กรณีเหนือเมฆ 2 : เมื่อไหร่สังคมไทยจะก้าวข้าม “บุคคลนิยม” เสียที?

กรณีเหนือเมฆ 2 : เมื่อไหร่สังคมไทยจะก้าวข้าม “บุคคลนิยม” เสียที?


E-Mail : siam_shinsengumi@hotmail.com
FaceBook : Siam Shinsengumi

ในวันที่ผมเขียนบทความนี้ (12/1/2013) ก็ผ่านมา 7 วันแล้วครับ กับกรณีการถอดละคร “เหนือเมฆ 2” ออกจากผังช่อง 3 โดยให้เหตุผลเพียงว่ามีบางฉากบางตอนไม่เหมาะสม และเมื่อมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย ทั้งกรณีอ้างว่ากลัว ม.37 ของ พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551หรือกรณีที่ลุกลามไปถึง ป.อาญา มาตรา 112 ก็มีผู้คนอีกมากมาย ออกมาให้ความเห็น ทั้งที่อ่านจากตัวบทละครที่ได้เผยแพร่ไปแล้วจนจบก็ดี หรือตีความจากฉากที่ผ่านๆ มาก็ดี พบว่าไม่น่าจะมีอะไรเข้าข่ายทั้ง 2 กรณีดังกล่าวเลย

ที่น่าแปลกใจมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการวุฒิสภาก็ดี หรือ กสทช. ก็ดี รับอาสายื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางในการตรวจสอบว่าเนื้อหาอีก 3 ตอนที่เหลือไม่เหมาะสมจริงหรือไม่ อย่างไร (รวมถึงอาจมีวิธีอื่นหรือไม่ในการฉายต่อให้จบ เช่นอาจจะเลือกตัดบางฉากที่คิดว่ามีปัญหาออก) ช่อง 3 กลับเล่นตัดบทไปดื้อๆ ว่าจะไม่ส่งไปให้ตรวจสอบ แถมยังมีการออกมาบอกว่าไม่เกี่ยวกับ ม.37 หรือ ม.112 แล้วก็ไม่ขอตอบอะไรอีกต่อไป..แล้วจะไม่ให้มีคนสงสัย มันคงจะเป็นไปไม่ได้

แต่สิ่งที่ผมรู้สึก “เบื่อ” มากขึ้นไปอีก จะว่าไปผมเบื่อตั้งแต่ละครเรื่องนี้เริ่มฉาย มาจนถึงวันที่ละครโดนแบนไปแล้ว เรื่องดังกล่าวก็ไม่จบ และทำท่าจะแรงขึ้นเรื่อยๆ คือบรรดา “คอการเมือง” ทั้ง 2 ฝ่าย พยายามเอาสิ่งที่เห็นในละคร มาตีความเป็น “บุคคลทางการเมือง” บางคนในชีวิตจริงๆ โดยฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามจะเอาบทของนักการเมืองที่ไม่ดีในเรื่อง โยงขยายความออกมาในชีวิตจริงนอกจอให้ได้ โดยเฉพาะประเด็น “สัมปทานดาวเทียม” เรียกว่านับตั้งแต่ละครเริ่มฉาย กลุ่มที่ถูกคนรักทักษิณเรียกว่าสลิ่มก็ดี แมลงสาบก็ดี ตั้งกระทู้พาดพิงในสังคมออนไลน์เต็มไปหมด (ซึ่งผมว่ามันเป็นการทำลายบรรยากาศความบันเทิงอย่างมาก..คนจะดูละคร อยากจะทิ้งการเมืองบ้าง ขอเถอะนะ)

เช่นเดียวกัน..หลังละครถูกแบน ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล หรือพวกคนรักทักษิณ ออกมาซ้ำเติม เฮฮา สมน้ำหน้าผู้จัด (และฝ่ายคนเกลียดทักษิณ) กันใหญ่ ทั้งนี้เพราะเมื่อพลิกดูปูมหลังของนักแสดงรุ่นใหญ่บางคน พบว่ามีแนวความคิดทางการเมืองที่ “ไม่รักทักษิณ” อย่างชัดเจน ทำให้พอเอามารวมกับประเด็นดาวเทียมข้างต้น บรรดา “สาวกนายใหญ่” ทั้งหลาย จึงรับไม่ได้ และเมื่อละครถูกแบน คนเหล่านี้จึงออกอาการ “สะใจ” กันถ้วนหน้า    

ส่วนผมเองนั้น..ออกตัวไว้ก่อนว่าจริงๆ แล้ว ผมก็ยังสงสัยตัวเองว่าเป็นพวกไหนกันแน่ เอาเป็นว่าผมเป็นพวกเชื่อใน “คุณธรรม-จริยธรรมนิยม” (Meritocracist) และเชื่อว่ารัฐก็ดี สื่อมวลชนก็ดี ต้องเป็นผู้นำ หรือผู้สร้างกระแสปลูกฝังให้คนในสังคมเห็นคุณค่าของการทำความดี ซึ่งตรงกันข้ามกับพวก “เสรีนิยม” (Liberalist) ที่ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “ความดี-ความเลว” อยู่จริง ดังนั้นรัฐก็ดี หรือผู้ที่มีพลังในสังคมก็ดี ไม่มีหน้าที่ที่จะไปสอน หรือชี้นำให้ประชาชนทำหรือไม่ทำอะไร เพราะคนแต่ละคนย่อมมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตนเอง ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดผู้อื่น (แม้ว่ามันจะเป็นทางไปสู่ห้วงนรกอเวจี ในขุมที่ลึกที่สุดก็ตาม?) ดังนั้นผมจึงไม่ยึดติดว่า “ใคร” จะมาเป็นรัฐบาล แต่จะสนใจ และวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลนั้นทำ “อะไร” มากกว่า ถ้าใครที่ติดตามผมมาตลอด จะเห็นว่าผมพูดไปทีละนโยบายๆ และไม่ได้ตำหนิไปทุกนโยบาย อย่างที่ผมเน้นหนักที่สุดคือเรื่อง “รถคันแรก” เพราะมันทำให้ผมและอีกหลายคนที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัวเดือดร้อนไปด้วย (แต่ก็นะ..ผมโดนยัดข้อหาสลิ่ม โดนยัดข้อหามีรถใช้แล้วไม่อยากให้คนอื่นมีบ้างไปเสียแล้ว - -!) ทั้งที่จริงๆ แล้ว รัฐบาลต้องหาทางลดจำนวนการเพิ่มของรถยนต์ คือต้องใส่ใจ และเห็นแก่ความเสียสละ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ของคนที่เลือกที่จะไม่มีรถส่วนตัว แล้วมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นหลัก

กลับมาที่เรื่องละคร สิ่งที่ผมแปลกใจ คือคำว่า “สัมปทานดาวเทียม” กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ในการที่จะเอามา “สมมติ” (ย้ำนะว่าสมมติ) ว่าตัวละครนักการเมืองที่ไม่ดีในเรื่อง จะใช้ในการคอรัปชั่น เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง ทุกโครงการที่รัฐบาลอนุมัติ เป็นโครงการที่สามารถ “หาประโยชน์ทับซ้อน” ได้ทั้งหมดถ้าคนที่คิดไม่ดีทำไม่ดีต้องการ ถ้าท่านเป็นคนชอบติดตามข่าวสารบ้านเมือง ท่านจะพบคำว่า “กระทรวงเกรด A” หมายถึงกระทรวงที่ใครๆ ก็อยากมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งความหมายเบื้องหน้าหมายถึงกระทรวงใหญ่ คนมาคุมต้องเป็นคนเก่งๆ ..แต่ในความหมายเบื้องหลัง กระทรวงเหล่านี้เป็นกระทรวงที่มีงบประมาณมหาศาล และทุกโครงการที่อนุมัติกันไป โอกาสที่จะมี “เงินหล่นตามทาง” (ส่วนใครจะไปเก็บไว้บ้าง ไปคิดกันเอาเอง) นั้นเกิดได้มาก เกิดได้เร็ว และเงินที่หล่นนั้นมีจำนวนมหาศาล

ยกตัวอย่างกระทรวงประเภทที่ว่ามานี้ คือกระทรวงมหาดไทย , กระทรวงคมนาคม , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สังเกตว่านักการเมืองบางพรรค ไม่ขออะไรนอกจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงเดียว เวลาร่วมจัดตั้งรัฐบาล) และในอนาคต อาจรวม “กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร-ICT”  กับกระทรวงพลังงาน เข้าไปด้วย

กับอีกหลายกระทรวง ที่ถูกเรียกว่า “กระทรวงเกรด B” ที่แม้หลายกระทรวง ดูจากชื่อและหน้าที่รับผิดชอบน่าจะเป็นภารกิจใหญ่ที่สำคัญต่อบ้านเมืองเอามากๆ เช่นกัน แต่ในอีกทางหนึ่ง โครงการต่างๆ ที่กระทรวงเหล่านี้อนุมัติ มักจะเป็นโครงการที่มี “เงินหล่นตามทาง” ไม่มากนัก และหล่นได้ช้า ได้น้อย ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากมานั่งบริหารเท่าไร..ยกตัวอย่างที่ชัดเจน คือกระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ดังนั้นในอดีตที่ผ่านมา เวลาเราจะพูดถึงนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น ถามว่าเรามักจะนึกถึงการทุจริตอะไร? แน่นอนครับ กระทรวงคมนาคมโดนก่อนเลย เพราะการตัดถนนแต่ละเส้น ใช้งบประมาณมหาศาลมาก ยิ่งถ้าเป็นบรรดาทางด่วน ทางยกระดับทั้งหลาย งบยิ่งลงไปมากกว่าทางปกติเสียอีก จึงไม่แปลกอะไรที่จะเกิดปัญหาในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง (แรงไม่แรง พรรคพวกที่ทำงานรับเหมาก่อสร้าง บอกเลยว่าวงการนี้ไม่เป็นนักเลงจริง หรือ Back ไม่หนาจริง อยู่ไม่ได้ครับ การแข่งขันสูง และหลายครั้งเล่นกันถึงตาย)

รองลงมา กระทรวงมหาดไทยครับ เพราะในอดีตคุมตำรวจด้วย และถึงไม่ได้คุมตำรวจแล้วโดยตรง ก็ยังคุม จนท.ปกครองส่วนท้องถิ่น (ผู้ว่าฯ , นายอำเภอ , ปลัดอำเภอ) และเป็นธรรมเนียมที่รองนายกฯ ที่คุมตำรวจ จะต้องไปเป็น รมว.มหาดไทย หรือ มท.1 ด้วย ถามว่าผลประโยชน์มหาศาลไหมละครับ ทุกจังหวัดล้วนมี “พื้นที่สีเทา-สีดำ” อยู่แล้ว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เป็นแหล่งรายได้นอกกฏหมายชั้นดี ของบรรดา จนท. เหล่านี้ละครับ คงไม่ต้องอธิบายกันมาก

“กรมป่าไม้” สังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ ในอดีตก็ถูกมองว่าทุจริตกันมาก ในการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และการลักลอบค้าสัตว์ป่าสงวน แต่ปัจจุบัน กระแสดังกล่าวลดลงไปมาก (ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน)

นอกจากนี้กระทรวงอื่นๆ อาจทุจริตได้บ้าง แต่หนังหรือละคร มันต้องทำให้ตื่นเต้น และในความตื่นเต้นนี้แหละครับ จะมีอะไรที่หวือหวา มากไปกว่าที่จะให้ตัวเอกและพรรคพวก ต้องต่อสู้กับอิทธิพลมืดจากการทุจริตในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ 2 กระทรวงดังกล่าวข้างต้น ที่สามารถหาความสมเหตุสมผลให้บรรดาเหล่าร้าย มีกองกำลังติดอาวุธ และยุทโธปกรณ์ทันสมัย เพื่อคุ้มกันแผนการทุจริตดังกล่าว ไม่ให้พวกพระเอกมาทำลายได้

ยกตัวอย่าง..วันนี้ผมก็ยังนึกไม่ออก สมมติถ้าจะเขียนนิยายให้พระเอกสู้กับการทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ มันจะออกมาเป็นแนว Action ตื่นเต้นได้ยังไง? เพราะคมนาคมมีพวกเจ้าพ่อรับเหมาก่อสร้างเป็นพวก ส่วนมหาดไทยอาจมีนายอำเภอ กำนัน หรือตำรวจกังฉินเป็นพวก แน่นอน คนพวกนี้มีกองกำลังติดอาวุธ ทั้งอันธพาลและมือปืนแน่ๆ แต่ศึกษาธิการจะเอาอะไรเป็นพวก? ครู? เออ ถ้าครูสามารถหากองกำลังติดอาวุธข้างต้นมาได้อย่างสมเหตุสมผล ค่อยว่ากันนะครับ - -!

แต่ในยุคใหม่ การทุจริตถนนหนทางก็ดี งบปกครองท้องถิ่นก็ดี ป่าไม้ก็ดี ยาเสพติดก็ดี มันล้าสมัย และมีคนเล่นกันมากไปแล้ว คนเขียนบทก็ต้องหาอะไรที่มัน “ใหม่ๆ” และดู “ใหญ่ๆ”  และจะมีอะไรในตอนนี้ ที่เขียนบทออกมาแล้ว คนดู-คนอ่าน จะตื่นเต้นได้มากเท่า “สัมปทานดาวเทียม” ซึ่งถ้ามันดันไปพาดพิงคนจริงๆ อยู่บ้าง มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะถ้ามี Sensitive กันในเรื่องนี้มากๆ ผมว่าอีกหน่อย ไม่ต้องสร้างหรอกครับ อะไรที่มันพาดพิงบรรดาคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองทั้งหลาย เพราะแตะไปตรงไหนก็โดนหมด ทุกกระทรวง ทุกองค์กรของภาครัฐ แล้วถ้าต่อไป ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล เกิด Sensitive กันหมด เอาละ..ต่อไปเราจะทำอะไร? (บทความผมเมื่อสัปดาห์ก่อน ถึงได้ตั้งหัวข้อว่า “เพิ่งรู้ว่านักการเมืองไทย..ล่วงละเมิดมิได้” ซึ่งจริงๆ ผมรวมถึงบรรดาข้าราชการใหญ่ๆ ทั้งหลายด้วย) เพราะแค่เรื่องเล็กๆ ชื่อตัวละคร ก็มีโอกาสไปซ้ำกับคนจริงๆ อยู่แล้ว ถ้าชื่อไปซ้ำกับตัวร้าย แล้วออกมาประท้วงบ้าง มันจะไม่วุ่นกันใหญ่หรือ?

ที่เบื่อที่สุดอีกประเด็นหนึ่ง คือบรรดากองเชียร์รัฐบาล + พวกคลั่ง Liberalist ยังยกวาทกรรม “คนดี” มาโจมตีอีกฝ่าย ทั้งผู้จัด นักแสดงบางคน และบรรดาคนไม่ชอบรัฐบาลนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เนื้อหาในละคร ไม่ได้เน้นไปที่ “คนดี” แต่เน้นไปที่ “ความดี” ซึ่งอย่างแรกเป็นเรื่องของบุคคล ส่วนอย่างหลังเป็นเรื่องของหลักการ หรืออุดมการณ์ อย่างที่ผมบอกไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่าบทนั้นพยายามจะสื่อว่า “คนดีอาจตายได้ แต่ความดีจะไม่มีวันตาย” ซึ่งถ้าเปรียบเทียบในความเป็นจริง คนทำความดีก็อาจตายได้ หรือคนทำความดีวันนี้ อาจจะทำผิด กลายเป็นคนเลววันหน้าก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของบุคคล ถามว่าตัว “ความดี” ที่เป็นหลักการ หรือค่านิยมนั้น มันเลวลงตามบุคคลที่เคยเป็นคนทำความดี แต่หันไปทำเลวหรือเปล่า? หรือมันตายไปพร้อมกับคนทำความดีที่เสียสละชีวิตตัวเองหรือเปล่า? ..คำตอบมันแน่อยู่แล้วว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน”

แต่ถ้าจะออกลูกกวนประสาท ถามคำถามโลกแตก “อะไรคือดี-เลว” ผมว่าคงไม่ตอบดีกว่า เพราะเราๆ ท่านๆ ก็รู้กันอยู่ ว่าการคอรัปชั่น ยังไงก็ไม่ใช่สิ่งดี ความดีแน่นอน (ผมเป็นคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับคำว่า “โกงไม่เป็นไร ขอให้ตัวเองได้ประโยชน์ด้วยก็พอ”) ดังนั้น การชี้นำให้คนรังเกียจการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงไม่เห็นจะผิดตรงไหน ตรงกันข้าม ควรจะส่งเสริมให้หนักขึ้น ให้เป็นค่านิยมเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่ละครแนวนี้ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นได้แค่ละครเย็น ส่วนหลังข่าว มีแต่ผัวๆ เมียๆ ด่าทอตบตีไปวันๆ

นักการเมือง “ท่านนั้น” มาแล้วก็ไปครับ ต่อไปอาจจะมีคนที่ทุจริตได้เนียน และใหญ่โตกว่าก็เป็นได้ เช่นเดียวกัน คนที่เป็นคนดีวันนี้ อย่างไรก็เป็นคน ถ้าถูกคุกคามหนักๆ ก็อาจตายได้เช่นกัน แต่สิ่งที่จะทำให้ความชั่วไม่มีพลังเพียงพอที่ก่อความเดือดร้อนให้ใครได้ ก็อยู่ที่ค่านิยมของสังคม ว่าส่วนใหญ่ยังยึดมั่นในความดีงาม ที่เป็น “เกียรติยศ” อยู่หรือเปล่า? หรือว่าต่างคนต่างคิดแต่สิทธิส่วนบุคคล ผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าที่จะห่วงใยส่วนรวม

สัปดาห์นี้จึงจบด้วยคำถามสั้นๆ ถึงทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ “เมื่อไรสังคมไทย จะก้าวข้ามตัวบุคคลเสียที?”

………………………..

Siam Shinsengumi
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่