สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ยาดองน้ำมูตรเน่า
โดย น. กันภัย
อ้างอิงจาก ต่วย' ตูน ปักษ์หลัง มีนาคม 2539 ปีที่ 25 ฉบับที่ 14 หน้า 113-117
เมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง ผมได้อ่านหนังสือต่วย' ตูนเล่มประจำเดือนอะไรก็ลืมไปแล้ว นิสัยผมเสียอย่าง(ความจริงหลายอย่าง) ตรงที่ชอบอ่านแต่ไม่ชอบเก็บ อ่านแล้วก็วางอีเหละเขละขละ พรรคพวกถือวิสาสะหยิบไปอ่านกันบ้าง ลูกชายจอมซนเอาไปขีดเขียนเล่นบ้าง ด้วยสาเหตุที่อ่านแล้วไม่ชอบเก็บนี่แหละ พอจะค้นคว้าหาอะไรทีหลังก็หาหนังสือเล่มที่ต้องการไม่เจอซักที
ในหนังสือต่วย' ตูนเล่มนั้น(นั้นไหนไม่รู้) ผมจำได้คร่าวๆ ว่า มีเรื่องเกี่ยวกับคนชอบดื่มปัสสาวะของตนเอง ดื่มเพียวๆ วันละหนึ่งแก้วเป็นประจำทุกวัน โดยรองไว้เช้าดื่มบ่าย และได้อ้างสรรพคุณว่าแก้ปวดหัว แก้ปวดเมื่อย เจริญอาหาร แล้วก็นอนหลับดี และทั้งได้อ้างเอาพุทธานุญาตเกี่ยวกับการฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าของพระภิกษุไว้ด้วย สรรพคุณดังกล่าวของน้ำปัสสาวะล้วนๆ นั้นจะมีจริงแท้แค่ไหนผมเองไม่อาจทราบได้ เพราะไม่เคยดื่มและไม่เคยคิดที่จะดื่มด้วย
ในพุทธศาสนา ได้มีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าไว้จริง โดยการนำน้ำปัสสาวะมาดองด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ เพื่อเป็นยารักษาโรคบางอย่าง แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ฉันน้ำปัสสาวะล้วนๆ แบบที่กล่าวมาแล้ว
ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่านั้น ตามตำรับของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ผมเคยได้อ่านในหนังสืออนุสรณ์งานศพของท่าน มีดังนี้
"ให้เอาสมอไทย ขิง ข่า กระเทียม พริกไทย ดีปลี ใบชะพลู รากชะพลู เกลือสมุทร(เกลือทะเล) หรือเกลือสินเธาว์(เกลือดิน) และพริกชี้ฟ้าจำนวนพอสมควร ทั้งหมดล้างให้สะอาดแล้วทุบ(หรือตำ)ให้ละเอียด เคล้าให้เข้ากันดี จึงเอาบรรจุในไหยา เอาปัสสาวะ ๑ ส่วน น้ำ ๓ ส่วน ผสมกันแล้วต้มให้เดือด ตั้งที่ไว้พออุ่นก็กรองด้วยผ้าแล้วเติมลงในไหยา ให้น้ำท่วมตัวยาทั้งหมด สูงขึ้นเล็กน้อย ปิดฝาจุกให้แน่น ทิ้งไว้หกเจ็ดวันจึงใช้ได้ สรรพคุณ แก้ธาตุเสีย บำรุงกำลัง เจริญอาหาร กันและแก้ไข้"
ในหนังสือเล่มเดียวกัน (หนังสืออนุสรณ์งานศพของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร) นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตามตำรับของพระอาจารย์ฝั้นเอาไว้ ผมเห็นว่าอ่านแล้วได้ความรู้ ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงเหตุและผลที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าได้อย่างถูกต้อง จึงขอนำมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ทราบไว้ในที่นี้
"ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตามตำรับของท่านพระอาจารย์ฝั้น ดังต่อไปนี้คือ ปัสสาวะมีปริมาณเพียงหนึ่งในสี่ของ "น้ำกระสาย" ที่ใช้ดอง นับว่าเจือจางมาก ก่อนใช้ได้ต้มให้เดือดและกรอง ดังนั้น สิ่งปะปนที่อาจมีอยู่บ้างนั้น ก็คงแยกออกไป เมื่อทิ้งไว้หกเจ็ดวัน การสลายตัวของปัสสาวะคงดำเนินไปถึงที่สุดแล้ว กลิ่นแอมโมเนียที่เกิดจากการสลายนั้นคงถูกกลบด้วยกลิ่นของตัวยาต่างๆ เช่น ขิง ข่า กระเทียม พริกไทย ดีปลี(โปรดดูตอนต่อไป) รสของปัสสาวะก็คงถูกกลืนไปด้วยรสเกลือและรสเผ็ด
ตามความรู้ทางเภสัชวิทยา ยาขนานนี้มีฤทธิ์สำคัญ ๓ ประการ คือ (ก) ระบายเล็กน้อย จากสมอไทยและเกลือ การรักษาท้องไม่ให้ผูกด้วยการระบายนี้ ทางแพทย์ไทยเชื่อว่าป้องกันและช่วยรักษาไข้ (ข) ขับลม จากขิง ข่า พริกไทย ดีปลี ชะลู พริกชี้ฟ้า ช่วยทำให้เรอ และผายลม กันและแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ค) เจริญอาหาร จากตัวยาที่กล่าวมาแล้ว (ง) บำรุงธาตุ หรือกันและแก้ธาตุเสีย(อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย) จากกระเทียมและพริกไทย (จ) บำรุงกำลัง จากการกระตุ้นของสิ่งต่างๆ ที่มีรสเผ็ด และผลทางอ้อมของการย่อยอาหารดีขึ้น ท้องไม่ผูก ฯลฯ
มีข้อน่าคิดอยู่ประการหนึ่งว่า ทำไมจึงต้องใช้ปัสสาวะ หรือท่านต้องการอะไรจากปัสสาวะตามความรู้วิชาชีวเคมี สารที่มีอยู่ในปัสสาวะในปริมาณมากคือ ยูเรีย(ประมาณ ๓๐ กรัมต่อลิตร) และเกลือ(โซเดียม คลอไรด์ ประมาณ ๑๒ กรัมต่อลิตร) สิ่งอื่นๆ มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเจือจางด้วย้ำอีกสามเท่าก็นับว่าได้ว่าไม่มีความหมายอะไร เพราะฉะนั้น ก็เหลือเพียงสองอย่าง ทีนี้ ในตำรับท่านให้ใส่เกลืออีกต่างหากอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะนั้นน้อยไป หรือมองอีกแง่หนึ่งก็เห็นว่า เกลือในปัสสาวะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจากปัสสาวะ เพราะมีเกลือจากภายนอกอยู่แล้ว ดังนั้น ควรลงความเห็นว่าสิ่งที่ต้องการจากปัสสาวะก็คือยูเรีย ตามธรรมดานั้นยูเรียที่ออกมาในปัสสาวะ ไม่ช้าก็ถูกแบคทีเรียในอากาศที่ตกลงไปในปัสสาวะ(หรืออยู่ในที่ที่ถ่ายปัสสาวะ) ทำให้สลายลงเป็นแอมโมเนีย แต่ยูเรียในปัสสาวะที่ใช้ดองยาที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้อาจจะไม่สลายตัวอย่างนั้นก็ได้ สาเหตุที่จะป้องกันการสลายของยูเรียในที่นี้มีสองประการคือ
(๑) การที่ต้มปัสสาวะจนเดือดก่อนเอามาใช้ อาจฆ่าแบคทีเรียเสียเป็นส่วนมาก และ
(๒) ตัวยาเผ็ดๆ ที่ใช้นั้นมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะกระเทียมมีฤทธิ์แรงมากในด้านนี้ จนถึงกับมีผู้นำมาใช้เป็นตัวยาสำคัญในยาฆ่าเชื้อในลำไส้ เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นได้ว่ายูเรียยังคงสภาพอยู่ หลักฐานที่สนับสนุนข้อนี้คือยาดองน้ำมูตรเน่าที่ผสมขึ้นตามตำราที่พระอาจารย์ฝั้นบอกนั้น ไม่มีกลิ่นแอมโมเนียเลย ดังนั้น น่าจะลงความเห็นได้ว่า การที่ท่านแนะนำหรือกำหนดให้ใส่ปัสสาวะด้วยนั้น ก็เพราะต้องการยูเรีย
ตามความรู้ทางสรีรวิทยา ยูเรียเป็นสารสำคัญอย่างหนึ่งในร่างกาย คือเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือเผาอาหารประเภทโปรเทอีน(ธาตุเนื้อ) ถ้าใครกินโปรเทอีนเข้าไปมาก หรือร่างกายใช้โปรเทอีนมากก็จะมียูเรียเกิดขึ้นมาก ตามปกติยูเรียถูกขับถ่ายออกจากร่างกายทางไต คือออกมาในปัสสาวะ ในการออกมานี้ยูเรียช่วยดึงน้ำออกมาด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ามียูเรียถูกขับถ่ายมาก ปัสสาวะก็จะมีปริมาณมาก จากความสัมพันธ์ข้อนี้ ถ้าใครกินยูเรียเข้าไป คนนั้นจะถ่ายปัสสาวะมากขึ้น ในสมัยสามสิบสี่สิบปีมาแล้ว แพทย์แผนปัจจุบันยังใช้ยูเรียเป็นยาขับปัสสาวะที่ยกย่องว่ามีประโยชน์มาก ต่อมามีการสังเคราะห์ยาใหม่ และฤทธิ์แรงกว่าขึ้นมา เดี๋ยวนี้ยูเรียจึงไม่มีใครใช้
ตามข้อคำนึงที่ยกมานี้ น่าจะลงความเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านให้สาวกของท่านใช้ปัสสาวะเป็นยาในยาดองน้ำมูตรเน่า ก็เพราะท่านต้องการใช้ยูเรียเข้าไปทำหน้าที่ขับปัสสาวะ การขับปัสสาวะเป็นวิธีรักษาที่มีประโยชน์ในเวลาที่เป็นไข้ หรือได้รับพิษอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นจากการติดเชื้อ เป็นต้น
ถ้าหากจะมีใครสงสัยว่า พระพุทธเจ้าท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าในปัสสาวะมียูเรีย และยูเรียเป็นยาได้ ก็ควรจะทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญู รู้หมดทุกอย่าง ยกตัวอย่าง เช่น ทรงรู้ถึงกำเนิดและการเจริญของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ ทรงบรรยายลักษณะของสัตว์ที่เกิดใหม่ได้ถูกต้องเป็นขั้นๆ ไป ทั้งนี้ โดยไม่ต้องมีกล้องจุลทรรศน์และไม่ต้องขูดเอาของภายในมดลูกออกมาดู เพียงแต่ท่าน "พิจารณา" เท่านั้น ไม่ต้องถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ แม้แต่ท่านพระอาจารย์ฝั้นก็สามารถจะ "พิจารณา" เห็นอะไรๆ ได้ถูกต้องที่คนธรรมดาไม่สามารถจะเห็นหรือรู้ได้"
และนี้ก็เป็นข้อยืนยันได้อย่างชัดแจ้งว่า น้ำปัสสาวะนั้นแม้จะเป็นยาได้ก็จริง แต่ต้องทำให้ถูกหลักและวิธีการจึงจะใช้ดื่มกินได้ ผมว่า หากรักจะดื่มปัสสาวะกันแล้วละก็ มาดื่มตามตำรับที่พระอาจารย์ฝั้นให้ไว้ดีกว่า เพราะนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ และท่านพระอาจารย์ฝั้น สองท่านนี้สามารถเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีว่า หากดื่มปัสสาวะตามตำราที่บอกไว้แล้ว จะมีประโยชน์และไม่มีโทษแก่ร่างกายแน่นอน การดื่มแบบเพียวๆ ล้วนๆ โดยไม่มีการต้ม การดอง เลยนั้นขอให้เลิกเสียเถิด
โดย น. กันภัย
อ้างอิงจาก ต่วย' ตูน ปักษ์หลัง มีนาคม 2539 ปีที่ 25 ฉบับที่ 14 หน้า 113-117
เมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง ผมได้อ่านหนังสือต่วย' ตูนเล่มประจำเดือนอะไรก็ลืมไปแล้ว นิสัยผมเสียอย่าง(ความจริงหลายอย่าง) ตรงที่ชอบอ่านแต่ไม่ชอบเก็บ อ่านแล้วก็วางอีเหละเขละขละ พรรคพวกถือวิสาสะหยิบไปอ่านกันบ้าง ลูกชายจอมซนเอาไปขีดเขียนเล่นบ้าง ด้วยสาเหตุที่อ่านแล้วไม่ชอบเก็บนี่แหละ พอจะค้นคว้าหาอะไรทีหลังก็หาหนังสือเล่มที่ต้องการไม่เจอซักที
ในหนังสือต่วย' ตูนเล่มนั้น(นั้นไหนไม่รู้) ผมจำได้คร่าวๆ ว่า มีเรื่องเกี่ยวกับคนชอบดื่มปัสสาวะของตนเอง ดื่มเพียวๆ วันละหนึ่งแก้วเป็นประจำทุกวัน โดยรองไว้เช้าดื่มบ่าย และได้อ้างสรรพคุณว่าแก้ปวดหัว แก้ปวดเมื่อย เจริญอาหาร แล้วก็นอนหลับดี และทั้งได้อ้างเอาพุทธานุญาตเกี่ยวกับการฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าของพระภิกษุไว้ด้วย สรรพคุณดังกล่าวของน้ำปัสสาวะล้วนๆ นั้นจะมีจริงแท้แค่ไหนผมเองไม่อาจทราบได้ เพราะไม่เคยดื่มและไม่เคยคิดที่จะดื่มด้วย
ในพุทธศาสนา ได้มีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าไว้จริง โดยการนำน้ำปัสสาวะมาดองด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ เพื่อเป็นยารักษาโรคบางอย่าง แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ฉันน้ำปัสสาวะล้วนๆ แบบที่กล่าวมาแล้ว
ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่านั้น ตามตำรับของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ผมเคยได้อ่านในหนังสืออนุสรณ์งานศพของท่าน มีดังนี้
"ให้เอาสมอไทย ขิง ข่า กระเทียม พริกไทย ดีปลี ใบชะพลู รากชะพลู เกลือสมุทร(เกลือทะเล) หรือเกลือสินเธาว์(เกลือดิน) และพริกชี้ฟ้าจำนวนพอสมควร ทั้งหมดล้างให้สะอาดแล้วทุบ(หรือตำ)ให้ละเอียด เคล้าให้เข้ากันดี จึงเอาบรรจุในไหยา เอาปัสสาวะ ๑ ส่วน น้ำ ๓ ส่วน ผสมกันแล้วต้มให้เดือด ตั้งที่ไว้พออุ่นก็กรองด้วยผ้าแล้วเติมลงในไหยา ให้น้ำท่วมตัวยาทั้งหมด สูงขึ้นเล็กน้อย ปิดฝาจุกให้แน่น ทิ้งไว้หกเจ็ดวันจึงใช้ได้ สรรพคุณ แก้ธาตุเสีย บำรุงกำลัง เจริญอาหาร กันและแก้ไข้"
ในหนังสือเล่มเดียวกัน (หนังสืออนุสรณ์งานศพของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร) นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตามตำรับของพระอาจารย์ฝั้นเอาไว้ ผมเห็นว่าอ่านแล้วได้ความรู้ ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงเหตุและผลที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าได้อย่างถูกต้อง จึงขอนำมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ทราบไว้ในที่นี้
"ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตามตำรับของท่านพระอาจารย์ฝั้น ดังต่อไปนี้คือ ปัสสาวะมีปริมาณเพียงหนึ่งในสี่ของ "น้ำกระสาย" ที่ใช้ดอง นับว่าเจือจางมาก ก่อนใช้ได้ต้มให้เดือดและกรอง ดังนั้น สิ่งปะปนที่อาจมีอยู่บ้างนั้น ก็คงแยกออกไป เมื่อทิ้งไว้หกเจ็ดวัน การสลายตัวของปัสสาวะคงดำเนินไปถึงที่สุดแล้ว กลิ่นแอมโมเนียที่เกิดจากการสลายนั้นคงถูกกลบด้วยกลิ่นของตัวยาต่างๆ เช่น ขิง ข่า กระเทียม พริกไทย ดีปลี(โปรดดูตอนต่อไป) รสของปัสสาวะก็คงถูกกลืนไปด้วยรสเกลือและรสเผ็ด
ตามความรู้ทางเภสัชวิทยา ยาขนานนี้มีฤทธิ์สำคัญ ๓ ประการ คือ (ก) ระบายเล็กน้อย จากสมอไทยและเกลือ การรักษาท้องไม่ให้ผูกด้วยการระบายนี้ ทางแพทย์ไทยเชื่อว่าป้องกันและช่วยรักษาไข้ (ข) ขับลม จากขิง ข่า พริกไทย ดีปลี ชะลู พริกชี้ฟ้า ช่วยทำให้เรอ และผายลม กันและแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ค) เจริญอาหาร จากตัวยาที่กล่าวมาแล้ว (ง) บำรุงธาตุ หรือกันและแก้ธาตุเสีย(อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย) จากกระเทียมและพริกไทย (จ) บำรุงกำลัง จากการกระตุ้นของสิ่งต่างๆ ที่มีรสเผ็ด และผลทางอ้อมของการย่อยอาหารดีขึ้น ท้องไม่ผูก ฯลฯ
มีข้อน่าคิดอยู่ประการหนึ่งว่า ทำไมจึงต้องใช้ปัสสาวะ หรือท่านต้องการอะไรจากปัสสาวะตามความรู้วิชาชีวเคมี สารที่มีอยู่ในปัสสาวะในปริมาณมากคือ ยูเรีย(ประมาณ ๓๐ กรัมต่อลิตร) และเกลือ(โซเดียม คลอไรด์ ประมาณ ๑๒ กรัมต่อลิตร) สิ่งอื่นๆ มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเจือจางด้วย้ำอีกสามเท่าก็นับว่าได้ว่าไม่มีความหมายอะไร เพราะฉะนั้น ก็เหลือเพียงสองอย่าง ทีนี้ ในตำรับท่านให้ใส่เกลืออีกต่างหากอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะนั้นน้อยไป หรือมองอีกแง่หนึ่งก็เห็นว่า เกลือในปัสสาวะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจากปัสสาวะ เพราะมีเกลือจากภายนอกอยู่แล้ว ดังนั้น ควรลงความเห็นว่าสิ่งที่ต้องการจากปัสสาวะก็คือยูเรีย ตามธรรมดานั้นยูเรียที่ออกมาในปัสสาวะ ไม่ช้าก็ถูกแบคทีเรียในอากาศที่ตกลงไปในปัสสาวะ(หรืออยู่ในที่ที่ถ่ายปัสสาวะ) ทำให้สลายลงเป็นแอมโมเนีย แต่ยูเรียในปัสสาวะที่ใช้ดองยาที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้อาจจะไม่สลายตัวอย่างนั้นก็ได้ สาเหตุที่จะป้องกันการสลายของยูเรียในที่นี้มีสองประการคือ
(๑) การที่ต้มปัสสาวะจนเดือดก่อนเอามาใช้ อาจฆ่าแบคทีเรียเสียเป็นส่วนมาก และ
(๒) ตัวยาเผ็ดๆ ที่ใช้นั้นมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะกระเทียมมีฤทธิ์แรงมากในด้านนี้ จนถึงกับมีผู้นำมาใช้เป็นตัวยาสำคัญในยาฆ่าเชื้อในลำไส้ เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นได้ว่ายูเรียยังคงสภาพอยู่ หลักฐานที่สนับสนุนข้อนี้คือยาดองน้ำมูตรเน่าที่ผสมขึ้นตามตำราที่พระอาจารย์ฝั้นบอกนั้น ไม่มีกลิ่นแอมโมเนียเลย ดังนั้น น่าจะลงความเห็นได้ว่า การที่ท่านแนะนำหรือกำหนดให้ใส่ปัสสาวะด้วยนั้น ก็เพราะต้องการยูเรีย
ตามความรู้ทางสรีรวิทยา ยูเรียเป็นสารสำคัญอย่างหนึ่งในร่างกาย คือเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือเผาอาหารประเภทโปรเทอีน(ธาตุเนื้อ) ถ้าใครกินโปรเทอีนเข้าไปมาก หรือร่างกายใช้โปรเทอีนมากก็จะมียูเรียเกิดขึ้นมาก ตามปกติยูเรียถูกขับถ่ายออกจากร่างกายทางไต คือออกมาในปัสสาวะ ในการออกมานี้ยูเรียช่วยดึงน้ำออกมาด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ามียูเรียถูกขับถ่ายมาก ปัสสาวะก็จะมีปริมาณมาก จากความสัมพันธ์ข้อนี้ ถ้าใครกินยูเรียเข้าไป คนนั้นจะถ่ายปัสสาวะมากขึ้น ในสมัยสามสิบสี่สิบปีมาแล้ว แพทย์แผนปัจจุบันยังใช้ยูเรียเป็นยาขับปัสสาวะที่ยกย่องว่ามีประโยชน์มาก ต่อมามีการสังเคราะห์ยาใหม่ และฤทธิ์แรงกว่าขึ้นมา เดี๋ยวนี้ยูเรียจึงไม่มีใครใช้
ตามข้อคำนึงที่ยกมานี้ น่าจะลงความเห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านให้สาวกของท่านใช้ปัสสาวะเป็นยาในยาดองน้ำมูตรเน่า ก็เพราะท่านต้องการใช้ยูเรียเข้าไปทำหน้าที่ขับปัสสาวะ การขับปัสสาวะเป็นวิธีรักษาที่มีประโยชน์ในเวลาที่เป็นไข้ หรือได้รับพิษอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นจากการติดเชื้อ เป็นต้น
ถ้าหากจะมีใครสงสัยว่า พระพุทธเจ้าท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าในปัสสาวะมียูเรีย และยูเรียเป็นยาได้ ก็ควรจะทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญู รู้หมดทุกอย่าง ยกตัวอย่าง เช่น ทรงรู้ถึงกำเนิดและการเจริญของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ ทรงบรรยายลักษณะของสัตว์ที่เกิดใหม่ได้ถูกต้องเป็นขั้นๆ ไป ทั้งนี้ โดยไม่ต้องมีกล้องจุลทรรศน์และไม่ต้องขูดเอาของภายในมดลูกออกมาดู เพียงแต่ท่าน "พิจารณา" เท่านั้น ไม่ต้องถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ แม้แต่ท่านพระอาจารย์ฝั้นก็สามารถจะ "พิจารณา" เห็นอะไรๆ ได้ถูกต้องที่คนธรรมดาไม่สามารถจะเห็นหรือรู้ได้"
และนี้ก็เป็นข้อยืนยันได้อย่างชัดแจ้งว่า น้ำปัสสาวะนั้นแม้จะเป็นยาได้ก็จริง แต่ต้องทำให้ถูกหลักและวิธีการจึงจะใช้ดื่มกินได้ ผมว่า หากรักจะดื่มปัสสาวะกันแล้วละก็ มาดื่มตามตำรับที่พระอาจารย์ฝั้นให้ไว้ดีกว่า เพราะนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ และท่านพระอาจารย์ฝั้น สองท่านนี้สามารถเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีว่า หากดื่มปัสสาวะตามตำราที่บอกไว้แล้ว จะมีประโยชน์และไม่มีโทษแก่ร่างกายแน่นอน การดื่มแบบเพียวๆ ล้วนๆ โดยไม่มีการต้ม การดอง เลยนั้นขอให้เลิกเสียเถิด
ความคิดเห็นที่ 10
พระพยอมเทศ หมากินขี้ ได้วิตามินมากกว่าคนกินเหล้า กินขี้ดีกว่ากินเหล้า
คนย้อนถาม แล้วให้ท่านเลือกกิน ระหว่างเหล้า กับขี้ ท่านจะกินอะไร ??
อันที่จริงมันคนละบริบท เปรียบเทียบกันไม่ได้ หมาไม่ได้ห่วงเรื่องความสะอาด คนไม่ได้สนใจเรื่องสารอาหาร
ย้อนมาเรื่องพระพทธเจ้า ท่านเกิดสมัยสาธาณะสุขไม่ดี หยูกยาไม่ได้มีเพียงพอเหมือนปัจจุบัน อย่าเอามาเทียบกัน อย่าเอาอย่าง
เหมือนการล้างแผลด้วยฉี่ อาจเหมาะสมในภาวะขาดแคลน แต่ถ้าไม่ขาดแคลน เอาน้ำเกลือดีกว่ามั้ย
คนย้อนถาม แล้วให้ท่านเลือกกิน ระหว่างเหล้า กับขี้ ท่านจะกินอะไร ??
อันที่จริงมันคนละบริบท เปรียบเทียบกันไม่ได้ หมาไม่ได้ห่วงเรื่องความสะอาด คนไม่ได้สนใจเรื่องสารอาหาร
ย้อนมาเรื่องพระพทธเจ้า ท่านเกิดสมัยสาธาณะสุขไม่ดี หยูกยาไม่ได้มีเพียงพอเหมือนปัจจุบัน อย่าเอามาเทียบกัน อย่าเอาอย่าง
เหมือนการล้างแผลด้วยฉี่ อาจเหมาะสมในภาวะขาดแคลน แต่ถ้าไม่ขาดแคลน เอาน้ำเกลือดีกว่ามั้ย
แสดงความคิดเห็น
พระพุทธเจ้าท่านฉันน้ำมูตร(น้ำปัสสาวะ)มั้ย? กินแล้วดียังไง?
ข้องใจมากอยากรู้จิงๆ เห็นทางเลือกสุขภาพก็มีอะไรแปลกๆอย่างนี้ เช่น กินนมไม่ดีบ้าง ฉี่รักษาโรคบ้าง น้ำด่างบ้าง etc.
ตอนนี้ก็ทราบแล้วว่าท่านให้พระดื่มได้จริง แต่อยากรู้ว่ามันดียังไง ดีจริงไหม
แก้ไขหัวกระทู้ให้สุภาพขึ้น ขอโทษที่ไปoffendใครเข้า
ใช้เหตุผลเถียงกันน่ะ ปัญญาชนพุทธกับวิทย์