หน้าแรก > การเงิน-ลงทุน > ข่าวเศรษฐกิจ สยามธุรกิจออนไลน์
[ ฉบับที่ 1361 ประจำวันที่ 15-12-2012 ถึง 18-12-2012 ]
ตลาดทุนกสิกรไทยยังสดใสปี56คาดครองผู้นำตลาดต่อเนื่อง
(17ม.ค.2556) - กสิกรไทย ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดันธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังประสบปัญหารุมเร้ารอบด้าน คาดในปีนี้จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทุนด้วยการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สูงต่อเนื่องปีนี้ราว 4 แสนล้านบาท ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทจะแข็งต่อเนื่องตลอดปี 56 แตะระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2556 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัญหาการคลังของสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องเพดานหนี้ที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดการเงินค่อนข้างมากในระยะอันใกล้ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีนบ่งชี้ว่าภาคการผลิตสามารถกลับมาขยายตัวในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากจีนยังต้องพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพื่อสนับสนุนการส่งออก
สำหรับเศรษฐกิจของยูโรโซนยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งการแก้ปัญหาหนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องสภาพคล่องและความพยายามประคับประคองความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการคลังยังไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร หลายประเทศในยูโรโซนจึงยังมีความเสี่ยงสูง อาทิ ประเทศกรีซที่ถึงแม้ได้รับการอนุมัติเงินช่วยเหลือในช่วงปลายปี เป็นการแก้ปัญหาทางด้านสภาพคล่องระยะสั้นมากกว่าการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตดี โดยจะได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย ประเมินว่าความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อและด้านการเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ความสมดุลมากขึ้นในปีนี้ จึงน่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ที่ 2.75%
ในส่วนของตลาดเงิน การเคลื่อนไหวของอัตราแลกแปลี่ยนในปี 2555 มีความผันผวนลดลง เมื่อเทียบกับสองปีก่อนหน้า ทั้งค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าค่าเงินบาทในปี 2556 ยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นไปทดสอบระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก และแข็งค่าต่อเนื่องสู่ระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากประเทศเศรษฐกิจหลัก
สำหรับส่วนของตลาดทุน การจำหน่ายหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนในปี 2555 ยังคงมีการเติบโตที่ดี โดยปริมาณการจำหน่ายสูงถึง 5.09 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับ 2.46 แสนล้านบาทในปี 2554 และธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ใน 2 ลำดับแรกในปี 2555 สำหรับในปี 2556 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังจุกตัวอยู่ในระดับต่ำจึงคาดว่าแนวโน้มภาคเอกชนจะยังคงออกหุ้นกู้ระยะยาวอย่างต่อเนื่องหรือประมาณ 4.10 แสนล้านบาท และคาดว่าธนาคารจะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดไว้ได้
ด้านการค้าตราสารหนี้ภาครัฐ ในปี 2555 ปริมาณการค้าตราสารหนี้ภาครัฐการเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 26.5 ล้านล้านบาท เนื่องมาจากการถือครองตราสารหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ จากในปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท เป็น 7 แสนล้านบาทในปี 2555 นอกจากนี้ ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลงในปี 2555 หลังปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ มีส่วนสนับสนุนให้ปริมาณการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นด้วย โดยในปี 2555 ธนาคารกสิกรไทยมีสัดส่วนการการค้าตราสารหนี้ภาครัฐในภาพรวมเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 11.5% ของตลาด

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง
18 มกราคม 2556
ชื่อ: กาแฟยามเช้า3.PNG ครั้ง: 1029 ขนาด: 641.4 กิโลไบต์
General News
------------------
• รัฐบาลเยอรมนีลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ 0.4% จากเดิม 1% หลังจากที่การส่งออกยังคงชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในยูโรโซนและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.6% ในปีหน้า โดยจะมีความต้องการภายในประเทศเป็นแรงผลักดันสำคัญ
• สเปน ขายพันธบัตรได้ตามเป้าหมาย 4.5 พันล้านยูโร ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงในทุกช่วงอายุ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ 2.713%, 5 ปีอยู่ที่ 3.77% และ 28 ปีอยู่ที่ 5.696% ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อคำมั่นสัญญาของ ECB ที่จะเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหา
ทั้งนี้ สเปนกำลังเร่งจัดตั้งกองทุนกันชนสำหรับปี 2556 เพื่อหลีกเลี่ยงการขอรับเงินกู้จากกองทุนช่วยเหลือของยูโรโซน
• รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของ FED เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตรา “เล็กน้อยหรือปานกลาง" ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด ในขณะที่กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจ แม้ว่าผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการคลังและสภาวะเศรษฐกิจในยุโรปก็ตาม
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ม.ค ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 335,000 ราย ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2551 สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนั้น ตลาดแรงงานยังได้แรงหนุนจากการใช้กฎหมายที่ขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานในระยะยาวด้วย
• ริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธาน FED สาขาดัลลัส แสดงความเห็นว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของ FED ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ต้องการและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมไม่ได้ลดลงรวดเร็วอย่างที่ต้องการเพราะอยู่ที่ระดับต่ำสุดอยู่แล้ว
• อัตราการว่างงานของออสเตรเลียเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.4% จาก 5.3%ในเดือน พ.ย. เพราะภาคธุรกิจลดการจ้างงานลง 5,500 ตำแหน่ง โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การจ้างงานจะชะลอตัวลงอีก หากไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะอันใกล้
• การบริโภคภายในของญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น จากการที่ยอดขายรถยนต์มือสองในปีก่อนขยายตัว 6.4% กับยอดขายของห้างสรรพสินค้าได้เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปี 2554 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นแนวโน้มที่ห้างสรรพสินค้าหลักในเมืองใหญ่จะขยายสาขาหรือปรับปรุงพื้นที่ขายใหม่
• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของเกาหลีใต้เดือน ธ.ค.ลดลง 0.3% จากเดือน พ.ย. เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้น
• ยอดส่งออกสินค้ายกเว้นน้ำมันของสิงคโปร์เดือน ธ.ค.ลดลง 16.3% เมื่อเทียบกับ ธ.ค. 2554 เพราะยอดส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างเรือ และเภสัชภัณฑ์ ลดลง
• OPEC ลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกลงเล็กน้อยสู่ 760,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุปสงค์จากจีนจะเพิ่มขึ้นมากที่สุด
Equity Market
------------------
• SET Index ปิดตลาดที่ 1,420.95 จุด เพิ่มขึ้น 4.81 จุด หรือ 0.34% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59,237.38 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 657.39 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนเช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องโดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบกับตลาด
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ควรติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ GDP ประจำไตรมาส 4/2555 ของจีน
Fixed Income Market
---------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวค่อนข้างทรงตัว โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.01% อนึ่ง กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารนี้ไทยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับตลาดหุ้น โดยนักลงทุนต่างซื้อสุทธิที่ 8,685 ล้านบาทโดยเฉพาะในตราสารระยะสั้น
• ธปท. ยอมรับว่า เริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทย ทำให้ค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้แต่ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินภูมิภาค โดย ธปท. จะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินและมีมาตรการเสริมพร้อมจะนำมาใช้ตามความเหมาะสม รวมถึงพยายามออกมาตรการที่จะส่งเสริมการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย
• ธ.กสิกรไทย ประมาณการว่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวของภาคเอกชนในปีนี้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 4.1 แสนล้านบาท จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น
จึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.75%
• ธปท. ออกประกาศอนุญาตให้บุคคลรายย่อยลงทุนในตราสารในต่างประเทศและอนุพันธ์ได้ในวงเงินไม่เกินรายละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสามารถลงทุนผ่านตัวแทน ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ หรือ กองทุนส่วนบุคคล เท่านั้น เพื่อให้มีความคล่องตัวในการลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้มากขึ้น

รวมกระทู้ Wild Rabbit ( 18 มกราคม 2556 )
[ ฉบับที่ 1361 ประจำวันที่ 15-12-2012 ถึง 18-12-2012 ]
ตลาดทุนกสิกรไทยยังสดใสปี56คาดครองผู้นำตลาดต่อเนื่อง
(17ม.ค.2556) - กสิกรไทย ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดันธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังประสบปัญหารุมเร้ารอบด้าน คาดในปีนี้จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทุนด้วยการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สูงต่อเนื่องปีนี้ราว 4 แสนล้านบาท ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทจะแข็งต่อเนื่องตลอดปี 56 แตะระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2556 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัญหาการคลังของสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องเพดานหนี้ที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดการเงินค่อนข้างมากในระยะอันใกล้ ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีนบ่งชี้ว่าภาคการผลิตสามารถกลับมาขยายตัวในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากจีนยังต้องพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพื่อสนับสนุนการส่งออก
สำหรับเศรษฐกิจของยูโรโซนยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งการแก้ปัญหาหนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องสภาพคล่องและความพยายามประคับประคองความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการคลังยังไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร หลายประเทศในยูโรโซนจึงยังมีความเสี่ยงสูง อาทิ ประเทศกรีซที่ถึงแม้ได้รับการอนุมัติเงินช่วยเหลือในช่วงปลายปี เป็นการแก้ปัญหาทางด้านสภาพคล่องระยะสั้นมากกว่าการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตดี โดยจะได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย ประเมินว่าความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อและด้านการเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ความสมดุลมากขึ้นในปีนี้ จึงน่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ที่ 2.75%
ในส่วนของตลาดเงิน การเคลื่อนไหวของอัตราแลกแปลี่ยนในปี 2555 มีความผันผวนลดลง เมื่อเทียบกับสองปีก่อนหน้า ทั้งค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าค่าเงินบาทในปี 2556 ยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นไปทดสอบระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก และแข็งค่าต่อเนื่องสู่ระดับ 29.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากประเทศเศรษฐกิจหลัก
สำหรับส่วนของตลาดทุน การจำหน่ายหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนในปี 2555 ยังคงมีการเติบโตที่ดี โดยปริมาณการจำหน่ายสูงถึง 5.09 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับ 2.46 แสนล้านบาทในปี 2554 และธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ใน 2 ลำดับแรกในปี 2555 สำหรับในปี 2556 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังจุกตัวอยู่ในระดับต่ำจึงคาดว่าแนวโน้มภาคเอกชนจะยังคงออกหุ้นกู้ระยะยาวอย่างต่อเนื่องหรือประมาณ 4.10 แสนล้านบาท และคาดว่าธนาคารจะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดไว้ได้
ด้านการค้าตราสารหนี้ภาครัฐ ในปี 2555 ปริมาณการค้าตราสารหนี้ภาครัฐการเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 26.5 ล้านล้านบาท เนื่องมาจากการถือครองตราสารหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ จากในปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท เป็น 7 แสนล้านบาทในปี 2555 นอกจากนี้ ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลงในปี 2555 หลังปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ มีส่วนสนับสนุนให้ปริมาณการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นด้วย โดยในปี 2555 ธนาคารกสิกรไทยมีสัดส่วนการการค้าตราสารหนี้ภาครัฐในภาพรวมเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 11.5% ของตลาด
Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง
18 มกราคม 2556
ชื่อ: กาแฟยามเช้า3.PNG ครั้ง: 1029 ขนาด: 641.4 กิโลไบต์
General News
------------------
• รัฐบาลเยอรมนีลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ 0.4% จากเดิม 1% หลังจากที่การส่งออกยังคงชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในยูโรโซนและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.6% ในปีหน้า โดยจะมีความต้องการภายในประเทศเป็นแรงผลักดันสำคัญ
• สเปน ขายพันธบัตรได้ตามเป้าหมาย 4.5 พันล้านยูโร ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงในทุกช่วงอายุ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ 2.713%, 5 ปีอยู่ที่ 3.77% และ 28 ปีอยู่ที่ 5.696% ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อคำมั่นสัญญาของ ECB ที่จะเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหา
ทั้งนี้ สเปนกำลังเร่งจัดตั้งกองทุนกันชนสำหรับปี 2556 เพื่อหลีกเลี่ยงการขอรับเงินกู้จากกองทุนช่วยเหลือของยูโรโซน
• รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของ FED เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตรา “เล็กน้อยหรือปานกลาง" ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด ในขณะที่กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจ แม้ว่าผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการคลังและสภาวะเศรษฐกิจในยุโรปก็ตาม
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ม.ค ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 335,000 ราย ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2551 สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนั้น ตลาดแรงงานยังได้แรงหนุนจากการใช้กฎหมายที่ขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานในระยะยาวด้วย
• ริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธาน FED สาขาดัลลัส แสดงความเห็นว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของ FED ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ต้องการและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมไม่ได้ลดลงรวดเร็วอย่างที่ต้องการเพราะอยู่ที่ระดับต่ำสุดอยู่แล้ว
• อัตราการว่างงานของออสเตรเลียเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.4% จาก 5.3%ในเดือน พ.ย. เพราะภาคธุรกิจลดการจ้างงานลง 5,500 ตำแหน่ง โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การจ้างงานจะชะลอตัวลงอีก หากไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะอันใกล้
• การบริโภคภายในของญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น จากการที่ยอดขายรถยนต์มือสองในปีก่อนขยายตัว 6.4% กับยอดขายของห้างสรรพสินค้าได้เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปี 2554 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นแนวโน้มที่ห้างสรรพสินค้าหลักในเมืองใหญ่จะขยายสาขาหรือปรับปรุงพื้นที่ขายใหม่
• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของเกาหลีใต้เดือน ธ.ค.ลดลง 0.3% จากเดือน พ.ย. เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้น
• ยอดส่งออกสินค้ายกเว้นน้ำมันของสิงคโปร์เดือน ธ.ค.ลดลง 16.3% เมื่อเทียบกับ ธ.ค. 2554 เพราะยอดส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างเรือ และเภสัชภัณฑ์ ลดลง
• OPEC ลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกลงเล็กน้อยสู่ 760,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุปสงค์จากจีนจะเพิ่มขึ้นมากที่สุด
Equity Market
------------------
• SET Index ปิดตลาดที่ 1,420.95 จุด เพิ่มขึ้น 4.81 จุด หรือ 0.34% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59,237.38 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 657.39 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนเช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องโดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบกับตลาด
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ควรติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ GDP ประจำไตรมาส 4/2555 ของจีน
Fixed Income Market
---------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวค่อนข้างทรงตัว โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.01% อนึ่ง กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารนี้ไทยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับตลาดหุ้น โดยนักลงทุนต่างซื้อสุทธิที่ 8,685 ล้านบาทโดยเฉพาะในตราสารระยะสั้น
• ธปท. ยอมรับว่า เริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทย ทำให้ค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้แต่ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินภูมิภาค โดย ธปท. จะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินและมีมาตรการเสริมพร้อมจะนำมาใช้ตามความเหมาะสม รวมถึงพยายามออกมาตรการที่จะส่งเสริมการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย
• ธ.กสิกรไทย ประมาณการว่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวของภาคเอกชนในปีนี้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 4.1 แสนล้านบาท จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น
จึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.75%
• ธปท. ออกประกาศอนุญาตให้บุคคลรายย่อยลงทุนในตราสารในต่างประเทศและอนุพันธ์ได้ในวงเงินไม่เกินรายละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสามารถลงทุนผ่านตัวแทน ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ หรือ กองทุนส่วนบุคคล เท่านั้น เพื่อให้มีความคล่องตัวในการลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้มากขึ้น