โดย ดร.วิรไท สันติประภพ
เป็นบทความที่เขียนลงใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555
เนื้อหาน่าสนใจมากทีเดียว จึงจะนำบทความทั้งฉบับมาเผยแพร่ นะคะ
ออกจะยาวซักนิด ขออนุญาตแบ่งการนำเสนอเป็นช่วงๆ เพื่อการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก น่าจะดีนะคะ….
เริ่มแรก ดร.วิรไท เกริ่นไว้ดังนี้ค่ะ......
“ผมเขียนบทความนี้ไม่ใช่ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ แต่เขียนในฐานะคนไทย ที่กังวลว่าจริยธรรมของผู้มีอำนาจรัฐและของสังคมไทยกำลังไหลลงรวดเร็ว และถ้าเราปล่อยไหลลงไปเรื่อยๆ แล้ว ผมสงสัยว่าสังคมไทยจะอยู่อย่างไรในอนาคต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเวลานี้ คงหนีไม่พ้นกรณีการขายข้าวของรัฐบาลแบบ G to G หรือแบบ (ที่ทำให้เชื่อว่า) เป็นการขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ ในวันนี้รัฐบาลมีข้าวที่ซื้อจากชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวมาอยู่ในความดูแลของรัฐแล้วมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทและในปีใหม่นี้ก็จะเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์และผู้รู้เรื่องข้าวได้ชี้ให้เห็นผลเสียของโครงการนี้มาตั้งแต่ต้นว่าจะเกิดความเสียหายมากมาย โดยเฉพาะโอกาสที่จะรั่วไหลได้ง่ายในทุกขั้นตอน
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวหลายเรื่อง ตั้งแต่การสวมสิทธิ์ชาวนา การนำข้าวจากต่างประเทศมาเข้าโครงการ การนำข้าวในโครงการมาหมุนเวียน การที่โรงสีบางแห่งกดราคาชาวนาโดยอ้างเรื่องความชื้นเกินเกณฑ์ และการเอาข้าวคุณภาพต่ำส่งเข้าโกดังรัฐ
ในช่วงแรกรัฐบาลปฏิเสธเสียงแข็งว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน โปร่งใส ไม่มีการทุจริต จนกระทั่งหลักฐานต่างๆ ทยอยออกมาเรื่อยๆ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจึงเริ่มยอมรับว่ามีการทุจริตบ้าง แต่เป็นระดับปฏิบัติการหรือระดับเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ผู้รู้เรื่องข้าวหลายท่านได้เตือนให้ติดตามตอนที่รัฐบาลขายข้าวเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสที่จะโกงได้อย่างเป็นกอบเป็นกำโดยกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจรัฐ ต่างจากการโกงในกระบวนการรับซื้อข้าวที่จะกระจายผลประโยชน์กันไปตามหัวคะแนน โรงสี และผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่น”
แค่บทนำก็น่าสนใจติดตามไม่น้อยเลย….ว่ามั้ยคะ
“G to G…จากโกหกถึงโกง?”
เป็นบทความที่เขียนลงใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555
เนื้อหาน่าสนใจมากทีเดียว จึงจะนำบทความทั้งฉบับมาเผยแพร่ นะคะ
ออกจะยาวซักนิด ขออนุญาตแบ่งการนำเสนอเป็นช่วงๆ เพื่อการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก น่าจะดีนะคะ….
เริ่มแรก ดร.วิรไท เกริ่นไว้ดังนี้ค่ะ......
“ผมเขียนบทความนี้ไม่ใช่ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ แต่เขียนในฐานะคนไทย ที่กังวลว่าจริยธรรมของผู้มีอำนาจรัฐและของสังคมไทยกำลังไหลลงรวดเร็ว และถ้าเราปล่อยไหลลงไปเรื่อยๆ แล้ว ผมสงสัยว่าสังคมไทยจะอยู่อย่างไรในอนาคต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเวลานี้ คงหนีไม่พ้นกรณีการขายข้าวของรัฐบาลแบบ G to G หรือแบบ (ที่ทำให้เชื่อว่า) เป็นการขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ ในวันนี้รัฐบาลมีข้าวที่ซื้อจากชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวมาอยู่ในความดูแลของรัฐแล้วมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทและในปีใหม่นี้ก็จะเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านบาทเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์และผู้รู้เรื่องข้าวได้ชี้ให้เห็นผลเสียของโครงการนี้มาตั้งแต่ต้นว่าจะเกิดความเสียหายมากมาย โดยเฉพาะโอกาสที่จะรั่วไหลได้ง่ายในทุกขั้นตอน
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวหลายเรื่อง ตั้งแต่การสวมสิทธิ์ชาวนา การนำข้าวจากต่างประเทศมาเข้าโครงการ การนำข้าวในโครงการมาหมุนเวียน การที่โรงสีบางแห่งกดราคาชาวนาโดยอ้างเรื่องความชื้นเกินเกณฑ์ และการเอาข้าวคุณภาพต่ำส่งเข้าโกดังรัฐ
ในช่วงแรกรัฐบาลปฏิเสธเสียงแข็งว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน โปร่งใส ไม่มีการทุจริต จนกระทั่งหลักฐานต่างๆ ทยอยออกมาเรื่อยๆ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจึงเริ่มยอมรับว่ามีการทุจริตบ้าง แต่เป็นระดับปฏิบัติการหรือระดับเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ผู้รู้เรื่องข้าวหลายท่านได้เตือนให้ติดตามตอนที่รัฐบาลขายข้าวเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสที่จะโกงได้อย่างเป็นกอบเป็นกำโดยกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจรัฐ ต่างจากการโกงในกระบวนการรับซื้อข้าวที่จะกระจายผลประโยชน์กันไปตามหัวคะแนน โรงสี และผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่น”
แค่บทนำก็น่าสนใจติดตามไม่น้อยเลย….ว่ามั้ยคะ