ผมขอยก บทวิจารณ์ ท่านหนึ่ง มาเป็น ตัวอย่าง ในการพิจารณา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องทศชาติชาดก เป็นไปเพื่อบารมีทั้งหลาย มีกล่าวไว้ชัดเจน แจกแจงตั้งแต่ 1-10 ว่าอยู่ในบารมีประเภทใด
๑. เตมีย์ชาดก บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
๒. ชนกชาดก บำเพ็ญวิริยบารมี
๓. สุวรรณสามชาดก บำเพ็ญเมตตาบารมี
๔. เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
๕. มโหสถชาดก บำเพ็ญปัญญาบารมี
๖. ภูริทัตชาดก บำเพ็ญศีลบารมี
๗. จันทชาดก บำเพ็ญขันติบารมี
๘. นารทชาดก บำเพ็ญอุเบกขาบารมี
๙. วิทูรชาดก บำเพ็ญสัจจบารมี
๑๐.เวสสันดรชาดก บำเพ็ญทานบารมี
บารมีต้องเต็มพร้อม ชาติสุดท้ายที่เป็นพระเวสสันดร จะตรัสรู้ได้อย่างไร ในเมื่อยังอยู่ในการเก็บเกี่ยวบารมี
***ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา รู้มาผิวเผินแล้วออกความเห็นมั่วซั่ว ไม่ขายขี้หน้าคนอื่นบ้างหรือ***
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมอยากให้ พิจารณา ข้อความ ตัวหนาที่ผมขีดเส้นใต้ การที่แสดงความเห็น แบบนี้ ผมก็เข้าใจว่าอยากยกย่อง เชิดชู พระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืม สิ่งที่ พระพุทธเจ้า ยกย่องเชิดชู คือ สัจธรรม ความจริง ไม่ใช่ตัวพระองค์เอง
ฉะนั้น การตีความ บารมี ว่าเป็นพลังงาน การวิเคราะห์ ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้า ต้อง สะสมพลังงานบารมี 10 ชาติ ทำให้ ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรไม่อาจตรัสรู้ได้ แม้ฟังดูจะเป็นการเคารพยกย่อง แต่ก็ไม่ควรทำ เพราะ เป็นการ บิดเบือนพระธรรม บิดเบือนการมองโลกตามจริง เห็นโลกตามจริง การหาเหตุผลหลอกตัวเอง เหล่านี้ จึงไม่ควร ( แต่ก็เป็นสิทธิของคุณในการจะพิจารณา )
และก็เป็นสิทธิของทุกคนที่จะพิจารณา พระธรรมได้ มีสิทธิแสดงออก ไม่ว่าผู้นั้น จะเบาปัญญา หรือเลิศด้วยปัญญาก็ตามที ขอเพียง พิจารณาด้วยการไม่หลอกตัวเอง และพร้อมที่จะยอมรับความจริง ไม่ใช่ ยอมรับความจริงไม่ได้ แล้วมีอารมณ์ มาด่าถอว่า กล่าว โดยปราศจากเหตุผล อันนี้ไม่ควร ต่อไปผมจะ แสดงการวิเคราะห์ พิจารณา ตามความจริงที่ผมเห็น อย่างตรงไปตรงมา ด้วยเหตุผล เพราะกระทู้ เก่าโดนใครลบไปอย่างน่าเสียดาย ( ไม่น่าไปกินข้าวนานเลย แค่ 5 โมง ถึงเที่ยงคืนเอง )
เรื่อง
ทศบารมี ผมจะไม่พูดในประเด็นว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเล่า ใครจะพูดในประเด็นเหล่านี้ ขอความกรุณาเชิญกระทู้อื่น แต่ผมจะมาวิเคราะห์ ว่า บารมี คืออะไร ใช่พลังงาน ที่ต้อง สะสม สิบชาติ จึงตรัสรู้ไหม ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ แล้ว บารมี เป็นสิ่งช่วยให้ตรัสรู้ไหม ผมตอบเลยว่าใช่ ฟังแบบนี้ คงบอกว่าผมสับสน งงอะไรหรือเปล่า เพราะ
บารมี นั้นก็คือ ประสบการณ์ ประสบการณ์นั้นสะสมได้ ประสบการณ์ จะต้องถูกทั้งหมดไหมประสบการณ์จะได้มาจากการทำดีทั้งหมดไหมไม่จำเป็น ประสบการณ์ก็คือ การลองผิดลองถูก กว่าจะสำเร็จ เป็น พระพุทธเจ้า ลองผิดลองถูกไม่รู้เท่าไร ไม่มีที่ไหนเลยในพุทธประวัติ ที่บอกว่า สะสมพลังงาน แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ ( พวกนี้เป็นความเชื่อที่ถูกสอดแทรกเข้ามา ประมาณหวังดีประสงค์ร้าย เพราะ ถ้าใครไปบ้าจี้หลงเชื่อตามนี้ ก็จะเอาทางสายกลาง ที่ทรงลำบากลำบนค้นพบ ไปทิ้งทะเล แล้ว เอาการสะสมพลังงานบารมีมาแทน ในฐานะ ศิษตถาคต คุณว่าแย่ไหมละ ควรจะต้องมาถกเรื่องนี้ไหมละ ) แต่ บารมี ที่แท้ คือ ประสบการณ์ จากการลองผิดลองถูก ในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัทถะ ก็ลองผิดไปตั้งหลายครั้ง หลายสำนัก ถ้าเราเรียกการลองผิดว่า โง่ เจ้าชายสิทธทัถะ ก็เคยโง่ ถึงขนาด นั่งทรมานตัวเองเจ็ดปี โดยไม่ได้อะไรเลย
อาจจะมีบางคนรับไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้ ว่าเจ้าชายสิทถัทถะ เคยโง่ เคยลองผิด อันนี้เป็นเรื่องที่คุณ ต้องไปฝึกจิตตัวเอง และการที่ผม แสดงแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เคารพ พระพุทธเจ้า แต่เพราะ เคารพ จึงต้องพูดแรง แบบนี้ เพื่อให้ สัจจธรรม ที่ท่านได้ทรงค้นพบที่ท่านลำบากลองผิดลองถูก ไม่หายไปหรือ ถูก บิดเบือน ไปกับการยกย่อง ที่ปราศจากปัญญา เพราะ ถ้าคนเรามีสติ ปราศจาก อคติ ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้ ลบลู่ ก้จะรู้ว่าผมหวังดี เพราะถ้าผมไม่กล้าพูด ปล่อยให้ ยกย่อง กัน แบบหลอกตัวเอง ตอนเจ้าชาย สิททัธถะ ลองผิด กำลังโง่ ทรมานตัวเอง 7 ปี ก็จะมาหลอกตัวเองว่า เพราะ เจ้าชายต้องใช้กรรม ก่อน ตรัสรู้ ซึ่งพูดแบบนี้มันไม่มีเหตุผล เป็นการทำลายศาสนา
คุณลองคิดดู ถ้ามีคนใช้เหตุผลหลอกตัวเองแบบนี้กับเรื่อง องคุลีมาร จะเป็นไง ประมาณ ว่า คน 999 คนที่องคุลีมารฆ่า เป็นปีศาจ ถ้าไม่โดน อุคุลีมารฆ่า จะเกิดหายนะ ฉะนั้น องคุลีมาร ตอนฆ่าคน 999 คน จึงเป็นการสะสมบารมี พอฆ่า ครบ 999 คนก็เลยได้เจอพระพุทธเจ้า ( ไม่รู้มีใครหลอกตัวเองแบบนี้หรือเปล่า ผมยกตัวอย่างเฉยๆ อย่าบ้าไปเชื่อตามละ )
เรื่องพระเวสสันดรก้เหมือนกัน ผมได้ข้อคิดอีกมุมหนึ่งผมก็นำมาเสนอ ผมไม่ได้ลบลู่ พุทธศาสนา ไม่ได้ทำลาย ศาสนา ตรงไหนเลย แต่มันไปจี้ใจดำคนที่กำลัง หลง กำลังงมงาย กำลังยึดติด คนเหล่านี้ จึงเกิดอารมณ์ มาด่าท่อ ตามแรงของตัวตน ที่ถูกความจริงจี้ ใจดำ มันไม่อยากยอมรับความจริง ตัวตนที่ยึดติด มันเลย แสดง อาการต่อต้าน ด้วยอารมณ์โกรธ ด่าท่อ แบบไม่มีเหตุผล
เพราะ กระทู้เก่าที่แสดง ผมได้แสดงไว้ว่า การที่พระเวสสันดร ไม่ได้ตรัสรู้ แม้จะละ ได้ทุกอย่าง ทั้ง ทรัพย์สิน ลูกเมีย ชีวิต แต่ ท่านละ ความยึดมั่นถือมั่น ในการให้ไม่ได้ ท่านจึงไม่ตรัสรู้ ไม่เหมือน เจ้าชายสิทถัทธะ ที่เจอทางสายกลาง ความพอดี เลยตรัสรู้
ซึ่งเหตุผลที่ผมได้ แสดงไป มันสมบูรณ์ด้วยเหตุ และผล เป็นข้อคิดที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่คนที่ยึดติดกับการยกย่อง เคยชินกับความงมงาย อ่านแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะแย้ง จะยอมรับความจริงตัวตนที่ยึดติด ก็เยอะ มันเลยหาทางออก โดยการด่าท่อ ว่ากล่าวผม เพื่อให้ตัวเองได้หลอกตัวเองต่อไป เพราะความจริงมันเสียดแทง ซึ่งผมเข้าใจ และ ไม่โกรธ มีแต่ความเห็นใจ
สุดท้าย จึงอยากจะสรุป ว่า บารมีทั้ง 10 ( ประสบการณ์ทั้ง 10 ) ทั้งการให้ ขันติ ความพยายาม ปัญญา กตัญญู ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้คนเหล่า ตรัสรู้พ้นทุกข์ได้ แต่ก็เช่นเดียวกัน การที่ไปยึดติดสิ่งใด จนสุดโต่ง สิ่งนั้นก็ย่อมเกิดโทษเป็นธรรมดา แม้แต่การให้ ที่ดูแล้ว น่าจะมีแต่คุณ ไม่มีโทษ แต่ถ้าเรายึดติดจนสุดโต่ง โทษก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ในชาดก เรื่อง พระเวสสันดร ทั้ง พ่อแม่ ลูกเมีย อานาประชาราษ ต่างเดือดร้อน เพราะความยึดมั่นถือมั่น จนสุดโต่งของพระเวสสันดร
" แม้หว่านพืชชนิดใดย่อมได้ผลชนิดนั้น แต่ถ้าไม่มีทางสายกลาง ธรรมแห่งความพอดีมากำกับ ปล่อยให้สุดโต่ง ไปกับความไม่รู้ ความงมงาย ความเชื่อ แม้จะ หว่านพืช เท่าใดก็อาจไม่ได้ผลเลย เช่น มีที่ นา หนึ่งไร่ หว่านเมล็ดข้าว หนึ่งกำมือ ย่อมได้ต้นข้าว หนึ่งกำมือ แต่ถ้า หว่าน เมล็ดข้าว ล้านกำมือ จนท่วมทุ่งนา ก็จะหามี ต้นข้าวแม้สักหนึ่งตน งอกออกมาจาก นาพื้นนั้น "
การพิจารณาพระธรรม ควรตรงประเด็นตามจริง ผิดว่าไปตามผิด หรือ ต้องเอออวยหาเหตุผลหลอกตัวเอง ชมกันไป อย่างไหนที่ได้ประโยชน์
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องทศชาติชาดก เป็นไปเพื่อบารมีทั้งหลาย มีกล่าวไว้ชัดเจน แจกแจงตั้งแต่ 1-10 ว่าอยู่ในบารมีประเภทใด
๑. เตมีย์ชาดก บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
๒. ชนกชาดก บำเพ็ญวิริยบารมี
๓. สุวรรณสามชาดก บำเพ็ญเมตตาบารมี
๔. เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
๕. มโหสถชาดก บำเพ็ญปัญญาบารมี
๖. ภูริทัตชาดก บำเพ็ญศีลบารมี
๗. จันทชาดก บำเพ็ญขันติบารมี
๘. นารทชาดก บำเพ็ญอุเบกขาบารมี
๙. วิทูรชาดก บำเพ็ญสัจจบารมี
๑๐.เวสสันดรชาดก บำเพ็ญทานบารมี
บารมีต้องเต็มพร้อม ชาติสุดท้ายที่เป็นพระเวสสันดร จะตรัสรู้ได้อย่างไร ในเมื่อยังอยู่ในการเก็บเกี่ยวบารมี
***ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา รู้มาผิวเผินแล้วออกความเห็นมั่วซั่ว ไม่ขายขี้หน้าคนอื่นบ้างหรือ***
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมอยากให้ พิจารณา ข้อความ ตัวหนาที่ผมขีดเส้นใต้ การที่แสดงความเห็น แบบนี้ ผมก็เข้าใจว่าอยากยกย่อง เชิดชู พระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืม สิ่งที่ พระพุทธเจ้า ยกย่องเชิดชู คือ สัจธรรม ความจริง ไม่ใช่ตัวพระองค์เอง
ฉะนั้น การตีความ บารมี ว่าเป็นพลังงาน การวิเคราะห์ ว่าจะเป็น พระพุทธเจ้า ต้อง สะสมพลังงานบารมี 10 ชาติ ทำให้ ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรไม่อาจตรัสรู้ได้ แม้ฟังดูจะเป็นการเคารพยกย่อง แต่ก็ไม่ควรทำ เพราะ เป็นการ บิดเบือนพระธรรม บิดเบือนการมองโลกตามจริง เห็นโลกตามจริง การหาเหตุผลหลอกตัวเอง เหล่านี้ จึงไม่ควร ( แต่ก็เป็นสิทธิของคุณในการจะพิจารณา )
และก็เป็นสิทธิของทุกคนที่จะพิจารณา พระธรรมได้ มีสิทธิแสดงออก ไม่ว่าผู้นั้น จะเบาปัญญา หรือเลิศด้วยปัญญาก็ตามที ขอเพียง พิจารณาด้วยการไม่หลอกตัวเอง และพร้อมที่จะยอมรับความจริง ไม่ใช่ ยอมรับความจริงไม่ได้ แล้วมีอารมณ์ มาด่าถอว่า กล่าว โดยปราศจากเหตุผล อันนี้ไม่ควร ต่อไปผมจะ แสดงการวิเคราะห์ พิจารณา ตามความจริงที่ผมเห็น อย่างตรงไปตรงมา ด้วยเหตุผล เพราะกระทู้ เก่าโดนใครลบไปอย่างน่าเสียดาย ( ไม่น่าไปกินข้าวนานเลย แค่ 5 โมง ถึงเที่ยงคืนเอง )
เรื่อง ทศบารมี ผมจะไม่พูดในประเด็นว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเล่า ใครจะพูดในประเด็นเหล่านี้ ขอความกรุณาเชิญกระทู้อื่น แต่ผมจะมาวิเคราะห์ ว่า บารมี คืออะไร ใช่พลังงาน ที่ต้อง สะสม สิบชาติ จึงตรัสรู้ไหม ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ แล้ว บารมี เป็นสิ่งช่วยให้ตรัสรู้ไหม ผมตอบเลยว่าใช่ ฟังแบบนี้ คงบอกว่าผมสับสน งงอะไรหรือเปล่า เพราะ
บารมี นั้นก็คือ ประสบการณ์ ประสบการณ์นั้นสะสมได้ ประสบการณ์ จะต้องถูกทั้งหมดไหมประสบการณ์จะได้มาจากการทำดีทั้งหมดไหมไม่จำเป็น ประสบการณ์ก็คือ การลองผิดลองถูก กว่าจะสำเร็จ เป็น พระพุทธเจ้า ลองผิดลองถูกไม่รู้เท่าไร ไม่มีที่ไหนเลยในพุทธประวัติ ที่บอกว่า สะสมพลังงาน แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ ( พวกนี้เป็นความเชื่อที่ถูกสอดแทรกเข้ามา ประมาณหวังดีประสงค์ร้าย เพราะ ถ้าใครไปบ้าจี้หลงเชื่อตามนี้ ก็จะเอาทางสายกลาง ที่ทรงลำบากลำบนค้นพบ ไปทิ้งทะเล แล้ว เอาการสะสมพลังงานบารมีมาแทน ในฐานะ ศิษตถาคต คุณว่าแย่ไหมละ ควรจะต้องมาถกเรื่องนี้ไหมละ ) แต่ บารมี ที่แท้ คือ ประสบการณ์ จากการลองผิดลองถูก ในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัทถะ ก็ลองผิดไปตั้งหลายครั้ง หลายสำนัก ถ้าเราเรียกการลองผิดว่า โง่ เจ้าชายสิทธทัถะ ก็เคยโง่ ถึงขนาด นั่งทรมานตัวเองเจ็ดปี โดยไม่ได้อะไรเลย
อาจจะมีบางคนรับไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้ ว่าเจ้าชายสิทถัทถะ เคยโง่ เคยลองผิด อันนี้เป็นเรื่องที่คุณ ต้องไปฝึกจิตตัวเอง และการที่ผม แสดงแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เคารพ พระพุทธเจ้า แต่เพราะ เคารพ จึงต้องพูดแรง แบบนี้ เพื่อให้ สัจจธรรม ที่ท่านได้ทรงค้นพบที่ท่านลำบากลองผิดลองถูก ไม่หายไปหรือ ถูก บิดเบือน ไปกับการยกย่อง ที่ปราศจากปัญญา เพราะ ถ้าคนเรามีสติ ปราศจาก อคติ ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้ ลบลู่ ก้จะรู้ว่าผมหวังดี เพราะถ้าผมไม่กล้าพูด ปล่อยให้ ยกย่อง กัน แบบหลอกตัวเอง ตอนเจ้าชาย สิททัธถะ ลองผิด กำลังโง่ ทรมานตัวเอง 7 ปี ก็จะมาหลอกตัวเองว่า เพราะ เจ้าชายต้องใช้กรรม ก่อน ตรัสรู้ ซึ่งพูดแบบนี้มันไม่มีเหตุผล เป็นการทำลายศาสนา
คุณลองคิดดู ถ้ามีคนใช้เหตุผลหลอกตัวเองแบบนี้กับเรื่อง องคุลีมาร จะเป็นไง ประมาณ ว่า คน 999 คนที่องคุลีมารฆ่า เป็นปีศาจ ถ้าไม่โดน อุคุลีมารฆ่า จะเกิดหายนะ ฉะนั้น องคุลีมาร ตอนฆ่าคน 999 คน จึงเป็นการสะสมบารมี พอฆ่า ครบ 999 คนก็เลยได้เจอพระพุทธเจ้า ( ไม่รู้มีใครหลอกตัวเองแบบนี้หรือเปล่า ผมยกตัวอย่างเฉยๆ อย่าบ้าไปเชื่อตามละ )
เรื่องพระเวสสันดรก้เหมือนกัน ผมได้ข้อคิดอีกมุมหนึ่งผมก็นำมาเสนอ ผมไม่ได้ลบลู่ พุทธศาสนา ไม่ได้ทำลาย ศาสนา ตรงไหนเลย แต่มันไปจี้ใจดำคนที่กำลัง หลง กำลังงมงาย กำลังยึดติด คนเหล่านี้ จึงเกิดอารมณ์ มาด่าท่อ ตามแรงของตัวตน ที่ถูกความจริงจี้ ใจดำ มันไม่อยากยอมรับความจริง ตัวตนที่ยึดติด มันเลย แสดง อาการต่อต้าน ด้วยอารมณ์โกรธ ด่าท่อ แบบไม่มีเหตุผล
เพราะ กระทู้เก่าที่แสดง ผมได้แสดงไว้ว่า การที่พระเวสสันดร ไม่ได้ตรัสรู้ แม้จะละ ได้ทุกอย่าง ทั้ง ทรัพย์สิน ลูกเมีย ชีวิต แต่ ท่านละ ความยึดมั่นถือมั่น ในการให้ไม่ได้ ท่านจึงไม่ตรัสรู้ ไม่เหมือน เจ้าชายสิทถัทธะ ที่เจอทางสายกลาง ความพอดี เลยตรัสรู้
ซึ่งเหตุผลที่ผมได้ แสดงไป มันสมบูรณ์ด้วยเหตุ และผล เป็นข้อคิดที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่คนที่ยึดติดกับการยกย่อง เคยชินกับความงมงาย อ่านแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะแย้ง จะยอมรับความจริงตัวตนที่ยึดติด ก็เยอะ มันเลยหาทางออก โดยการด่าท่อ ว่ากล่าวผม เพื่อให้ตัวเองได้หลอกตัวเองต่อไป เพราะความจริงมันเสียดแทง ซึ่งผมเข้าใจ และ ไม่โกรธ มีแต่ความเห็นใจ
สุดท้าย จึงอยากจะสรุป ว่า บารมีทั้ง 10 ( ประสบการณ์ทั้ง 10 ) ทั้งการให้ ขันติ ความพยายาม ปัญญา กตัญญู ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้คนเหล่า ตรัสรู้พ้นทุกข์ได้ แต่ก็เช่นเดียวกัน การที่ไปยึดติดสิ่งใด จนสุดโต่ง สิ่งนั้นก็ย่อมเกิดโทษเป็นธรรมดา แม้แต่การให้ ที่ดูแล้ว น่าจะมีแต่คุณ ไม่มีโทษ แต่ถ้าเรายึดติดจนสุดโต่ง โทษก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ในชาดก เรื่อง พระเวสสันดร ทั้ง พ่อแม่ ลูกเมีย อานาประชาราษ ต่างเดือดร้อน เพราะความยึดมั่นถือมั่น จนสุดโต่งของพระเวสสันดร
" แม้หว่านพืชชนิดใดย่อมได้ผลชนิดนั้น แต่ถ้าไม่มีทางสายกลาง ธรรมแห่งความพอดีมากำกับ ปล่อยให้สุดโต่ง ไปกับความไม่รู้ ความงมงาย ความเชื่อ แม้จะ หว่านพืช เท่าใดก็อาจไม่ได้ผลเลย เช่น มีที่ นา หนึ่งไร่ หว่านเมล็ดข้าว หนึ่งกำมือ ย่อมได้ต้นข้าว หนึ่งกำมือ แต่ถ้า หว่าน เมล็ดข้าว ล้านกำมือ จนท่วมทุ่งนา ก็จะหามี ต้นข้าวแม้สักหนึ่งตน งอกออกมาจาก นาพื้นนั้น "