"สนธิ" ลั่นรับคำขอโทษ "ประยุทธ์" แต่จะไม่หยุดตรวจสอบ

กระทู้สนทนา
"สนธิ" เผยไม่รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย กรณีทหารตบเท้าถึงออฟฟิศ เนื่องจากตลอดชีวิตของการเป็นสื่อโดนข่มขู่มาตลอด ถูกสั่งเก็บมาแล้วก็หลายครั้ง ลั่นยอมรับคำขอโทษ "ประยุทธ์" แต่ไม่ได้แปลว่าจะหยุดทำหน้าที่หาความจริงมาให้ประชาชน พร้อมนิยามการเมืองปัจจุบันเป็น "ยุคห่าลงเมือง" นักการเมืองโกงทุกคน เชื่อถ้าสอบภาษี - ที่มาที่ไปของทรัพย์สิน ติดคุกหัวโตกันเพียบ

      วันที่ 18 ม.ค. เมื่อเวลา 20.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วงหนึ่งถึงกรณีที่ทหารตบเท้ามาที่เอเอสทีวีผู้จัดการ ว่า พอตนรู้ข่าวก็เฉยๆ คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะทั้งชีวิตตนโดนตบเท้าใส่ตลอดเวลา ประสบการณ์แรกตั้งแต่สมัยเป็นบรรณาธิการที่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ตอนนั้นเพิ่งจะหลัง 14 ตุลา ใกล้จะเกิด 6 ตุลา ตอนนั้นแก๊งที่เป็นอันธพาล คล้ายๆ กับพวกนปช.ยุคนี้ คือกระทิงแดง แปลกไอ้พวกที่เลวๆ มักจะมีอะไรแดงๆ พวกกระทิงแดงมีสมศักดิ์ ขวัญมงคล นักเรียนช่างกลเก่า เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ พวกนี้จะเป็นทีมงานของนวพล คือขบวนการฝ่ายขวาออกมาเพื่อปราบปรามขบวนการฝ่ายซ้าย มี พล.ต.สุดสาย หัสดิน เป็นเจ้าพ่อกระทิงแดง
      
       ทีนี้หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้า เลยถูกมองว่าเป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้าย เป็นหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ และถูกข่มขู่ตลอดเวลา กระทิงแดงเคยยกพลมาจะบุกโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และคนที่อยู่เบื้องหลังกระทิงแดงคือ กอ.รมน. ซึ่งเป็นทหารนั่นเอง และตอนที่กระทิงแดงบุกเข้าไปที่ธรรมศาสตร์ มีนักข่าว 3 คน คือ ตน พี่ป๋อง พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร และน้องมิสพรีแกน พวกนั้นเอาปืนไล่ยิงต้องวิ่งหลบกันแหลก มีการใช้ระเบิดขวด ระเบิดพลาสติกขว้าง
      
       ประสบการณ์ครั้งที่สองก็คือช่วงพฤษภาทมิฬ ตอนทหารยึดอำนาจ ตนกินข้าวเที่ยงอยู่ที่โรงแรมปริ้นเซส พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ตอนนั้นเป็น พล.ท.วิโรจท์ แสงสนิท คุม ปรอ.อยู่ ส่งทหารมาที่ออฟฟิศผู้จัดการเพื่อจะมาจับตน เพราะสงสัยว่าตนพา พล.ต.มนูญ รูปขจร ไปหลบซ่อนอยู่บนสำนักงาน แล้วก็เวรกรรม ตอนนั้นคนที่สนิทกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็มี นายขรรค์ชัย บุญปาน นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ นั่งกินเหล้ากันคุยกันว่าไอ้สนธิ มันกวนตีนต้องจัดการมัน พอปฏิวัติเสร็จเรียบร้อยตนก็หลบ เพราะรู้มาว่าหลังปฏิวัติเขากะเล่นลูกมั่วมาจับตน
      
       เสร็จเรียบร้อยแล้วพอเกิดพฤษภาทมิฬมีประชาชนชุมนุมกันอยู่ มติชนเงียบ เนชั่นเงียบ ทีวีทุกอันเงียบ มีผู้จัดการฉบับเดียวที่พาดหัวข่าวใหญ่ และปรากฏว่าคนที่ชุมนุมตรงราชดำเนินก็เยอะไปหมดแต่ไม่มีใครรายงานเลย เพราะถูกขู่จะปิดหนังสือพิมพ์ ตนก็เลยถามคำนูณ สิทธิสมาน รุ่งมณี เมฆสุวรรณ สุรวิชช์ วีรวรรณ ว่าจะเอาอย่างไร จะลงข่าวหรือไม่ลงข่าว คำนูณบอกว่าพี่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แล้วแต่พี่ ตนบอกเลยเป็นไงเป็นกัน เจ๊งเป็นเจ๊งก็เลยบอกสั่งให้พิมพ์หนังสือไซส์แทบลอยด์พาดหัวเลยว่า ประชาชนชุมนุมเรือนแสน อยู่ที่ราชดำเนิน สั่งพิมพ์ 25,000 เล่ม แล้วเอาไปแจกฟรีทั่วกรุงเทพฯ จากนั้นคนก็เลยเดินทางจากที่ต่างๆมาที่ราชดำเนินกันเต็มไปหมด
      
       และการตบเท้าครั้งที่ 3 ก็คือ หลังจากที่แจกหนังสือพิมพ์แล้ว ทหารประชุมกันที่กองทัพภาค 1 วางแผนจะส่งทหารมายิงตน ปรากฏว่ามีทหารคนหนึ่งชั้นประทวน มีหน้าที่เสิร์ฟน้ำ ซึ่งตนเคยให้เงินช่วยเหลือลูกสาวเขาสมัยที่เป็นพนักงาน ซึ่งสอบได้ทุนไปเรียนอังกฤษแต่บ้านยากจน ตนเลยออกค่าเครื่องบินให้ และเงินก้อนหนึ่งประมาณ 3 หมื่นบาท ก็เลยเป็นหนี้บุญคุณกัน บังเอิญจ่าคนนี้เสิร์ฟน้ำตอนที่เขาบอกว่าต้องฆ่ามัน วันรุ่งขึ้นเขาก็มาแจ้งให้ตนรู้ถึงออฟฟิศว่าเขาจะฆ่าท่านคืนนี้ นี่คือการตบเท่าครั้งที่ 3 นะ เป็นการตบด้วยปืน ปรากฏว่าตนตัดสินใจไปอังกฤษทันทีเลยคืนนั้น
      
       ครั้งที่ 4 พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต เป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาบอกว่าการที่ตนเอาพระเจ้าอยู่หัว มาแอบอ้างเป็นการอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะตบเท้ามายื่นหนังสือ แต่แล้วพล.ต.พฤณฑ์ ก็ไม่กล้ามาเลยส่งคนอื่นมาแทน
      
       ครั้งที่ 5 ก็คือเหตุการณ์ลอบยิง 200 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช และการตบเท้าของทหารมาที่ผู้จัดการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 แล้ว ฉะนั้นมีอะไรที่ตนต้องตื่นเต้น ไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว
      
       นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ ข้อแรกมันเกิดความสามัคคีกันมากขึ้นในหมู่พนักงาน ทุกคนไม่มีใครถอยเป็นไงเป็นกัน นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและกล้าหาญ เพราะว่าสมัยก่อนเวลาสื่อทะเลาะกับทหาร พอทหารว๊ากทีทุกคนจ๋อย แต่ว่าเราไม่กลัวเพราะเราใช้ธรรมนำหน้า และสุดท้าย อันนี้ต้องให้เครดิต CEO เอเอสทีวีผู้จัดการ คือนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ลูกชายตน ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้ ในเรื่องการเขียนแถลงการณ์ และให้จัดรายการตีแสกหน้าพิเศษ นัยตรงนี้มีตรงที่ตนนอนตายตาหลับ เพราะมีผู้สืบทอดอุดมการณ์ความถูกต้องไว้เรียบร้อยแล้ว
      
       "และสุดท้ายผมก็ต้องขอบคุณที่คุณประยุทธ์ ขอโทษขอโพยมา ไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือหน้าที่ของการหาความจริงมาให้กับประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไรสังคมไม่ได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใสและไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้" นายสนธิ กล่าว
      
       นายสนธิ ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ประธานศาลฎีกาของปากีสถานมีคำสั่งให้จับกุมผู้ต้องหา 16 คน ซึ่ง 1 ใน นั้นมีนายกรัฐมนตรีของปากีสถาน ( ราจา เปอร์เวซ อัชราฟ)ด้วย ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น ว่า ตนมองว่าปากีสถานคล้ายเมืองไทย คือมีปัญหาขัดแย้งกับอินเดียเรื่องดินแดน คือถ้าไทยทำตัวเหมือนปากีสถานหรืออินเดีย วันนี้คงประจันหน้ากันกับเขมร และตลอดไปตลอดชีวิตไม่มีวันจบ เนื่องจากเรื่องพรมแดนไม่มีใครยอมใคร เหมือนเมื่อเร็วๆนี้เกาหลีใต้มีเรื่องพิพาทกับญี่ปุ่นเรื่องเกาะ เขาจะให้ขึ้นศาลโลก เกาหลีใต้ไม่ไป มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ยิ้มทำตัวสุภาพบุรุษทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลก
      
       ลักษณะที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เหมือนกัน คือรัฐบาลอัชราฟ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง โกงตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ในการสร้างโรงงานไฟฟ้า และในที่สุดแล้วศาลฎีกาใช้บทบาทของตนเองสั่งให้จับคน 16 คน โดยต้องสั่งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เหมือนกับตำรวจบ้านเรา ปรากฏว่าสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯกลับบอกว่ายังจับไม่ได้หลักฐานไม่พอ คุ้นๆ ไหม นั่นเพราะว่าสำนักงานป้องกันปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น มันขึ้นอยู่กับนักการเมือง เหมือนกับตำรวจเมืองไทยขึ้นอยู่กับนักการเมือง
      
       ที่น่าสนใจในขณะนี้ประชาชนจำนวนมากได้ออกเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและให้ดำเนินคดีพวกนักการเมือง และให้ยุติการเมืองที่มีการเลือกตั้งระยะหนึ่ง เพื่อมาล้างสิ่งเก่าๆ สิ่งที่สกปรกออกให้หมด ประชาชนเขาเรียกร้อง แต่จริงๆ แล้วเป็นวิธีการที่ทหารปากีสถานในอดีตเขาทำกัน คือถ้านักการเมืองทำเรื่องกระทบความมั่นคงของประเทศ ทหารจะเข้ามาจัดการ เพราะฉะนั้นถ้าทหารประเทศไหนไม่เข้าใจ ตนไม่ได้เอ่ยว่า ทหารประเทศไหน จะอ้างว่าต้องทำตามกฎหมาย แต่หารู้ไม่ว่ากฎหมายนั้นคือสิ่งที่นักการเมืองร่างให้ หรือแม้กระทั่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญเอง ระบุชัดเจนว่า "ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศ และรักษาความมั่นคง ความมั่นคงของชาติ" ปากีสถานมองการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองเป็นการทำลายความมั่นคง ฉะนั้นถ้าเทียบกับประเทศไทย ลำพังการจำนำข้าวอันเดียว ถ้าเป็นปากีสถานเมื่อก่อน ทหารจะออกมาจัดการสั่งให้เลิก แต่ปัจจุบันมันไม่มี ประชาชนปากีสถานเลยต้องออกมาเรียกร้อง
      
       นายสนธิ กล่าวอีกว่า ในเมืองไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเป็นจอมทัพ จริงๆ แล้วพระองค์ท่านมีอำนาจเหนือกว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทหารรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คนพวกนี้เป็นทหารนักรบ จะมองความมั่นคงในมิติที่เป็นความมั่นคงหลายมิติ ไม่ใช่มองมิติในเรื่องของสถาบันกษัตริย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ทหารรุ่นหลังเป็นทหารนักรบ แต่รบบนสนามกอล์ฟ เลยมีความเคยชินกับการดื่มไวน์ราคาแพง เพราะฉะนั้นแล้วจิตใจของคนที่เป็นนักรบกับคนที่เลียนที่จะเป็นนักรบแต่ไม่เคยรบ จะไม่เหมือนกัน สมัยก่อนทหารที่มีเรื่องกับพลเรือน หรือตำรวจ ทหารจะยกพลมาทั้งกรมเลย เพื่อมาเอาตัวทหารที่ถูกตำรวจจับไปเอาออกมา เพราะเขาถือว่าเสียศักดิ์ศรี จริงๆ เป็นเรื่องไม่ควร แต่มันแสดงจุดยืนให้เห็นว่าเขารักพวกรักพ้อง พอเขารักพวกรักพ้องเขาก็รักชาติรักบ้านเมืองตามไปด้วย เพราะว่าเขาไปในทิศทางเดียวกัน เป็นเอกภาพ เพราะฉะนั้นพูดก็พูดเถอะ คนที่ทำลายสถาบันทหารแท้ที่จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะว่าเขามองเห็นว่าถ้าสถาบันทหารมีเอกภาพ มีความมั่นคง จะเป็นอันตรายต่อนักการเมืองที่ต้องการจะกินชาติกินบ้านกินเมือง
      
       เหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ปฎิวัติช่วงแล้วประชาชนปรบมือให้ ก็เพราะช่วงรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คอร์รัปชั่นมากที่สุด มีการยึดทรัพย์นักการเมืองทันที แต่ว่ากระบวนการยึดทรัพย์ของเขา เขาทำผิดขั้นตอน เขาน่าจะอายัดทรัพย์และให้นักการเมืองมาพิสูจน์ว่าทรัพย์ที่ถูกอายัดไปมาจากไหน นักการเมืองทุกคนที่ประกาศว่าตัวเองมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง ข้อแรกถ้าถามว่า คุณเสียภาษีปีละเท่าไหร่ เจ๊งทุกคนเลยนะ และที่บอกว่ามีเงินมีทรัพย์สินพันกว่าล้าน ให้แจกแจงว่าได้มาอย่างไร ก็เจ๊งหมดทุกคนแล้ว เพราะฉะนั้นที่รายงานต่อ ป.ป.ช. โกหกที่มาของทรัพย์สินหมดเลย บางคนทรัพย์สินมีน้อยแต่ตั้งไว้สูง เพื่อที่ระหว่างเป็นรัฐมนตรีจะได้โกง และจะได้เพิ่มในวงเงิน สมมติมี 1,000 บาท แต่ตั้งว่ามีจริงแค่ 100 บาท และระหว่างเป็นรัฐมนตรี ก็เพิ่มอีก 900 บาท พอเกษียณไป 1,000 บาท ดูเหมือนไม่มีเพิ่ม
      
       ฉะนั้นต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของทรัพย์สิน และถ้าตรวจการเสียภาษี ปีที่แล้วและหลายๆปีก่อนหน้านี้ เจ๊งทุกคน ติดคุกกันหัวโตเลย ยกตัวอย่าง เช่น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินทั้งหมดกว่าพันกว่าล้าน ชีวิตเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต มีได้อย่างไรพันกว่าล้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เหมือนกัน ทำมาหากินอะไร อาชีพอะไร แม้กระทั่ง นายจตุพร แม้มีไม่ถึง 10 ล้านก็ตาม แต่ก่อนที่จะมาเป็นนักการเมืองยังกินมาม่าอยู่เลย
      
       แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่ออีกว่า ยุคชาติชายเป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเนต ยุคนี้ขอเรียกว่ายุคห่าลงเมือง ไม่เฉพาะเพื่อไทย สมัยประชาธิปัตย์ก็เช่นกัน รัฐมนตรีมีกระบวนทัศน์เดียวกันหมด คอนเซ็ปต์เดียวกัน เวลาจะโกงก็กระซิบให้อธิบดีทำ ถ้าไม่ทำก็สั่งย้าย แล้วพอมีเรื่องมันบอกว่าไม่เกี่ยว ข้างล่างทำเรื่องเสนอขึ้นมา มันแค่อนุมัติตามที่เสนอ
      
       นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนเคยพูดมานานแล้วว่าคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมันต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานทางการเมืองเสียก่อน ตนไม่เคยเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ตนเชื่อว่าคนอะไรก็ตามถ้าจะทำอะไรต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานในเเรื่องนั้นก่อนถึงจะทำได้ พวกเสื้อแดงบอกว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่าประชาธิปไตยคืออะไร เข้าใจอย่างเดียวว่าประชาธิปไตยของมันคือมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แล้วถ้าทักษิณกลับมาสำหรับมันคือประชาธิปไตย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่