สุหฤทต้องสู้อย่างเต็มที่กับบรรยากาศแบบนี้ เพื่อชนะใจคนเลือกให้จงได้ กับจุดอ่อนอีกข้อหนึ่งคือ สุหฤทเป็นหน้าใหม่ในแวดวงการเมืองและอำนาจ ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวพันกับเรื่องทางการเมืองเลย จะบอกว่าดีก็ได้ ที่จะไม่ต้องไปยุ่งกับการเมืองยุ่งๆ แต่จะมองว่าด้อยก็ได้ เพราะขาดประสบการณ์ในสนามการเมืองจริง อยู่ที่ประชาชนแต่ละคนจะให้น้ำหนักกับแง่ไหน
5.) โฆษิต สุวินิจจิต มีชื่อพอเป็นที่รู้จักบ้างจากวงการสื่อ แต่ก็ถูกถามถึงความเป็นจริงว่าเขา “อิสระ”แค่ไหน ตั้งใจมา หรือว่าเป็น“ตัวตัดคะแนน” ซึ่งคุณโฆษิตคงได้อธิบายในโอกาสถัดไป โดยใช้คำถามนี้เป็นโอกาสในการแนะนำตัวเสียเลย
โดยรวมๆ แล้ว ยังเร็วไปที่จะชี้ชัดว่า ผู้เสนอตัวรายใดจะเข้าตาประชาชน อยู่ที่ประชาชนจะตัดสินใจ ซึ่งยังมีเวลาให้กระแสความสนใจ เชื่อใจ ของประชาชนแกว่างไกวได้อีกมาก ในเวลาที่ผู้สมัครยังเผยตัวไม่ครบ ยังประกาศนโยบายไม่ชัด และยังไม่ได้เปิดเผย“ทีมงาน” ที่จะช่วยโกยคะแนนสมทบจนครบทุกคน
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/5007
ปล.เสียดายไม่ได้เป็นคน กรุงเทพ....อดเลือกเสาไฟฟ้าเป็นผู้ว่าเลย...เอิ๊ก ๆ ๆ
ยกที่หนึ่ง เทียบฟอร์มผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.คนใหม่
ปีนี้ ทั้งน่าสนุกและน่าขมขื่น
น่าสนุกตรงที่ “ผู้เสนอตัว” แต่ละคนมี “บาดแผล” ที่สูสีกัน ไม่ว่าคนเก่าหรือคนใหม่ นั่นทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งขมขื่นไปด้วยในที เพราะอยากเห็นตัวเลือกที่ดี มากกว่าต้องเลือก “คนที่เลวน้อยที่สุด”
1.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แม้จะเป็นผู้ว่า กทม.มาหนึ่งสมัย มีประสบการณ์มากกว่าผู้เสนอตัวรายใดๆ แต่ในยามที่เป็นผู้ว่าฯ ผู้คนไม่ค่อยได้เห็นหน้าท่าน เวลาเห็นท่านก็มักจะหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กระนั้นก็ตาม สี่ปีมีหน ท่านแสดงศักยภาพของการเป็น“พ่อเมือง”ในยามวิกฤตคือ สู้กับปัญหา “น้ำท่วม” ได้อย่างเฉียบขาด ทุ่มเท และกล้านำ ออกปกป้องพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเอาจริงเอาจัง ท่ามกลางการ“กลุ้มรุม”จากฝ่ายรัฐบาลพรรคตรงข้ามและลิ่วล้ออย่างเต็มที่ ท่านได้ใจตรงนี้ แต่ย่อหย่อนตรงอื่นเสียเยอะ ดีที่ท่านมีคณะรองผู้ว่าที่เอาการเอางาน เสียสละและทุ่มเท สี่ปีที่ผ่านมา การงานหลายอย่างจึงไม่เลวร้ายเลย เพียงแต่งานที่โดดเด่นจริงๆ ไม่เห็นชัดนัก เมื่อเจอกับคู่แข่งรอบนี้ ท่านจึงเกือบจะเป็น “น้องใหม่” พอๆ กับคนอื่น
2.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ไม่ปรากฏการทำงานในฐานะผู้บริหารที่มีผลงานเป็นรูปธรรมเลย แม้จะผ่านการดำรงตำแหน่งสำคัญๆมาบ้าง แต่ไม่ปรากฏภาพการทำงาน แต่ภาพของการเป็นนักพูด นักประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและทำได้ดี การท้าชิงเก้าอี้ผู้ว่า กทม. โดยการผลักดันของพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรอบนี้ จึงไม่ถึงกับเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนในพรรค ที่จำนวนหนึ่งอยากหนุน“เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มากกว่าพล.ต.อ.พงศพัศ ซึ่งไม่เคยเสียสละอะไรให้พรรคมาก่อน พูดง่ายๆว่า เป็นตาอยู่ ที่เทพมูลเมืองอุ้มสม
ดังนั้น ไม่เพียงแต่ต้องทำให้ประชาชนคนเลือกเชื่อมั่น พล.ต.อ.พงศพัศ หรือ “จูดี้” ยังต้องทำให้คนในพรรคเชื่อมั่นด้วย งานนี้จึงหินสำหรับพงศพัศมีใช่น้อย
ยังไม่รวมมลทินที่เขาพยายามจะสลัดให้หลุด เรื่อง“ขโมยวิทยุ”ขณะศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ก็ต้องรอให้ กกต. สอบสวนและชี้ออกมา น้ำหนักที่พงศพัศชี้แจงว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว คณะกรรมการสอบฝ่ายไทยโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุติเรื่องนี้ ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้แปลว่า ผู้คนจะปลงใจเชื่อและลืมมันโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็เจอ“คราบเปื้อน”ในทำนองนี้ จากกรณีสนามฟุตซอล และการว่าจ้างเอกชนบริหารส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองเรื่อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็เหมือนกับพงศพัศ ตรงที่“แน่ใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง” และถูกใช้เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่องมือ “ลดทอนความน่าเชื่อถือ” ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องง่ายๆที่อธิบายและทำความจริงให้กระจ่างต่อสังคมได้เหล่านี้ ทั้งสองท่านจะทำความเข้าใจกับสังคมได้ทัน เพื่อไม่ให้มีผลต่อการ“ไม่กล้าเลือก” ของคนกรุงเทพฯ
พล.ต.อ.พงศพัศยังติดค้างการอธิบายเรื่องพฤติกรรมที่ปรากฏในสำนวนคำให้การของ นางสาวเกวลิน กังวานธนวัต ผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ ในคดี “บิ๊กขี้หลี” ว่าการเข้าไปเจรจา ชักชวน และถึงกับถูกเนื้อน้องตัว ดึงแขนกันเลยนั้น แปลว่าอะไร ทำไปทำไม ดีหรือไม่ที่สุภาพบุรุษทำอย่างนั้น และสาวๆ ที่อาจต้องร่วมงานกับท่าน จะต้องวางเนื้อวางตัวอย่างไร ซึ่งก็หวังว่า คงจะได้ยินคำอธิบายเร็วๆนี้ ซึ่งดีกว่าไปโหนรถขยะ เพราะหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯนั้น ไม่ต้องลงไปจัดเก็บขยะ เขามีพนักงานจัดเก็บอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ “คิดระบบ” การจัดเก็บ การลด และการกำจัดขยะครับ ฉะนั้น เวลาหาเสียง จงแสดงบทบาทว่า เมื่อเป็นผู้ว่า กทม. ท่านจะบริหารจัดการอย่างไร อย่าไปแย่งงานพนักงานระดับล่างเขาทำ เพราะอย่างไร มันก็ไม่ใช่ความจริง
3.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ดูจะมีคนสนใจไม่น้อยและเมื่อท่านมาในนาม“ผู้สมัครอิสระ” ก็ช่วยให้ท่าน“นำเสนอตัวเอง” ว่าไม่มีฝักมีฝ่ายได้ แต่ประชาชนเขาจะเชื่อหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าหากเข้าไปในโลกอินเตอร์เนต มีการเผยแพร่เหตุการณ์ในอดีต ที่สะท้อนทัศนคติของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่ค่อยสวยงามนัก เช่น การพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องที่ตำรวจต้องคอยรับเสด็จ จนไม่มีเวลาไปทำหน้าที่จับผู้ร้ายหรืองานอื่นๆ หรือเรื่องที่มีหนังสือขอความร่วมมืองดจัดงานรื่นเริงในครั้งมีงานพระเมรุ ซึ่งขณะนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจะมีกีฬาภายใน แล้วท่านลงลายมือในหนังสือเวียนนั้นว่า“ควายหรือเปล่า” มันเป็นข้อมูลที่ “ตัดคะแนน” ท่าน และสวนทางกับแนวหาเสียงของท่านที่ย้ำเรื่องการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา รูปในเฟซบุ๊ค ที่ได้เข้าเฝ้าฯ เหล่านี้เป็นต้น
ที่กล่าวมานี้ มิได้ปรักปรำว่าท่านเป็นเช่นนั้นจริง หากแต่ชี้เป็นเบาะแสว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เนต ซึ่งมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะปฏิเสธหรือยืนยันข้อมูลเหล่านั้นว่าจริงหรือเท็จได้ดีที่สุด และอยากให้ท่านยืนยันกรณีที่ข้อมูลเหล่านั้นไม่เป็นความจริง เพื่อที่ข้อครหา (อันอาจจะเลื่อนลอยแต่เป็นผลเสียกับท่าน)จะได้หมดไป และทำให้การตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกคนประชาชน ปลอดโปร่งมากขึ้น
4.) สุหฤท สยามวาลา เป็นผู้เสนอตัวที่กำลังได้รับการโจษจันว่า “แนวคิด” แต่ละอย่างของเขาน่าสนใจมาก ทว่าในสถานการณ์“ชิงบ้านชิงเมือง”ในเวลานี้ จะมีประชาชนมากหรือไม่ ที่จะกล้าหาญเลือกสุหฤท เพราะมีศรัทธาต่อแนวนโยบายของเขาจริงๆ เนื่องจากอีกด้านหนึ่ง แนวคิดประเภท“ไม่เลือกคนนี้ คนนั้นมา อยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ” มีผลกระทบโดยตรงต่อสุหฤท ผมคิดว่า ถ้าในสถานการณ์บ้านเมืองปกติ ประชาชนคนกรุงเทพฯไม่ควรทอดทิ้งผู้สมัครรายนี้ไว้ “นอกสายตา” ควรจะพิจารณาให้จงหนัก และเปรียบเทียบแนวคิดของเขากับของคนอื่นๆให้ครื้นเครง ก่อนตัดสินใจ “เลือกคน” โดยไม่ต้องตกเป็นทาสความกังวลกับ “สถานการณ์”
ทว่ายามนี้ บ้านเมืองมิได้เป็นปกติ ย่อมแปลว่า สุหฤทต้องสู้อย่างเต็มที่กับบรรยากาศแบบนี้ เพื่อชนะใจคนเลือกให้จงได้ กับจุดอ่อนอีกข้อหนึ่งคือ สุหฤทเป็นหน้าใหม่ในแวดวงการเมืองและอำนาจ ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวพันกับเรื่องทางการเมืองเลย จะบอกว่าดีก็ได้ ที่จะไม่ต้องไปยุ่งกับการเมืองยุ่งๆ แต่จะมองว่าด้อยก็ได้ เพราะขาดประสบการณ์ในสนามการเมืองจริง อยู่ที่ประชาชนแต่ละคนจะให้น้ำหนักกับแง่ไหน
5.) โฆษิต สุวินิจจิต มีชื่อพอเป็นที่รู้จักบ้างจากวงการสื่อ แต่ก็ถูกถามถึงความเป็นจริงว่าเขา “อิสระ”แค่ไหน ตั้งใจมา หรือว่าเป็น“ตัวตัดคะแนน” ซึ่งคุณโฆษิตคงได้อธิบายในโอกาสถัดไป โดยใช้คำถามนี้เป็นโอกาสในการแนะนำตัวเสียเลย
โดยรวมๆ แล้ว ยังเร็วไปที่จะชี้ชัดว่า ผู้เสนอตัวรายใดจะเข้าตาประชาชน อยู่ที่ประชาชนจะตัดสินใจ ซึ่งยังมีเวลาให้กระแสความสนใจ เชื่อใจ ของประชาชนแกว่างไกวได้อีกมาก ในเวลาที่ผู้สมัครยังเผยตัวไม่ครบ ยังประกาศนโยบายไม่ชัด และยังไม่ได้เปิดเผย“ทีมงาน” ที่จะช่วยโกยคะแนนสมทบจนครบทุกคน
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/5007
ปล.เสียดายไม่ได้เป็นคน กรุงเทพ....อดเลือกเสาไฟฟ้าเป็นผู้ว่าเลย...เอิ๊ก ๆ ๆ