ใครที่เพิ่งเข้ามาภาคนี้เลยก็ขอให้เข้าใจว่า เรื่องราวของเจนถูกเขียนเล่ามาเป็นตอนๆ ตอนแรกเล่าให้ทราบว่าเจนเป็นคนมาจากไหน มีภูมิหลังเบื้องต้นเป็นยังไง แล้วมีความฝันอยากจะทำอะไร ภาคที่สองคือการเล่าเรื่องชีวิตที่ต้องขวนขวายให้ได้สิ่งที่ต้องการ การผลักดันตัวเองให้เดินทางตามความฝัน ส่วนภาคนี้ก็จะเป็นภาคต่อจากตอนที่แล้วนะคะ หากแต่ว่าจะเน้นไปที่การทำงานจากตีนเขาสู่ยอดเขา อยากให้ท่านที่ยังไม่ได้อ่านภาคที่ 1 และ 2 สละเวลาไปอ่านภาคดังกล่าว ก่อนจะข้ามตอนมาที่ภาคนี้ เพื่อความสนุกสนานอย่างลึกซึ้ง เพราะอาจจะมีบางช่วงที่มีการพาดพิงถึงบทบาทที่ผ่านมา
ส่วนในเรื่องของภาษาก็อย่างที่ได้แจ้งให้ทราบอยู่เป็นประจำ ว่าเจนจะใช้ภาษาค่อนข้างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา คิดจากสมองอย่างไรก็ถ่ายทอดออกไปอย่างนั้น ขออภัยหากอักขระ พยัญญชนะ สะกดพลาดไปบ้าง เนื่องจากไม่ได้ทำการตรวจทานหลายสิบรอบซึ่งอาจจะทำให้มีเล็ดลอดให้ได้เห็นบ้าง รวมถึงมีการนำคำแสลง คำผสมมาใช้ให้ตรงตามสมัยบ้าง อย่างไรก็ดีเจนคงเอาใจผู้อ่านได้ไม่ครบทุกท่าน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่ที่สำคัญ เจนซึ่งเป็นผู้เขียน เขียนด้วยความสนุกที่อยากจะแบ่งปันคะ.... หากพร้อมกันแล้ว...เราไปต่อภาคที่ 3 กันเลยนะคะ
คือด้วยความที่เจนทำงานมาตั้งแต่เล็กๆนะ ทำงานตั้งแต่อายุสิบขวบละ เริ่มจากช่วยคุณย่าขายของในตลาดสด คือเก็บผักสดตามรั้วแถวบ้านไปนั่งขายที่ตลาดหัวรถไฟที่โคราชอ่ะคะ คือเราไม่ได้มีแผงขายของนะ ก็เอาผ้าร่มปูกับพื้นแล้วก็เอาผักมากองๆขายอ่ะคะ สมัยนั้นยังเป็นเด็กมากแต่ก็ได้เรียนรู้การบอกราคา รับเงิน นับเงิน ทอนเงินนะ ถามว่าอายไหมตอนนั้น ไม่ค่อยรู้เรื่องคะเพราะเด็กมาก รู้แต่ว่าคุณย่าให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพราะคุณพ่อไปเย็บผ้าที่ซาอุ ส่วนแม่ไปลองงานเย็บผ้าที่บาห์เรน อยู่กับคุณย่าก็ต้องเชื่อฟังคะ เจนก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่อายทำกินนะ คุณย่าก็สอนมาดีมากคะให้รู้จักทำมาหากินตั้งแต่เล็กๆ อีกอย่าง…มันอายไม่ได้อ่ะ เพราะถ้าอายก็ไม่มีกิน
พอโตหน่อยระหว่างเรียนก็รับงานพิเศษแหละ เป็นนักร้องในร้านอาหารเพื่อนบ้าง (อย่ารีเควสให้ร้องเพลงนะ อายมาก ร้องไม่ดีเลยอาศัยกระแดะไง เต้นๆย้วยๆ ได้แล้วนะ ทิปร้อยสองร้อย สมัยนั้นหรูแล้ว ตอนอายุ 15-16) เป็นดีเจคาราโอเกะบ้าง ดึกๆกลับบ้านพ่อต้องคอยไปรับทุกคืนตีหนึ่งตีสอง (พ่อกลับมาจากซาอุฯแล้ว) บางทีก็รับงานเป็นพิธีกรตามงานวัด งานบุญแถวบ้าน แล้วก็ตามห้างอ่ะ เพราะเรียนนิเทศศาสตร์มาชิมิ เขาสอนให้ “ปากดี” อ่ะ ปากดีในที่นี้คือให้รู้จักใช้ปากทำมาหากินนะ ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏโคราช ก็เป็นพิธีกรตลอดละ เพราะเป็นคนช่างพูดช่างเจรจราอ่ะนะคะก็ทำมาตลอด ส่วนตอนปิดเทอมก็หาเจนเจอได้ที่แม็คโดนอลนะ คือเด็กคนอื่นเขาไปกินนะ แต่เด็กคนนี้ไปทำงานอ่ะ เจนจะแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องสต็อกเก็บของบ่อยๆ ว่าทำไมเราต้องมาทำงานในขณะที่เด็กคนอื่นเขาไปเที่ยวเล่นกัน แอบน้อยใจที่เกิดมาเป็นลูกคนจนนะ ออกมาจากห้องเก็บของทีก็ตาแดงที แต่พอถึงสิ้นเดือนนะ ได้เงินเดือนแล้วความคิดน้อยใจมันก็หายไปอ่ะ มันมีความภาคภูมิใจมาแทนที่ ให้เงินเดือนแม่ตลอด ได้ออกไปซื้อของที่อยากได้โดยไม่เดือดร้อนพ่อแม่นะ มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจนพยายามหางานดีๆ เงินเดือนดีๆสมัยที่ทำงานในกรุงเทพฯนะ คือคิดว่าพอแล้วไง ไม่อยากกลับไปลำบากแล้ว ทะเยอทะยาน อยากได้งานที่ดีกว่าเดิมเสมอและก็ได้ทำงานดีๆหลังจากเรียนจบ คือเอามันจนได้อ่ะ
ที่เล่าย้อนไปแบบนี้เพราะอยากให้เข้าใจตัวเจนมากขึ้นว่าโตมาแบบนี้ ธรรมชาติเจนเป็นคนหนักเอาเบาสู้ คือไม่ได้มีทางเลือกนะ ชีวิตมันบังคับให้เป็นแบบนี้เอง พอมาอเมริกานะมันเลยไม่กลัวความลำบากไง ไม่มีเลย แต่ก็อย่างว่านะตอนทำงานในกรุงเทพฯได้งานดีๆไง ที่นี่…ซานฟรานซิสโกอ่ะ…พอต้องกลับไปเสริฟอีก ไปดีลกับคนเมาหรือคนบ้าบางทีมันก็มีปรี๊ดแตกนะ ด้วยความที่เจนก็มี “อีโก้” ในตัวสูงไง คือคิดว่า “ชั้ลผ่านอะไรมาเยอะ ทำงานดีๆ ดีลกับผู้บริหารมา ทำไมชั้ลต้องมาเสิรฟแกยะ ทำไมชั้นต้องมาเป็นลูกน้องแกอ่ะ” อะไรทำนองนี้อ่ะ แต่ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติและความคิดด้านลบไปคะ ที่นี่จะประมาณว่า “คุณเคยเป็นอะไรทำอะไรมาจากเมืองไทย แล้วยังไงเรอะ? ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิ เราเรียกเด็กไทยคนอื่นที่เขาอีโก้น้อยกว่าคุณมาทำก็ได้” เจนก็ต้องปรับนะ จะไปยืนกร่างกระแดะหัวชนฝาไม่ได้ เราก็ต้องเอาความคิดบางส่วนของเราพับเก็บไว้ในตู้ที่ห้องพักอ่ะ อยากได้เงินก็ต้องทำงาน อยากได้งานก็ต้องทำใจ มันมีอยู่เท่านี้เอง Very simple
เวลาทำงานกับฝรั่งเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองนะ จะมัวเสริฟไปเช็คไอโฟนไปมันไม่ได้! เขาด่าเอานะคะ ที่พูดแบบนี้ได้เพราะโดนด่ามาแล้ว ขนาดเช็คในครัวยังไม่ได้เลย คือเวลางานเราก็ต้องลุยเต็มที่ เจนโดนด่าครั้งเดียวก็จำไปตลอด ไม่เคยแตะโทรศัพท์อีกเลยเวลาที่ทำงานที่ร้านเบียร์ฝรั่ง เพราะกลัวโดนไล่ออกไง คือทำงานที่นี่จะได้เงินดีมาก (ในความคิดเจนนะ) คือไม่ต่ำกว่า$100 เหรียญ เฉลี่ยจะตกอยู่ประมาณ $150 เดือนนึงทำอยู่ประมาณ 20วัน คูณไปสิ คือเป็นรายได้หลักของเจนนะที่ร้านเบียร์เนี่ย โดนโขลกสับก็ต้องทน คือที่นี่ต้อง thick skin อ่ะคะ (แปลว่าหนังหนา หน้าด้าน ทนทาน ไร้ความรู้สึก) คนเมาก็เยอะ มันจะแบบร็อคๆหน่อย ทีแรกเพื่อนฝรั่งเขาไม่คิดว่าเจนจะอยู่ทนทำได้นานนะ เพราะเจนตัวเล็กๆชิมิ…อ้อนแอ้น พูดเบาๆอ่ะ เขาก็คิดว่าโดนฝรั่งเมาๆ พูดจาบ้าๆหน่อยใส่ จนคงไม่สู้อ่ะ เสริฟเบียร์ทีละสิบแก้วต่อถาด มันหนักนะ แก้วเบียร์ที่นี่มันไม่ใช่แก้วจุ๋มจิ๋มน่ารักแบบบ้านเราอ่ะ รับออร์เดอร์ทีละสิบหรือมากกว่า สมองจะจำได้ไหม? บางทีเชฟเมาอยู่หลังครัว ก็ต้องเข้าไปทำอาหารมาเสริฟเองให้ได้ อะไรทำนองนี้ เพราะไปเร่งกับเชฟมากไม่ได้ ที่นี่มันจะ “มาเฟีย” หน่อยๆนะ มันค่อนข้างจะ hard rock มากๆ เวลาเข้าไปรับอาหารทีก็ต้องเหลือบๆมองดูว่าเขาทำเบอร์เก้อยังไง ทอดไก่แบบไหน จัดจานแต่งยังไง เพราะเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เชฟจะเมาแอ๋แล้วต้องเข้ามาทำเอง แต่ก็ต้องทนคะ อยู่ทำจนรอด เพราะเจนคิดว่าที่นี่เงินมันดีที่สุดนะ บางทีในขณะที่พนักงานฝรั่งคนอื่นๆเขาเข้าไปเล่นยากันหลังร้าน เวลาเขาชวนเราก็ต้องใจแข็งนะ ต้องกล้าเลี่ยง ต้องหาวิธี คืออย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีนะเพื่อนๆที่ร้านเบียร์นิสัยดีกันทุกคนคะ เพียงแต่เขาจะเป็นกลุ่มคนอีกประเภทอ่ะ พวกที่ใช้ชีวิตแบบเต็มสตรีมไม่มีกั๊ก แบบที่เราเห็นในหนังอ่ะ พวกนักเลงนิสัยดีอะไรทำนองนั้น เจนเป็นเอเชียคนเดียวในร้านที่เขารับทำงานนะ เพราะเจ้าของแอนไทน์(anti)เอเชียคะ เขากลัวว่าเอเชียคงทำงานที่ร้านเขาไม่ได้ คงกลัวเรื่องภาษาและอาการอ่อนปวกเปียกไม่ทันใจ เจนโชคดีที่เพื่อนเป็นเมเนเจอร์ที่นั่น หาทางให้เราเข้าไปทำ ส่วนที่เหลือเจนก็ต้องหาทางที่จะรักษางานไว้เอง ก็ทำอยู่ตั้งปีนึงนะก่อนที่จะลาออกมาเรียนต่อคะ คือที่ยกตัวอย่างงานที่นี่มาเล่าให้ฟังเพราะเป็นอะไรที่โหดเอาการอยู่ อย่างร้านไทยถึงจะหนักบ้างแต่เราก็คุยกันได้ภาษาเดียวกัน งานโรงแรมก็ค่อนข้างสิวิไลซ์หน่อย เจอแขกขี้เมาชวนขึ้นห้องก็แค่นั้น จิ๊บๆ ด่าไป ไล่ขึ้นห้องไปก็จบ คนจรจัดเข้ามานอนในล็อบบี้ก็เรียกตำรวจมาจัดการ ที่ร้านเบียร์เห็นจะเป็นอะไรที่มีคาแร็คเตอร์ที่สุดแล้ว อีกทั้งยังทำงานกับอเมริกันและคนอังกฤษล้วนๆ แต่ละคนก็มีคาแร็คเตอร์ที่สุดยอดกันทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมถึงลูกค้าที่เข้ามาในร้านที่มาจากททั่วทุกมุมโลกนะ เพราะร้านเบียร์ที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ fisherman's wharf แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของซานฟรานซิสโก ร้านเบียร์ที่ว่านี่ชื่อ Jack’s Bar มันอยู่แถวๆตึก Cannery นะ ใครมีโอกาสไปก็ลองไปแถวๆนั้นก็แวะไปดื่มเบียร์ชิลล์ๆที่นั่นดูนะคะ มันมีทั้งนั่งในร้านและนั่งนอกร้านอ่ะ เขามีเบียร์จากทั่วโลกให้เลือกร้อยกว่าชนิดได้
ขอจบเรื่องงานไว้เท่านี้ก่อน เพราะชีวิตในซานฟรานซิสโกมันมีมากมายหลายส่วนเหลือเกินที่อยากเล่าให้ได้แบ่งปัน มาถึงตรงนี้ก็ขอผลัดบทไปถึงตอนการเช่าบ้านอยู่ การหาบ้านและเพื่อนร่วมชายคา หลายๆคนสงสัยว่าจะหาบ้านเช่าอะไรยังไงให้ได้ถูกใจที่สุด คำตอบก็คือต้องศึกษาและให้เวลากับมันพอสมควร อย่ารวบรัดตัดตอนหรือแร่งมากเกินไป อย่างเจนก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนหาบ้านที่ถูกใจนะ ทีนี้ถามว่าหายังไงหนะเหรอ… มันไม่ยากอย่างที่ใครๆคิดนะ คงเป็นเพราะเจนเป็นคนคิดบวกอ่ะ มันเลยไม่คิดว่าจะมีอะไรยากเกินความสามารถ ประกอบกับเป็นคนที่ค่อนข้าง tech savvy นะ หมายความว่าคล่องแคล่วในการค้นหาข้อมูลจากอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแบบนั้น จริงๆแล้วควรจุดธูปทำบายศรีกราบขอบพระคุณอากู๋นะ อากู๋ของเจนเนี่ยไม่ใช่เจ้าของแกรมมี่นะ แต่เป็นอากู๋ กูเกิ้ลต่างหาก google ทำให้ชีวิตในต่างแดนของเจนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมากๆ ที่หาบ้านเจอก็เพราะ social network ในอินเตอร์เนตนี่ละ เจนก็เสาะหานะว่าที่ไหนเขามีกลุ่มคนอินเตอร์รวมตัวกันในซานฟรานซิสโกกันบ้าง เจนก็ไปเจอกลุ่มที่เรียกว่า International People In San Francisco ในเฟสบุคนะ แล้วก็ไปโพสหาบ้านทิ้งไว้แหละ สักพักบ้านก็ตามหาเจนจนเจอเอง
มาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องไปหาบ้านตามกลุ่มคนต่างชาติ กลุ่มคนที่เจนว่านี่ไม่ใช่แค่ Americans นะ แต่มันรวมทุกชาติเลยละ คนที่โยกย้ายกันมาจากทั่วโลกอ่ะ เช่นจากเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย เซ้าท์แอฟริกา หรือมุมต่างๆจากอเมริกาเองก็ตาม เหตุผลง่ายๆเลยก็คือ เจนต้องการจะอยู่กับกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตคล้ายๆกันนะ คนที่เดินทางมาจากมุมต่างๆของโลกแล้วมาอยู่ที่ซานฟรานเนี่ย แปลว่าเขามีความฝันอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นนักเดินทาง และมีมุมมองในชีวิตที่คล้ายๆกัน เจนมีเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า หากเราต้องการมีแรงบันดาลในการใช้ชีวิต เราควรที่จะเสาะแสวงหาแรงบันดาลใจนั้นๆด้วยการอยู่รายล้อมบุคคลหรือสถานที่ ที่ทำให้เรามีความสุข มีไฟในการทำงาน และรู้ซึ้งถึงคุณค่าในแต่ละวัน นั่นละคะเหตุผลที่ทำให้เจนเลือกคบเพื่อน เลือกเพื่อนร่วมชายคา เล่าต่อเลยว่าบ้านที่เจนเลือกเข้าไปอยู่เนี่ยมีคนที่อยู่ก่อนแล้วอยู่ 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ผู้ชายเนี่ยเขาเป็นชาวอเมริกันนะ ชื่อ ฮิว อายุประมาณ 42 ได้ละ (ตอนนี้เค้าคง 46 ละ) ฮิวเป็นเกย์ ก็อย่างที่ทุกคนรู้นะคะว่าซานฟรานเป็นเมืองที่มีเกย์มากที่สุดในโลกอ่ะ เจนเป็นคนที่ไม่เหยียดเพศนะ ตรงกันข้ามจะชื่นชมเหล่าเพื่อนเกย์มักมากก เพราะเพศนี้เป็นเพศที่เต็มไปด้วยความสามารถ รสนิยม และความคิดสร้างสรรค์ อย่างฮิวเนี่ย...ไม่ใช่เกย์ฝรั่งขี้นกนะ เป็นผู้ใหญ่ คลาสซี่ นิสัยดีที่สุดอ่ะ ส่วนผู้หญิงเป็นชาวเดนมาร์ค ชื่อชาลอทท่าร์ อายุ 36 ชาลอทท่าร์ก็ตรงกันข้ามกับฮิวอ่ะ ไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนนะแต่นิสัยแบบสนุกโปกฮาก๋ากั่นมากกก เจนตอนย้ายเข้าไปอายุ 31 ก็เป็นน้องนุชคนสุดท้องในบ้านเลยนะ
ทีนี้เนี่ยการอยู่ร่วมกับฝรั่งมันก็เป็นเรื่องท้าทายมากเหมือนกันนะ อย่างนักเรียนไทยหรือคนไทยหลายๆคนที่เขาย้ายมาเมืองนอกอ่ะ เขาก็จะจับกล่มกันไว้นะ เช่าห้อง เช่าบ้าน ที่พักก็พักอยู่กับคนไทย ทำงานร้านอาหารก็ร้านอาหารไทย คือส่วนใหญ่เขาจะจับกลุ่มกัน ซึ่งส่วนตัวเจนแล้วก็จะแตกต่างออกไป คือเจนเลือกชัดเจนเลยว่าอยากอยู่กับฝรั่ง เพราะภาษาเราจะพัฒนารวดเร็วกว่า ทำอะไรก็ต้องฉายเดี่ยวไงไม่มีเพื่อนคนไทยคอยช่วยเหลือนะ เพราะฝรั่งเขาจะแบบว่า "ยูโตแล้ว ยูก็เรียนรู้ทำเองสิ" อันนี้เจนก็บ่นไม่ได้เพราะเลือกเอง สุดท้ายถามว่ามีเพื่อนคนไทยในซานฟรานซิสโกที่สนิทกันจริงๆมากไหมก็ตอบว่าไม่มากนะ แต่ก็รู้จักกัน ทักกันเพียงแต่ไม่ได้สุงสิงมากมายอ่ะ เจนมีนิสัยที่ค่อนข้างจะแอนไทโซเชียลนิดๆ (anti social) คือเจนรู้สึกไม่ขาดอะไรแล้วไง ผ่านมาหมดแล้วนะ ปาร์ตี้ เที่ยวผับเที่ยวบาร์ จับกลุ่มเม้ามอย คือตอนนี้ให้ไปทำอะไรแบบนั้นบ่อยๆก็ไม่สนุกแล้ว เป้าหมายในชีวิตเรามันก็เปลี่ยนไปแล้ว เจนรู้สึกว่าเวลาในชีวิตเรามันสั้นนะ เจนอยากจะใช้มันอย่างมีคุณค่าอ่ะ
ติดตามเป็นแฟนเพจเจนได้ที่
http://www.facebook.com/Jennitaswork นะคะ
อเมริกาเจ้าขา - ชีวิตป้าเจน ภาค 3
ส่วนในเรื่องของภาษาก็อย่างที่ได้แจ้งให้ทราบอยู่เป็นประจำ ว่าเจนจะใช้ภาษาค่อนข้างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา คิดจากสมองอย่างไรก็ถ่ายทอดออกไปอย่างนั้น ขออภัยหากอักขระ พยัญญชนะ สะกดพลาดไปบ้าง เนื่องจากไม่ได้ทำการตรวจทานหลายสิบรอบซึ่งอาจจะทำให้มีเล็ดลอดให้ได้เห็นบ้าง รวมถึงมีการนำคำแสลง คำผสมมาใช้ให้ตรงตามสมัยบ้าง อย่างไรก็ดีเจนคงเอาใจผู้อ่านได้ไม่ครบทุกท่าน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่ที่สำคัญ เจนซึ่งเป็นผู้เขียน เขียนด้วยความสนุกที่อยากจะแบ่งปันคะ.... หากพร้อมกันแล้ว...เราไปต่อภาคที่ 3 กันเลยนะคะ
คือด้วยความที่เจนทำงานมาตั้งแต่เล็กๆนะ ทำงานตั้งแต่อายุสิบขวบละ เริ่มจากช่วยคุณย่าขายของในตลาดสด คือเก็บผักสดตามรั้วแถวบ้านไปนั่งขายที่ตลาดหัวรถไฟที่โคราชอ่ะคะ คือเราไม่ได้มีแผงขายของนะ ก็เอาผ้าร่มปูกับพื้นแล้วก็เอาผักมากองๆขายอ่ะคะ สมัยนั้นยังเป็นเด็กมากแต่ก็ได้เรียนรู้การบอกราคา รับเงิน นับเงิน ทอนเงินนะ ถามว่าอายไหมตอนนั้น ไม่ค่อยรู้เรื่องคะเพราะเด็กมาก รู้แต่ว่าคุณย่าให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพราะคุณพ่อไปเย็บผ้าที่ซาอุ ส่วนแม่ไปลองงานเย็บผ้าที่บาห์เรน อยู่กับคุณย่าก็ต้องเชื่อฟังคะ เจนก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่อายทำกินนะ คุณย่าก็สอนมาดีมากคะให้รู้จักทำมาหากินตั้งแต่เล็กๆ อีกอย่าง…มันอายไม่ได้อ่ะ เพราะถ้าอายก็ไม่มีกิน
พอโตหน่อยระหว่างเรียนก็รับงานพิเศษแหละ เป็นนักร้องในร้านอาหารเพื่อนบ้าง (อย่ารีเควสให้ร้องเพลงนะ อายมาก ร้องไม่ดีเลยอาศัยกระแดะไง เต้นๆย้วยๆ ได้แล้วนะ ทิปร้อยสองร้อย สมัยนั้นหรูแล้ว ตอนอายุ 15-16) เป็นดีเจคาราโอเกะบ้าง ดึกๆกลับบ้านพ่อต้องคอยไปรับทุกคืนตีหนึ่งตีสอง (พ่อกลับมาจากซาอุฯแล้ว) บางทีก็รับงานเป็นพิธีกรตามงานวัด งานบุญแถวบ้าน แล้วก็ตามห้างอ่ะ เพราะเรียนนิเทศศาสตร์มาชิมิ เขาสอนให้ “ปากดี” อ่ะ ปากดีในที่นี้คือให้รู้จักใช้ปากทำมาหากินนะ ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏโคราช ก็เป็นพิธีกรตลอดละ เพราะเป็นคนช่างพูดช่างเจรจราอ่ะนะคะก็ทำมาตลอด ส่วนตอนปิดเทอมก็หาเจนเจอได้ที่แม็คโดนอลนะ คือเด็กคนอื่นเขาไปกินนะ แต่เด็กคนนี้ไปทำงานอ่ะ เจนจะแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องสต็อกเก็บของบ่อยๆ ว่าทำไมเราต้องมาทำงานในขณะที่เด็กคนอื่นเขาไปเที่ยวเล่นกัน แอบน้อยใจที่เกิดมาเป็นลูกคนจนนะ ออกมาจากห้องเก็บของทีก็ตาแดงที แต่พอถึงสิ้นเดือนนะ ได้เงินเดือนแล้วความคิดน้อยใจมันก็หายไปอ่ะ มันมีความภาคภูมิใจมาแทนที่ ให้เงินเดือนแม่ตลอด ได้ออกไปซื้อของที่อยากได้โดยไม่เดือดร้อนพ่อแม่นะ มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจนพยายามหางานดีๆ เงินเดือนดีๆสมัยที่ทำงานในกรุงเทพฯนะ คือคิดว่าพอแล้วไง ไม่อยากกลับไปลำบากแล้ว ทะเยอทะยาน อยากได้งานที่ดีกว่าเดิมเสมอและก็ได้ทำงานดีๆหลังจากเรียนจบ คือเอามันจนได้อ่ะ
ที่เล่าย้อนไปแบบนี้เพราะอยากให้เข้าใจตัวเจนมากขึ้นว่าโตมาแบบนี้ ธรรมชาติเจนเป็นคนหนักเอาเบาสู้ คือไม่ได้มีทางเลือกนะ ชีวิตมันบังคับให้เป็นแบบนี้เอง พอมาอเมริกานะมันเลยไม่กลัวความลำบากไง ไม่มีเลย แต่ก็อย่างว่านะตอนทำงานในกรุงเทพฯได้งานดีๆไง ที่นี่…ซานฟรานซิสโกอ่ะ…พอต้องกลับไปเสริฟอีก ไปดีลกับคนเมาหรือคนบ้าบางทีมันก็มีปรี๊ดแตกนะ ด้วยความที่เจนก็มี “อีโก้” ในตัวสูงไง คือคิดว่า “ชั้ลผ่านอะไรมาเยอะ ทำงานดีๆ ดีลกับผู้บริหารมา ทำไมชั้ลต้องมาเสิรฟแกยะ ทำไมชั้นต้องมาเป็นลูกน้องแกอ่ะ” อะไรทำนองนี้อ่ะ แต่ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติและความคิดด้านลบไปคะ ที่นี่จะประมาณว่า “คุณเคยเป็นอะไรทำอะไรมาจากเมืองไทย แล้วยังไงเรอะ? ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิ เราเรียกเด็กไทยคนอื่นที่เขาอีโก้น้อยกว่าคุณมาทำก็ได้” เจนก็ต้องปรับนะ จะไปยืนกร่างกระแดะหัวชนฝาไม่ได้ เราก็ต้องเอาความคิดบางส่วนของเราพับเก็บไว้ในตู้ที่ห้องพักอ่ะ อยากได้เงินก็ต้องทำงาน อยากได้งานก็ต้องทำใจ มันมีอยู่เท่านี้เอง Very simple
เวลาทำงานกับฝรั่งเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองนะ จะมัวเสริฟไปเช็คไอโฟนไปมันไม่ได้! เขาด่าเอานะคะ ที่พูดแบบนี้ได้เพราะโดนด่ามาแล้ว ขนาดเช็คในครัวยังไม่ได้เลย คือเวลางานเราก็ต้องลุยเต็มที่ เจนโดนด่าครั้งเดียวก็จำไปตลอด ไม่เคยแตะโทรศัพท์อีกเลยเวลาที่ทำงานที่ร้านเบียร์ฝรั่ง เพราะกลัวโดนไล่ออกไง คือทำงานที่นี่จะได้เงินดีมาก (ในความคิดเจนนะ) คือไม่ต่ำกว่า$100 เหรียญ เฉลี่ยจะตกอยู่ประมาณ $150 เดือนนึงทำอยู่ประมาณ 20วัน คูณไปสิ คือเป็นรายได้หลักของเจนนะที่ร้านเบียร์เนี่ย โดนโขลกสับก็ต้องทน คือที่นี่ต้อง thick skin อ่ะคะ (แปลว่าหนังหนา หน้าด้าน ทนทาน ไร้ความรู้สึก) คนเมาก็เยอะ มันจะแบบร็อคๆหน่อย ทีแรกเพื่อนฝรั่งเขาไม่คิดว่าเจนจะอยู่ทนทำได้นานนะ เพราะเจนตัวเล็กๆชิมิ…อ้อนแอ้น พูดเบาๆอ่ะ เขาก็คิดว่าโดนฝรั่งเมาๆ พูดจาบ้าๆหน่อยใส่ จนคงไม่สู้อ่ะ เสริฟเบียร์ทีละสิบแก้วต่อถาด มันหนักนะ แก้วเบียร์ที่นี่มันไม่ใช่แก้วจุ๋มจิ๋มน่ารักแบบบ้านเราอ่ะ รับออร์เดอร์ทีละสิบหรือมากกว่า สมองจะจำได้ไหม? บางทีเชฟเมาอยู่หลังครัว ก็ต้องเข้าไปทำอาหารมาเสริฟเองให้ได้ อะไรทำนองนี้ เพราะไปเร่งกับเชฟมากไม่ได้ ที่นี่มันจะ “มาเฟีย” หน่อยๆนะ มันค่อนข้างจะ hard rock มากๆ เวลาเข้าไปรับอาหารทีก็ต้องเหลือบๆมองดูว่าเขาทำเบอร์เก้อยังไง ทอดไก่แบบไหน จัดจานแต่งยังไง เพราะเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เชฟจะเมาแอ๋แล้วต้องเข้ามาทำเอง แต่ก็ต้องทนคะ อยู่ทำจนรอด เพราะเจนคิดว่าที่นี่เงินมันดีที่สุดนะ บางทีในขณะที่พนักงานฝรั่งคนอื่นๆเขาเข้าไปเล่นยากันหลังร้าน เวลาเขาชวนเราก็ต้องใจแข็งนะ ต้องกล้าเลี่ยง ต้องหาวิธี คืออย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีนะเพื่อนๆที่ร้านเบียร์นิสัยดีกันทุกคนคะ เพียงแต่เขาจะเป็นกลุ่มคนอีกประเภทอ่ะ พวกที่ใช้ชีวิตแบบเต็มสตรีมไม่มีกั๊ก แบบที่เราเห็นในหนังอ่ะ พวกนักเลงนิสัยดีอะไรทำนองนั้น เจนเป็นเอเชียคนเดียวในร้านที่เขารับทำงานนะ เพราะเจ้าของแอนไทน์(anti)เอเชียคะ เขากลัวว่าเอเชียคงทำงานที่ร้านเขาไม่ได้ คงกลัวเรื่องภาษาและอาการอ่อนปวกเปียกไม่ทันใจ เจนโชคดีที่เพื่อนเป็นเมเนเจอร์ที่นั่น หาทางให้เราเข้าไปทำ ส่วนที่เหลือเจนก็ต้องหาทางที่จะรักษางานไว้เอง ก็ทำอยู่ตั้งปีนึงนะก่อนที่จะลาออกมาเรียนต่อคะ คือที่ยกตัวอย่างงานที่นี่มาเล่าให้ฟังเพราะเป็นอะไรที่โหดเอาการอยู่ อย่างร้านไทยถึงจะหนักบ้างแต่เราก็คุยกันได้ภาษาเดียวกัน งานโรงแรมก็ค่อนข้างสิวิไลซ์หน่อย เจอแขกขี้เมาชวนขึ้นห้องก็แค่นั้น จิ๊บๆ ด่าไป ไล่ขึ้นห้องไปก็จบ คนจรจัดเข้ามานอนในล็อบบี้ก็เรียกตำรวจมาจัดการ ที่ร้านเบียร์เห็นจะเป็นอะไรที่มีคาแร็คเตอร์ที่สุดแล้ว อีกทั้งยังทำงานกับอเมริกันและคนอังกฤษล้วนๆ แต่ละคนก็มีคาแร็คเตอร์ที่สุดยอดกันทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมถึงลูกค้าที่เข้ามาในร้านที่มาจากททั่วทุกมุมโลกนะ เพราะร้านเบียร์ที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ fisherman's wharf แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของซานฟรานซิสโก ร้านเบียร์ที่ว่านี่ชื่อ Jack’s Bar มันอยู่แถวๆตึก Cannery นะ ใครมีโอกาสไปก็ลองไปแถวๆนั้นก็แวะไปดื่มเบียร์ชิลล์ๆที่นั่นดูนะคะ มันมีทั้งนั่งในร้านและนั่งนอกร้านอ่ะ เขามีเบียร์จากทั่วโลกให้เลือกร้อยกว่าชนิดได้
ขอจบเรื่องงานไว้เท่านี้ก่อน เพราะชีวิตในซานฟรานซิสโกมันมีมากมายหลายส่วนเหลือเกินที่อยากเล่าให้ได้แบ่งปัน มาถึงตรงนี้ก็ขอผลัดบทไปถึงตอนการเช่าบ้านอยู่ การหาบ้านและเพื่อนร่วมชายคา หลายๆคนสงสัยว่าจะหาบ้านเช่าอะไรยังไงให้ได้ถูกใจที่สุด คำตอบก็คือต้องศึกษาและให้เวลากับมันพอสมควร อย่ารวบรัดตัดตอนหรือแร่งมากเกินไป อย่างเจนก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนหาบ้านที่ถูกใจนะ ทีนี้ถามว่าหายังไงหนะเหรอ… มันไม่ยากอย่างที่ใครๆคิดนะ คงเป็นเพราะเจนเป็นคนคิดบวกอ่ะ มันเลยไม่คิดว่าจะมีอะไรยากเกินความสามารถ ประกอบกับเป็นคนที่ค่อนข้าง tech savvy นะ หมายความว่าคล่องแคล่วในการค้นหาข้อมูลจากอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแบบนั้น จริงๆแล้วควรจุดธูปทำบายศรีกราบขอบพระคุณอากู๋นะ อากู๋ของเจนเนี่ยไม่ใช่เจ้าของแกรมมี่นะ แต่เป็นอากู๋ กูเกิ้ลต่างหาก google ทำให้ชีวิตในต่างแดนของเจนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมากๆ ที่หาบ้านเจอก็เพราะ social network ในอินเตอร์เนตนี่ละ เจนก็เสาะหานะว่าที่ไหนเขามีกลุ่มคนอินเตอร์รวมตัวกันในซานฟรานซิสโกกันบ้าง เจนก็ไปเจอกลุ่มที่เรียกว่า International People In San Francisco ในเฟสบุคนะ แล้วก็ไปโพสหาบ้านทิ้งไว้แหละ สักพักบ้านก็ตามหาเจนจนเจอเอง
มาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องไปหาบ้านตามกลุ่มคนต่างชาติ กลุ่มคนที่เจนว่านี่ไม่ใช่แค่ Americans นะ แต่มันรวมทุกชาติเลยละ คนที่โยกย้ายกันมาจากทั่วโลกอ่ะ เช่นจากเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย เซ้าท์แอฟริกา หรือมุมต่างๆจากอเมริกาเองก็ตาม เหตุผลง่ายๆเลยก็คือ เจนต้องการจะอยู่กับกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตคล้ายๆกันนะ คนที่เดินทางมาจากมุมต่างๆของโลกแล้วมาอยู่ที่ซานฟรานเนี่ย แปลว่าเขามีความฝันอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นนักเดินทาง และมีมุมมองในชีวิตที่คล้ายๆกัน เจนมีเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า หากเราต้องการมีแรงบันดาลในการใช้ชีวิต เราควรที่จะเสาะแสวงหาแรงบันดาลใจนั้นๆด้วยการอยู่รายล้อมบุคคลหรือสถานที่ ที่ทำให้เรามีความสุข มีไฟในการทำงาน และรู้ซึ้งถึงคุณค่าในแต่ละวัน นั่นละคะเหตุผลที่ทำให้เจนเลือกคบเพื่อน เลือกเพื่อนร่วมชายคา เล่าต่อเลยว่าบ้านที่เจนเลือกเข้าไปอยู่เนี่ยมีคนที่อยู่ก่อนแล้วอยู่ 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ผู้ชายเนี่ยเขาเป็นชาวอเมริกันนะ ชื่อ ฮิว อายุประมาณ 42 ได้ละ (ตอนนี้เค้าคง 46 ละ) ฮิวเป็นเกย์ ก็อย่างที่ทุกคนรู้นะคะว่าซานฟรานเป็นเมืองที่มีเกย์มากที่สุดในโลกอ่ะ เจนเป็นคนที่ไม่เหยียดเพศนะ ตรงกันข้ามจะชื่นชมเหล่าเพื่อนเกย์มักมากก เพราะเพศนี้เป็นเพศที่เต็มไปด้วยความสามารถ รสนิยม และความคิดสร้างสรรค์ อย่างฮิวเนี่ย...ไม่ใช่เกย์ฝรั่งขี้นกนะ เป็นผู้ใหญ่ คลาสซี่ นิสัยดีที่สุดอ่ะ ส่วนผู้หญิงเป็นชาวเดนมาร์ค ชื่อชาลอทท่าร์ อายุ 36 ชาลอทท่าร์ก็ตรงกันข้ามกับฮิวอ่ะ ไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนนะแต่นิสัยแบบสนุกโปกฮาก๋ากั่นมากกก เจนตอนย้ายเข้าไปอายุ 31 ก็เป็นน้องนุชคนสุดท้องในบ้านเลยนะ
ทีนี้เนี่ยการอยู่ร่วมกับฝรั่งมันก็เป็นเรื่องท้าทายมากเหมือนกันนะ อย่างนักเรียนไทยหรือคนไทยหลายๆคนที่เขาย้ายมาเมืองนอกอ่ะ เขาก็จะจับกล่มกันไว้นะ เช่าห้อง เช่าบ้าน ที่พักก็พักอยู่กับคนไทย ทำงานร้านอาหารก็ร้านอาหารไทย คือส่วนใหญ่เขาจะจับกลุ่มกัน ซึ่งส่วนตัวเจนแล้วก็จะแตกต่างออกไป คือเจนเลือกชัดเจนเลยว่าอยากอยู่กับฝรั่ง เพราะภาษาเราจะพัฒนารวดเร็วกว่า ทำอะไรก็ต้องฉายเดี่ยวไงไม่มีเพื่อนคนไทยคอยช่วยเหลือนะ เพราะฝรั่งเขาจะแบบว่า "ยูโตแล้ว ยูก็เรียนรู้ทำเองสิ" อันนี้เจนก็บ่นไม่ได้เพราะเลือกเอง สุดท้ายถามว่ามีเพื่อนคนไทยในซานฟรานซิสโกที่สนิทกันจริงๆมากไหมก็ตอบว่าไม่มากนะ แต่ก็รู้จักกัน ทักกันเพียงแต่ไม่ได้สุงสิงมากมายอ่ะ เจนมีนิสัยที่ค่อนข้างจะแอนไทโซเชียลนิดๆ (anti social) คือเจนรู้สึกไม่ขาดอะไรแล้วไง ผ่านมาหมดแล้วนะ ปาร์ตี้ เที่ยวผับเที่ยวบาร์ จับกลุ่มเม้ามอย คือตอนนี้ให้ไปทำอะไรแบบนั้นบ่อยๆก็ไม่สนุกแล้ว เป้าหมายในชีวิตเรามันก็เปลี่ยนไปแล้ว เจนรู้สึกว่าเวลาในชีวิตเรามันสั้นนะ เจนอยากจะใช้มันอย่างมีคุณค่าอ่ะ
ติดตามเป็นแฟนเพจเจนได้ที่ http://www.facebook.com/Jennitaswork นะคะ