อเมริกาเจ้าขา - ชีวิตป้าเจน ภาค2

ใครที่เพิ่งเปิดมาเจอภาคนี้เจนขอแนะนำให้หาภาคแรกมาอ่านก่อนเพื่อเพิ่มอัตถรสในการประกอบจินตนาการนะคะ ชืวิตของเจนถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นการบอกเล่าเก้าสิบสู่กันฟังระหว่างเจนกับแฟนเพจผู้ติดตาม ด้วยความหวังที่ว่าประสบการณ์ชีวิตของเจนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและเป็นเสมือนบันทึกความทรงจำให้กับตัวเองด้วยคะ ภาษาที่บอกเล่าก็จะเป็นภาษาที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ขออภัยหากแฟนๆอ่านแล้วรู้สึกว่าตรงไปหน่อย จุดๆนี้โปรดใช้ “ความสวย” และวิจารณญานในการเสพอ่านนะคะ ที่บอกว่าให้ใช้ความสวยคือ “ความสวยภายใน” เปิดใจให้กว้าง อ่านแล้วจะได้มิหมั่นตับ หมั่นพุงในตัวเจน เนื่องจากในชีวิตเจนก็ใช้คำและภาษาอย่างนี้แล… (เพื่อนๆที่สนิทกันก็จะรู้ดีคะ) ภาคนี้เจนจะรวบรวมชวิตหลังจากที่ย้ายมาอเมริกาให้สาวๆได้ติดตามกันนะคะ

หนึ่งเดือนก่อนเดินทางเจนยกหูโทรศัพท์จากกรุงเทพฯกดป๊อกแป๊กหาเพื่อนสนิทที่อยู่ Seattle บอกนางว่าตัดสินใจจะมาอเมริกา เพื่อนสนิทของเจนคนนี้ก็ดีใจมากถึงขั้นเสนอจะเลี้ยงดูปูเสื่อ ออฟเฟ่อสารพัด ที่พัก หาโรงเรียน และหางานให้ แต่เจนก็ปฏิเสธไป แล้วบอกนางว่าไม่ได้ย้ายไปอยู่เมืองเดียวกันนะ เพราะอยากไปอยู่เมืองที่ไม่รู้จักใคร อยากมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เริ่มจากศูนย์จริง ๆ บอกนางไปว่า “San Francisco is it” ที่เลือกมาซานฟรานซิสโก ไม่ใช่เพราะมันโก้นะ แต่เลือกเมืองนี้เพราะรีเสิร์ทมหาลัยในฝันไว้แล้ว Academy of Art University อ่ะ มันมีที่ตั้งอยู่ที่นี่นั่นเอง พอเพื่อนสนิทฟังเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนางก็เงียบไปนิดแต่ก็ไม่ได้รั้งอะไร เพราะรู้ว่ารั้งไว้ไม่อยู่ นางรู้เจนเป็นคนดื้อ…นางก็ได้แต่พูดว่า “เออ…ตามใจแกแล้วกัน” คุยจบก็วางสายไว้ค่อยเจอกันอีกทีที่อเมริกา

เจนทำเรื่องไปขอวีซ่ามีเงินโชว์แค่สามแสน ก็เงินที่เก็บออมมาแปดปีอ่ะนะ ถ้าไม่ได้ส่งให้คุณนายดุจดาวต่อเติมบ้านก็คงได้ติดตัวมามากกว่านี้ ใครที่อ่านภาคแรกมาก่อนก็จะรู้ว่าเจนไม่ใช่ลูกคนรวยนะ ส่วนใหญ่คนเข้ามาในเพจเห็นเจนแต่งตัวเว่อ แต่งหน้าสวย มีกระเป๋าแบรนด์เนม เรียนในมหาลัยศิลปะที่มีชื่อเสียงของอเมริกาเขาก็นึกว่าลูกเศรษฐีที่ไหน จริงๆแล้วไม่ใช่นะขอแก้ข่าวเลย เจนอ่ะเป็นลูกคนจนคะ สมัยไปเรียนที่เทคโนได้เงินไปเรียนวันละยี่สิบบาทนะ มีพ่อแม่เป็นช่างเย็บผ้า ระหว่างเรียนปิดเทอมทีไรก็ต้องไปทำงานหาเงินนะ เจนทำงานเลี้ยงแม่มาตั้งแต่เรียนจบ ทุกวันนี้ก็ยังเลี้ยงแม่อยู่ แต่ถึงเจนจะจน เจนเป็นคนหัวสูงนะคะ ชอบใช้ของดีๆเพราะอยากได้และอยากมี และเพราะไม่เคยมีจึงขวนขวาย โพสโชว์ในเพจมีเหตุผลหลักๆอยู่สองประการคือ หนึ่ง เห่อ…เพราะไม่เคยมี โพสอยากให้คนอื่นๆเห็นว่า “ตะเองๆ เค้าก็มีของดีๆใช้นะ” สอง คือทำเพจเกี่ยวกับแฟชั่นก็ต้องมีบ้างอะไรบ้างที่ใช้ของแบรนด์เนมช่วยพีอาร์เพจ ไม่มีสาวๆคนไหนไม่ใส่ใจกับน้องแนล น้องหลุยส์ น้องปราด้าหรอก ชิมิ? สาวๆเห็นก็อยากชมกันทั้งนั้น ผลปรากฎว่าคนเลยคิดไปต่างๆนานาว่ารวย มีบางคนคิดว่า “ดัจริต” (อันนี้น้องแฟนคลับที่กลายมาเป็นเพื่อนกันเขาว่ามา) เจนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนะ เรามีเพจมีคนติดตาม ก็ต้องมีคนคิดไปต่างๆนานานั่นแหละ

กลับไปตอนขอวีซ่านะ มีเงินโชว์แค่สามแสนบาทในใจก็กลัวว่าวีซ่าจะไม่ผ่านนะ เพราะมีเงินน้อย ทรัพย์สินพ่อแม่ก็ไม่มี เคยได้ยินว่าคนเขายื่นเงินเป็นล้านวิซ่าเขายังไม่ผ่านเลย แต่ก็อ่ะนะ เจนเป็นคนกล้าเสี่ยงตัดสินใจแล้วเดินหน้าเลย ได้ไม่ได้ก็ให้รู้ดำรุ้แดงกันไป แต่ก็ประกาศบอกชาวบ้านเขาหมดแล้วนะว่า “ชั้ลลล จะไปเป็นนักเรียนนอก” เดินสะบัดตูด สะบัดบ๊อบซ้อมเป็นเด็กนักเรียนนอกทั่วโคราชอ่ะคะ ก่อนจะมา จริงๆทำเรื่องขอวีซ๋ามาเรียนภาษาแค่หกเดือน ถึงเวลาสัมภาณ์ไม่ถึงสามนาที เจ้าหน้าที่ไม่ดูเอกสารเงินล้าน(สามแสน)ที่เตรียมไว้ซะด้วย สรุปว่าเจนได้วีซ่านักเรียนห้าปี โอเอ็มจี บุญมาวาทสนาส่ง…ใครไม่เชื่อเรื่องเลี้ยงดูบุพการีอย่าลบหลู่นะคะ การกระทำความดีต่อพ่อแม่เป็นการกระทำความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคะ ส่งให้เรามีบารมีเจ้าหน้าที่สถาณฑูตเกรงขามคะ ได้วีซ่าพร้อมเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบิน จัดกระเป๋า จัดงานเลี้ยงส่งตัวเอง เดินสายอำลาเพื่อนๆ พอถึงวันเดินทางเช็คอินกระเป๋าท่ีสนามบิน ยื่นพาสปอร์ตให้พนักงานสายการบินอีว่าแอร์ ฮีมองวีซ่าแล้วขอเอกสารเพิ่ม (เอกสารจากทางอเมริกา ยืนยันสถานภาพการนักเรียน)แล้วมองในวีซ่าอีกรอบบอกสถานฑูตออกวีซ่าผิดประเภทให้ โดยออกวีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยน work and travel(J1) ให้ แต่เอกสารของเจนจากอเมริกามันคือ I20 ซึ่งต้องใช้คู่กับวีซ่า F1เท่านั้น เจนถึงกับลมจับ เพราะมีเวลาหลังจากที่ได้วีซ่าตั้งสองสัปดาห์แต่ไม่เคยตรวจเช็ค มัวแต่ดีใจเดินสะบัดบ๊อบซ้อมใหญ่อยู่น่ัน

ทีนี้ต้องติดต่อสถานฑูตให้ออกวีซ่า F1 จะทำยังไงดี เพื่อนสนิทก็บินมารอรับที่ซานฟรานจากซีแอทเทิลแล้ว นึกในใจ “ทำไมแผ่นมันต้องกระตุกด้วยว๊าาาา!!” นั่งเข่าพับที่สนามบันอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่รู้จะทำยังไง ติดต่อสถานฑูตตอนนี้ก็คงต้องรออีกหลายวันกว่าจะลัดคิวได้ ไม่มีเส้นสายซะด้วย นั่งคิดใหญ่เลย เหงื่อก็ออกพลั่กๆ เกือบแระ เกือบจะร้องไห้แระ… ซักพัก พนักงานของสายการบินอีว่าคนเดิมฮีก็ตะโกนเรียกแล้วบอกว่า “เดี๋ยวพี่ลองโทรคุยกับสถาฑูตให้นะ แต่ยังไงคงต้องแคนเซิลเที่ยวบินนี้แล้วล่ะ เพราะยังไงก็บินไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าได้เรื่องยังไง พี่จะให้เราบินไฟลท์ถัดไปนะ รออยู่นี่ละ พี่โทรไปสถาฑูตแป๊บนึงนะ” หลังจากนั้น พอฮีพูดจบ ในสายตาเจนก็มองเห็นปีกขาวๆสยายออกจากหลังฮีอ่ะ มองลางๆเหมือนเทพมาโปรดสัตว์ ฮีวางสายแล้วหันมาบอกว่า “ไฟล์ทถัดไปเครื่องออกอีกสองชั่วโมง รีบไปสถานฑูต เจ้าหน้าที่จะปริ้นท์วีซ่าที่ถูกต้องรอไว้ให้ ไปรับแล้วกลับมาขึ้นเครื่องให้ทัน” โอเอ็มจี ฮีเป็นเทพมาโปรด "ชีวิตสัตว์ๆ" อย่างชีวิตเจน ณ จุดนั้นจริงๆ สาวๆคิดตามเถิด จากคนที่ไม่มีเส้นสายในสถานฑูต เอกสารแบบนี้ต้องรอแก้ไข ต้องเจมส์บอนด์เท่านั้นอ่ะ รัฐบาลถึงจะทำให้ภายในสิบห้านาที แต่นี่ “เจน ปอน ปอน” จัดไปอย่าให้เสีย บึ่งรถจากแอร์พอร์ต ไปสถานฑูต (และรถติดๆของถนนวิทยุ) ติดต่อสถานฑูต รอ และบึ่งกลับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ่านมาถึงตอนนี้ อย่าลืมเปิดซาวด์แทร็กเจมส์บอนด์ฟังตามไปด้วยนะคะ เพื่อเพิ่มสมรรถภาพจิตนาการการเต้นของหัวใจที่ไม่เป็นปกติของเจนในขณะนั้น สรุปว่าได้วีซ่าที่ถูกต้องและกลับมาเจอฮีเทพที่เค้าเตอร์อีว่าได้ทันการ เช็คอินและสะบัดตูดขึ้นเครื่องได้อย่างหวุดหวิด ถึงวันนี้เจนไม่เคยลืมเจ้าหน้าที่ของอีว่าแอร์ท่านนั้นเลย เสียดายที่ลืมถามชื่อ เจนขอให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตของฮีเทพและมีคนคอยช่วยเหลือฮีตลอดไปนะเคอะ…

หลายๆท่านคงสงสัย…เมื่อไหร่มันจะเริ่มเล่าชีวิตในอเมริกาสักที คืออยากจะเรียนให้ทราบว่า ที่เล่าเหตุการณ์ตรงนี้ให้สาวๆฟังเพราะอยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์สอนใจ “อย่าเดินเปิดตูดสะบัดบ๊อบใส่ใคร จนกว่าจะแน่ใจว่าเจ๋งชัวร์” เอกสารการเดินทางดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แม้แต่จากทางสถานฑูตเองก็ตามคะ อย่ารีรอจนถึงวินาทีสุดท้ายเพราะหากคุนไม่ใช่ “เจมส์บอนด์” หรือ “เจน ปอน ปอน” ทำอย่างดิชั้นไม่ได้นะค๊าาา ต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยคะ จะได้แก้ไขได้ทันถ้วงทีคะ

เจนเดินทางถึงซานฟรานซิสโก วันที่ 8 มีนา 2008 ถ้าจำไม่ผิดนะคะมาช่วงแรกๆนี่ถือว่าลูกทุ่งมาก เพื่อนสนิทไปรับที่สนามบินอยู่ด้วยสามสี่วันชีก็ต้องกลับซีแอทเทิล หลังจากนั้นคือเจนลูกทุ่งจริงๆนะ อยู่คนเดียว เดินคนเดียว กินคนเดียว ทำทุกอย่างเองคนเดียวหมดเลย คิดในใจนะ “สมใจอยากเมิงแระอีเจน อยากเก่งโซโล่ศิลปินเดี่ยว ปล่าวเปลี่ยวสมใจ” เดือนแรกเจนเช่าโรงแรมอยู่แถวๆยูเนี่ยนสแควร์นะคะ ในเมืองเลยละ เดินไปไหนมาไหนสะดวกมากกก เป็นโรงแรมบูทีคเล็กๆ จองมาจากเมืองไทยเลยคะ ชื่อโรงแรมว่า The Grant Hotel เจ้าของเป็นไทยนะคะ (อย่าถามรายละเอียดมาก คาดว่าถ้ารู้กันเยอะจะอีเมล์ไปขอส่วนลด เดี๋ยวคุณฉิงแกจะตามมาด่าเจนถึงบ้าน 555+) เจนก็เช่าหนึ่งเดือนในระหว่างที่หาบ้านอยู่ เช็คอินเข้าที่พักอะไรแล้วก็จัดห้องหับ ตอนที่อันแพ็คกระเป๋าอ่ะนะ เกิบส้นสูงมันเยอะมากเลย คือติดสวยไงคะ เมื่อตอนทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ว่าตัวเองเป็นเด็กพระนครอ่ะเนาะ กลับโคราชทีก็ไปเดินสะบัดบ๊อบลากแตะที พอมาซานฟรานก็ขนเอารองเท้ามาด้วยตั้งหลายคู่ พอมาถึงเห็นภูมิลำเนา สภาพการเดินเท้าของเมืองเขาแล้วร้องว่า “โอ๊ยยยยย หนีโนนสูง โคราชมาเจอ โนนสูง ของจริงของซานฟรานเด้….” คือมันสูงจริงๆนะคะ แล้วมันมีหลายโนนมากอ่ะ คือเกิบที่เอามาเนี่ยมันใส่บ่ได้เลยอ่ะคะ ที่นี่เป็นที่ราบสูงของจริง เนินสโลปขึ้นลงอย่างมากมาย สวยงามปานโนนโคกสูงของชาวโคราชหมู่เฮานั่นแลต่างกันตรงที่วิวทิวทัศน์บ้านเราเป็นกระต๊อบ ของเขาเป็นตึกราโอ่อ่างามหลาย เจนก็ต้องลำบากไปซื้อรองเท้าใหม่ เสื้อผ้าใหม่ให้มันเข้ากับโคกและคันนาของเขาอ่ะคะ เพราะอากาศที่เขาว่าร้อนมันคือโครตหนาวของเราอ่ะ และเสื้อผ้าหนาๆหน้าหนาวของเรา มันก็คือเสื้อผ้าใส่ยามสบายๆของฝรั่งที่นี่นั่นเอง ในใจคิดไปว่า “โอออววว์ แล้วสามแสนกูจะรอดกี่เดือนวะเนี่ย” สรุปว่าเจนต้องตัดสิีนใจซื้อหม้อหุงข้าวที่เขามีขายตามร้านสะดวกซื้อไว้หุงข้าวกินกับไข่ต้ม และไว้ต้มมาม่าที่เตรียมมาจากเมองไทย ก็พอประทังชีวิตไปได้หลายต่อหลายมื้อในหนึ่งเดือน แต่เชื่อไหมว่าเวลาเจนเดินออกจากห้องไปเดินเล่นในเมือง เจนเยื้องกายเหมือนลูกเศรษฐีมีกระตังค์มักมาก ด้วยความที่ชอบแต่งตัวดีและฟอร์มจัด ไม่มีคะ ไม่มี๊ (เสียงสูง) ที่คนจะคิดว่าเจนกำลังไม่มีอันจะกินอ่ะ

เจนเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูงนะ บางทีสูงเกินไปจนใครๆเขาอาจจะไม่ชอบได้ ประกอบกับเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา สังคมบ้านเราก็อาจจะไม่เอ็นดูเท่าไหร่ อย่างถ้าเจนรู้ว่าจุดไหนของตัวเองดี เจนก็จะพูดมันออกไปได้อย่างภาคภูมิ แต่หลายๆคนที่ไม่คุ้นเคยก็จะคิดว่าเจนเป็นคนหลงตัวเอง หรืออวดฉลาดอะไรแบบนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่นะ เจนแค่มองว่าถ้าเจนมีโอกาสได้พูดถึงตัวเอง เจนก็จะพูดตรงๆทั้งจุดเด่นและจุดด้อย บางทีก็งงนะ เวลาถ่อมตัวคนหาว่า “ดัจริต” แต่เวลายอมน้อมรับ คนกลับมองว่า “หลงตัวเอง” คนเรานี่ก็แปลกดี เจนเคยเวิ่นเว้อหาคำตอบว่าทำไมคนเราเป็นแบบนั้น ชอบหาจุดด้อยให้ผู้อื่น ทั้งๆที่เขาผู้นั้นอาจจะไม่มีจุดด้อยที่แท้จริง ก็ได้คำตอบว่ามันคือความไม่มั่นใจในตัวของคนๆนั้นนั่นเอง หลังจากนั้นเจนก็หยุดเวิ่นเว้อนะ ไม่หาคำตอบอะไรใดๆแล้ว ใครอยากคิดอะไรอย่างไรกับเจนก็สุดแล้วแต่ แคร์มากไม่ได้ ปัสสวะเหลือง ทุกวันนี้มีเพื่อนสนิทที่คบกันมาสิบปีไม่เคยมีบ่นว่า ไม่เคยทำให้เจนหนักใจ ประสาอะไรกับเพื่อนที่จรมาแล้วอยากจรไป จะคิดอย่างไรแล้วแต่…เชิ่ดใส่ห๊าาาาาา (เสียงสูงอีกแล้ว)

มาเข้าเรื่องต่อ… ด้วยความที่มั่นใจในตัวเองสูงประกอบกับรายได้ที่ต่ำ ทำให้เจนต้องหางานทำนะ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงมากอันดับต้นๆของอเมริกาเลยนะคะ สามแสนนี่หรูมากถ้าสะบัดบ๊อบที่โคราช แต่มาสะบัดแถวๆซานฟรานสามสี่เดือนก็หมดคะ ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าโทรศัพท์ ค่ารถ ด้วยความที่เจนไม่มีแหล่งเงินทุนหมุนเวียน หมดก้อนนี้ไปถ้าหามาเพิ่มไม่ได้คงต้องกลับไปให้คนอื่นสะบัดบ๊อบใส่ที่เมืองไทยละคราวนี้ ถึงชีวิตมันจะไม่ใช่แป๊บซี่แต่ก็ต้องเต็มที่กับมันที่สุด ก่อนเงินจะหมดเจนต้องแบกหน้าหาสมัครงาน เพราะถ้าหางานไม่ได้แปลว่าเลี้ยงตัวเองในซานฟรานไม่ได้ก็ต้องกลับเมืองไทย ดังนั้นความฝันที่จะเรียนต่อโทในมหาลัยที่ตั้งใจไว้คงไม่มีสิทธิ์จะเป็นจริงได้… บ่อยครั้งที่ร้องไห้ในห้องพักคนเดียวด้วยความเหงา และท้อแท้ที่ชีวิตไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ แต่ก็ร้องไห้ได้ไม่นานก็ฮึดสู้ใหม่คะ

(รออ่านต่อภาคถัดไปนะคะ)

ติดตามงานของเจนได้ที่แฟนเพจในเฟสบุคนะคะ สาระน่ารู้เกี่ยวกับแฟชั่นและความงาม
http://www.facebook.com/Jennitaswork
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่