ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ผมเข้ามาอ่านอยู่ตลอดเลย
อ่านไปก็เขินไป ผมไม่ได้หัวใจหล่ออะไรหรอกครับ ก็แค่หมอจบใหม่คนนึง
ประสบการณ์ก็น้อย ก็พยายามดูแลคนไข้ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ
เคสนี้อาจจะด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น ตัวผมเองก็มีน้องสาววัยรุ่นเหมือนกัน
ก็เลยมีแวบนึงที่คิดถึงน้องขึ้นมาด้วยครับ (เจ้าของล็อกอินนี้แหละครับ เหอๆ)
ยังไงก็ขอบคุณจริงๆ นะครับ มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ
อาชีพนี้ ยอมรับว่ามันเหนื่อย แต่เวลาเจออะไรดีๆ แบบนี้ หายเหนื่อยจริงๆ ครับ
======================
01.00
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปรับทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"หมอ พี่โทรจากห้องคลอดนะ" เสียงนั้นพูดรัวเร็ว "มีรับเคสใหม่ หมอมาดูหน่อยละกัน"
ผมยังไม่ตื่นดี แต่ก็ตอบรับไปตามสัญชาตญาณ
"ครับ เคสอะไรครับพี่"
"..." ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย "หมอมาดูเถอะ"
อาจจะเป็นเรื่องด่วน
ผมวางหู เด้งตัวขึ้นจากเตียง
มือคว้าเสื้อกาวน์ใส่ไปพลาง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปพลางจนถึงห้องคลอด
ในใจคาดว่าจะได้เจอภาพหญิงตั้งท้องกำลังขึ้นขาหยั่ง
มีอาการคลอดลำบาก อาจจะคลอดติดไหล่ หรือทารกอยู่ในภาวะคับขัน
ก็จินตนาการไปเรื่อย
ผมเปิดประตูห้องคลอด
เห็นพยาบาลเวรดึกราวสี่ห้าคนยืนมุงเตียงคนไข้อยู่
คนไข้ที่ว่า เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ผมตัดสั้นเท่าติ่งหู
ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
"หมอมาแล้ว" พยาบาลคนนึงในนั้นหันมาเห็นผม
"หมอ เด็กอายุ 13 ปี ท้อง 30 วีค เพิ่งรู้ตัวว่าท้อง ส่งตัวมาจาก รพ.ชุมชนเมื่อกี้
เพิ่งโทรไปแจ้งแม่เด็ก กำลังนั่งรถตามมา"
ผมหายง่วงในทันใด
"ไปอนามัยมาเมื่อตอนเลิกเรียน เพราะว่าเจ็บท้องถี่ แต่ยังไม่มีน้ำเดิน" พยาบาลอีกคนรายงานต่อ
"ถามอะไรก็ไม่พูด เอาแต่นั่งร้องไห้" ประโยคหลังลดลงเป็นเสียงกระซิบ
ผมมองคนไข้ของผมที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นงันงก ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน
ผมรู้แค่ว่าท้องปกติจะคลอดใน 40 วีค บวกลบเต็มที่ไม่เกิน 2-3 วีค
หากคลอดช้าหรือเร็วกว่านั้น เด็กจะไม่แข็งแรงอย่างมาก
นี่ 30 วีค แน่นอนว่าเด็กต้องออกมาไม่ดีเท่าเด็กปกติ
กลุ่มพยาบาลเข้ามาเจาะเลือดคนไข้ ติดเครื่องติดตามการเต้นหัวใจทารก
จากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานต่อ
ผมก้าวเข้าไป นั่งลงข้างๆ คนไข้ตัวน้อย
"ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องไห้" ผมยอมรับว่าเป็นคนปลอบใครไม่เก่งเลย
แต่รอไม่นานเด็กน้อยก็ค่อยๆ สงบลง
"ใจเย็นๆ ก่อนนะ ค่อยๆ เล่าให้พี่ฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น"
เด็กไม่พูด ไม่ตอบ ผมเปลี่ยนวิธีถามใหม่ ใช้การถามคำถามปลายปิดแทน
จนได้ข้อมูลว่า เด็กเรียนอยู่ ม.1 เริ่มมีเพศสัมพันธ์มาได้ราวๆ 1 ปี
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กผู้ชายแถวๆ บ้าน แก่กว่าสัก 2-3 ปี
"เป็นแฟนเราเหรอ" เด็กส่ายหน้า "ยังเจอกันอยู่ไหม" เด็กส่ายหน้าอีก
"เขาบังคับเราหรือเปล่า" เด็กยังคงส่ายหน้า
"เวลามีอะไรกัน ได้คุมกำเนิดไหม" คราวนี้เด็กนิ่งไป ไม่ส่ายหน้า ดวงตาฉายแววงุนงง
ผมสรุปเอาเองว่า คำตอบคงเป็นไม่
สมองผมประมวลผลอย่างหนัก มีสิ่งที่ต้องทำเยอะมาก
ไล่ตั้งแต่เด็กคนนี้ไม่ได้ฝากท้อง ไม่ได้คุมกำเนิด
ต้องเจาะเลือดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
แน่นอนว่ารวมถึง HIV ด้วย ซึ่งถ้าผลเป็นบวก เรื่องยุ่งจะตามมาอีกมาก
อีกทั้งไม่รู้เด็กจะโตพอที่จะเข้าใจหรือเปล่า
ขณะนั้น สิ่งที่พอทำให้ได้ คือตรวจสุขภาพทารกในครรภ์
ร่วมกับให้ยาลดการหดตัวของมดลูก และยากระตุ้นการเจริญเติบโตของปอดเด็ก
เผื่อในกรณีที่ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้สำเร็จ
"หมอ แม่เด็กมาแล้วนะ รออยู่หน้าห้องคลอด"
"ให้เข้ามาได้ครับพี่"
ขณะนั้นเป็นเวลา 01.30
'แม่เด็ก' เป็นหญิงร่างผอมบาง อายุราวสี่สิบปลายๆ
แก้มตอบ ใบหน้าซูบซีด
เธอก้าวเดินเข้ามาในห้องคลอดช้าๆ ดูพร้อมจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อเดินถึงเตียงที่ผมนั่งอยู่ แม่เด็กเอื้อมมือมา
ผมหลับตา ในใจคิดว่าจะได้เห็นฉากแม่ตีลูกซะแล้ว
แต่เปล่า
เธอคว้าตัวลูกน้อยที่กำลังร้องไห้ไปกอดแน่น
สองคนแม่ลูกไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
ผมเดินออกมาเงียบๆ
คืนนั้น แม่เด็กไม่สามารถหารถกลับได้
เนื่องจากว่ามืดแล้ว และบ้านเป็นซอยเปลี่ยวอยู่กลางทุ่งนา
"อ้าว แล้วคืนนี้แม่จะไปนอนไหน" พยาบาลคนนึงถามขึ้น
แม่เด็กยิ้มแห้งๆ "คงนอนรออยู่หน้าห้องคลอดค่ะ"
เงียบกันไปหมด
"แม่ทำงานอะไร ที่บ้านอยู่กันกี่คนครับ แล้วน้องที่จะเกิดมา มีคนเลี้ยงให้ไหม"
ผมถามขึ้นเผื่อว่าแม่จะต้องการความช่วยเหลือ
"แม่ทำงานแม่บ้านในโรงงาน
ที่บ้านอยู่กันสามคนจ้ะ มีตัวฉัน ยายเค้า แล้วก็ลูกสาว ส่วนพ่อเค้าเลิกกันไปแล้ว"
แม่ตอบ "ลูกคนนี้ แม่คงเลี้ยงเอง แม่เลี้ยงได้" เสียงยังคงแผ่วเบา แต่หนักแน่น
ผมอึ้ง ผู้หญิงตรงหน้าผม ทำงานโรงงาน เลี้ยงลูกคนเดียว
เพิ่งรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
และกำลังจะต้องรับเลี้ยงดูชีวิตน้อยๆ อีกหนึ่งราย
แต่เธอดูหนักแน่นเหลือเกิน
ผมอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้
จบเหตุการณ์คืนนี้ ผมโทรไปหาแม่ครับ
โทรไปบอกแม่ว่า ผมรักแม่มากที่สุดในโลกเลยนะ
แม่ผมงง "แกสบายดีรึเปล่าเนี่ย"
ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบ แต่เฉไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน
ผมเป็นหมอ นานๆที ถึงจะได้ว่างกลับบ้านไปหาพ่อแม่
แม้แม่ผมจะเป็นคนปากแข็งบ้าง แต่ที่โทรไปครั้งนี้ก็ดูออกว่าแกดีใจครับ
จำไว้นะครับ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
คนที่รักคุณที่สุด คือพ่อแม่
ผมคงไม่บอกว่า คุณควรจะทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
แต่ก่อนจะทำ อยากให้คิดถึงหน้าพ่อกับแม่ไว้มากๆ
แล้วสติจะมาเองครับ ว่าที่ทำอยู่น่ะ มันใช่มั้ย มันควรมั้ย
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่คือคนที่รักคุณมากที่สุดในโลก
อ่านไปก็เขินไป ผมไม่ได้หัวใจหล่ออะไรหรอกครับ ก็แค่หมอจบใหม่คนนึง
ประสบการณ์ก็น้อย ก็พยายามดูแลคนไข้ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ
เคสนี้อาจจะด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น ตัวผมเองก็มีน้องสาววัยรุ่นเหมือนกัน
ก็เลยมีแวบนึงที่คิดถึงน้องขึ้นมาด้วยครับ (เจ้าของล็อกอินนี้แหละครับ เหอๆ)
ยังไงก็ขอบคุณจริงๆ นะครับ มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ
อาชีพนี้ ยอมรับว่ามันเหนื่อย แต่เวลาเจออะไรดีๆ แบบนี้ หายเหนื่อยจริงๆ ครับ
======================
01.00
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปรับทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"หมอ พี่โทรจากห้องคลอดนะ" เสียงนั้นพูดรัวเร็ว "มีรับเคสใหม่ หมอมาดูหน่อยละกัน"
ผมยังไม่ตื่นดี แต่ก็ตอบรับไปตามสัญชาตญาณ
"ครับ เคสอะไรครับพี่"
"..." ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย "หมอมาดูเถอะ"
อาจจะเป็นเรื่องด่วน
ผมวางหู เด้งตัวขึ้นจากเตียง
มือคว้าเสื้อกาวน์ใส่ไปพลาง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปพลางจนถึงห้องคลอด
ในใจคาดว่าจะได้เจอภาพหญิงตั้งท้องกำลังขึ้นขาหยั่ง
มีอาการคลอดลำบาก อาจจะคลอดติดไหล่ หรือทารกอยู่ในภาวะคับขัน
ก็จินตนาการไปเรื่อย
ผมเปิดประตูห้องคลอด
เห็นพยาบาลเวรดึกราวสี่ห้าคนยืนมุงเตียงคนไข้อยู่
คนไข้ที่ว่า เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ผมตัดสั้นเท่าติ่งหู
ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
"หมอมาแล้ว" พยาบาลคนนึงในนั้นหันมาเห็นผม
"หมอ เด็กอายุ 13 ปี ท้อง 30 วีค เพิ่งรู้ตัวว่าท้อง ส่งตัวมาจาก รพ.ชุมชนเมื่อกี้
เพิ่งโทรไปแจ้งแม่เด็ก กำลังนั่งรถตามมา"
ผมหายง่วงในทันใด
"ไปอนามัยมาเมื่อตอนเลิกเรียน เพราะว่าเจ็บท้องถี่ แต่ยังไม่มีน้ำเดิน" พยาบาลอีกคนรายงานต่อ
"ถามอะไรก็ไม่พูด เอาแต่นั่งร้องไห้" ประโยคหลังลดลงเป็นเสียงกระซิบ
ผมมองคนไข้ของผมที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นงันงก ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน
ผมรู้แค่ว่าท้องปกติจะคลอดใน 40 วีค บวกลบเต็มที่ไม่เกิน 2-3 วีค
หากคลอดช้าหรือเร็วกว่านั้น เด็กจะไม่แข็งแรงอย่างมาก
นี่ 30 วีค แน่นอนว่าเด็กต้องออกมาไม่ดีเท่าเด็กปกติ
กลุ่มพยาบาลเข้ามาเจาะเลือดคนไข้ ติดเครื่องติดตามการเต้นหัวใจทารก
จากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานต่อ
ผมก้าวเข้าไป นั่งลงข้างๆ คนไข้ตัวน้อย
"ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องไห้" ผมยอมรับว่าเป็นคนปลอบใครไม่เก่งเลย
แต่รอไม่นานเด็กน้อยก็ค่อยๆ สงบลง
"ใจเย็นๆ ก่อนนะ ค่อยๆ เล่าให้พี่ฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น"
เด็กไม่พูด ไม่ตอบ ผมเปลี่ยนวิธีถามใหม่ ใช้การถามคำถามปลายปิดแทน
จนได้ข้อมูลว่า เด็กเรียนอยู่ ม.1 เริ่มมีเพศสัมพันธ์มาได้ราวๆ 1 ปี
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กผู้ชายแถวๆ บ้าน แก่กว่าสัก 2-3 ปี
"เป็นแฟนเราเหรอ" เด็กส่ายหน้า "ยังเจอกันอยู่ไหม" เด็กส่ายหน้าอีก
"เขาบังคับเราหรือเปล่า" เด็กยังคงส่ายหน้า
"เวลามีอะไรกัน ได้คุมกำเนิดไหม" คราวนี้เด็กนิ่งไป ไม่ส่ายหน้า ดวงตาฉายแววงุนงง
ผมสรุปเอาเองว่า คำตอบคงเป็นไม่
สมองผมประมวลผลอย่างหนัก มีสิ่งที่ต้องทำเยอะมาก
ไล่ตั้งแต่เด็กคนนี้ไม่ได้ฝากท้อง ไม่ได้คุมกำเนิด
ต้องเจาะเลือดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
แน่นอนว่ารวมถึง HIV ด้วย ซึ่งถ้าผลเป็นบวก เรื่องยุ่งจะตามมาอีกมาก
อีกทั้งไม่รู้เด็กจะโตพอที่จะเข้าใจหรือเปล่า
ขณะนั้น สิ่งที่พอทำให้ได้ คือตรวจสุขภาพทารกในครรภ์
ร่วมกับให้ยาลดการหดตัวของมดลูก และยากระตุ้นการเจริญเติบโตของปอดเด็ก
เผื่อในกรณีที่ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้สำเร็จ
"หมอ แม่เด็กมาแล้วนะ รออยู่หน้าห้องคลอด"
"ให้เข้ามาได้ครับพี่"
ขณะนั้นเป็นเวลา 01.30
'แม่เด็ก' เป็นหญิงร่างผอมบาง อายุราวสี่สิบปลายๆ
แก้มตอบ ใบหน้าซูบซีด
เธอก้าวเดินเข้ามาในห้องคลอดช้าๆ ดูพร้อมจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อเดินถึงเตียงที่ผมนั่งอยู่ แม่เด็กเอื้อมมือมา
ผมหลับตา ในใจคิดว่าจะได้เห็นฉากแม่ตีลูกซะแล้ว
แต่เปล่า
เธอคว้าตัวลูกน้อยที่กำลังร้องไห้ไปกอดแน่น
สองคนแม่ลูกไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
ผมเดินออกมาเงียบๆ
คืนนั้น แม่เด็กไม่สามารถหารถกลับได้
เนื่องจากว่ามืดแล้ว และบ้านเป็นซอยเปลี่ยวอยู่กลางทุ่งนา
"อ้าว แล้วคืนนี้แม่จะไปนอนไหน" พยาบาลคนนึงถามขึ้น
แม่เด็กยิ้มแห้งๆ "คงนอนรออยู่หน้าห้องคลอดค่ะ"
เงียบกันไปหมด
"แม่ทำงานอะไร ที่บ้านอยู่กันกี่คนครับ แล้วน้องที่จะเกิดมา มีคนเลี้ยงให้ไหม"
ผมถามขึ้นเผื่อว่าแม่จะต้องการความช่วยเหลือ
"แม่ทำงานแม่บ้านในโรงงาน
ที่บ้านอยู่กันสามคนจ้ะ มีตัวฉัน ยายเค้า แล้วก็ลูกสาว ส่วนพ่อเค้าเลิกกันไปแล้ว"
แม่ตอบ "ลูกคนนี้ แม่คงเลี้ยงเอง แม่เลี้ยงได้" เสียงยังคงแผ่วเบา แต่หนักแน่น
ผมอึ้ง ผู้หญิงตรงหน้าผม ทำงานโรงงาน เลี้ยงลูกคนเดียว
เพิ่งรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
และกำลังจะต้องรับเลี้ยงดูชีวิตน้อยๆ อีกหนึ่งราย
แต่เธอดูหนักแน่นเหลือเกิน
ผมอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้
จบเหตุการณ์คืนนี้ ผมโทรไปหาแม่ครับ
โทรไปบอกแม่ว่า ผมรักแม่มากที่สุดในโลกเลยนะ
แม่ผมงง "แกสบายดีรึเปล่าเนี่ย"
ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบ แต่เฉไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน
ผมเป็นหมอ นานๆที ถึงจะได้ว่างกลับบ้านไปหาพ่อแม่
แม้แม่ผมจะเป็นคนปากแข็งบ้าง แต่ที่โทรไปครั้งนี้ก็ดูออกว่าแกดีใจครับ
จำไว้นะครับ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
คนที่รักคุณที่สุด คือพ่อแม่
ผมคงไม่บอกว่า คุณควรจะทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
แต่ก่อนจะทำ อยากให้คิดถึงหน้าพ่อกับแม่ไว้มากๆ
แล้วสติจะมาเองครับ ว่าที่ทำอยู่น่ะ มันใช่มั้ย มันควรมั้ย