เขม่าดำทำโลกร้อนกว่าที่คิด

ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556




เขม่า หรือคาร์บอนดำ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมัน ถ่านหิน ฟืน และเชื้อเพลิงอื่นๆ ทั้งจากเครื่องยนต์ดีเซลและเตา เป็นตัวการจากน้ำมือมนุษย์ที่ก่อความร้อนให้แก่โลกมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยเป็นตัวดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทั้งเป็นตัวเร่งให้น้ำแข็งและหิมะหลอมละลายเร็วกว่าเดิม

ผลวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ว่า คาร์บอนดำเป็นปัจจัยทำให้โลกร้อนขึ้นมากในอเมริกาเหนือ ยุโรปเหนือ และเอเชียเหนือ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อปริมาณฝนฟ้าในฤดูมรสุมเอเชียด้วย

แต่ผลการศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ในวารสารวิจัยทางธรณีฟิสิกส์และบรรยากาศ ยังพบว่า เขม่าส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าจากที่เคยประเมินกันถึงสองเท่า

เขม่าเป็นปัจจัยให้โลกร้อนขึ้นประมาณ 2 ใน 3 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสูงกว่าก๊าซมีเทน ขณะในรายงานของคณะทำงานสหประชาชาติเมื่อปี 2550 ประเมินผลกระทบของเขม่าต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกไว้เพียงครึ่งหนึ่งของที่นักวิจัยค้นพบล่าสุด

ผลวิจัยที่ร่วมศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ 31 คนของโลก บอกกับเราว่า ยังมีช่องทางที่เราจะช่วยกันลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้อีก ซึ่งก็คือการลดการปล่อยเขม่านั่นเอง

แหล่งปล่อยเขม่าใหญ่สุดของโลกคือ การเผาไหม้ของป่าไม้และทุ่งหญ้าสะวันนา ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเป็นแหล่งก่อเขม่าราว 70% ในยุโรป อเมริกาเหนือ และละตินอเมริกา ส่วนในเอเชียและแอฟริกา การเผาฟืนเพื่อใช้ในบ้านเป็นแหล่งปล่อยเขม่า 60-80% การเผาไหม้ถ่านหินก็เป็นอีกแหล่งสำคัญที่ก่อเขม่าในจีน บางส่วนของยุโรปตะวันออก และอดีตประเทศสหภาพโซเวียต

กระนั้น เขม่าอยู่ในบรรยากาศได้เพียง 7-10 วัน ซึ่งหมายความว่า ความพยายามที่จะลดปริมาณการปล่อยเขม่าน่าจะมีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว ตรงกันข้าม การจำกัดภาวะโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นเป้าหมายที่ใช้เวลานานกว่า เนื่องจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศจะยังอยู่นานหลายทศวรรษ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  วิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่