การแต่งงานของท่านนบีมูฮำหมัด ซล. กับ ท่านหญิง มัยมูนะห์ บินติ อัลฮาริษ

ท่านหญิง มัยมูนะห์ บินติ อัลฮาริษ

แปลและเรียบเรียง อ. อิหฺซาน มีผลกิจ           

ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 7 ท่านนบี  พร้อมกับบรรดาศอฮาบะต์จำนวน 2000 คน ได้มุ่งหน้าไปมักกะฮฺ เพื่อทำอุมเราะฮฺ (ชดใช้) ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ได้ทำไว้ต่อสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮฺ  ซึ่งท่านนบี  ได้ตกลงกับบรรดากุเรชมักกะฮฺ ในปีฮิจเราะห์ที่ 6 (ปีที่ทำสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮฺ) ท่านนบี  และศอฮาบะฮฺ ได้เข้าไปในมักกะฮฺ เพื่อทำอุมเราะฮฺ เป็นเวลา 3 วัน ตามมติที่ตกลงกันไว้ และพวกกุเรชมิได้ทำอันตราย ท่านนบี และศอฮาบะฮฺ แต่อย่างใด         

  แต่ทว่า พวกกุเรชนั้นได้ละทิ้งบ้านของพวกเขาในมักกะฮฺ และออกมาปลูกกระโจมอยู่รอบๆมักกะฮฺ เนื่องจากหวาดหวั่นต่อท่านนบี และบรรดาศอฮาบะฮฺ และในเวลาอันสั้น (3 วันในมักกะฮฺ) อัลลอฮ์ ทรงให้นบี  เกิดความรักความเมตตา หญิงหม้ายคนหนึ่งที่สามีของนางเสียชีวิตไป (ในขณะนั้นท่านนบีมีอายุ ได้ 60 ปี) นางคือ บุรเราะห์ บินติ อัลฮาริษ ซึ่งนางไม่สามารถที่จะทำอุมเราะฮฺต่อได้เนื่องจากการจากไปของสามีนาง   ละบาบะฮฺ บินตฺ อัลฮาริษ ภรรยาของอับบาส อิบนุ อับดุลมุตตอลิบ ซึ่งเป็นลุงของท่านนบี   ละบาบะฮฺ เป็นพี่สาวคนโตของนาง และผู้หญิงคนแรกที่เข้ารับอิสลามหลังท่านหญิงคอดีญะฮฺ  

ละบาบะฮฺได้บอกเรื่องนี้กับสามีของนาง(อับบาส)ในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับน้องสาว  อับบาสจึงได้รีบไปหาท่านนบี แล้วได้บอกเรื่องที่ภรรยาเขาได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับน้องสาวของนาง เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในวันที่สาม หลังจากที่ท่านได้เดินทางเข้ามักกะฮฺ เพื่อปฏิบัติอุมเราะหฺ และเป็นวันสุดท้ายที่พวกกุเรชอนุญาตให้ท่านนบี  และบรรดาศอฮาบะฮ์ อยู่ที่มักกะฮฺตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้ในสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮฺ ซึ่งครบหนึ่งปีพอดี  เมื่อท่านนบี  ได้ฟังเรื่องราวจากอับบาส ท่านจึงได้ตกลงที่จะไปสู่ขอนางในวันนั้นเลย และอับบาสได้รับมอบหมายจากท่านนบี  ให้ไปทำการสู่ขอ (อักดฺ) แทน 

ท่านนบี  และยะฮฺฟัร อิบนุ อบีตอลิบ ซึ่งเป็นพี่เขยของนางบุรเราะฮฺ ยะฮฺฟัรเป็นสามีของอัสมาอฺ บิรุ อุมัยชฺ ซึ่งเป็นพี่สาวของนาง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการทำอักดฺ (สู่ขอตัวนาง) และท่านนบี  ต้องการที่จะทำการแต่งงาน (อักดุนนิกะฮฺ) ให้เสร็จในมักกะฮฺ โดยที่เขาทั้งสองอยู่ในมักกะฮฺด้วย
ท่านจึงไปขอต่อชาวกุเรชให้เลื่อนเวลาออกในการอยู่ในมักกะฮฺอีกวันหนึ่ง แต่บรรดากุเรชได้ปฏิเสธในคำขอร้องของท่าน เนื่องจากเกรงว่าประชาชนในมักกะฮฺจะเข้ารับอิสลาม ซึ่งมีผลมาจากท่านนบี  บรรดาศอฮาบะฮฺ ที่ยังอยู่ในมักกะฮ์   

ท่านนบี จึงได้ออกจากมักกะฮฺเพื่อรักษาสัญญา ที่ได้ตกลงกันไว้กับชาวกุเรช และมาทำพิธีนิกาฮฺกับนางบุรเราะหฺที่นอกเมืองมักกะฮฺ ณ สถานที่ที่ถูกขนานนามมาจนปัจจุบันนี้ว่า “ตะนะอีม” ซึ่งถือได้ว่า“บุรเราะฮฺ” เป็นภรรยาท่านสุดท้ายของท่าน หลังจากแต่งงานแล้วท่านนบบี ก็ได้เปลี่ยนชื่อจากนางบุรเราะหฺ มาเป็น “มัยมุนะฮฺ” แทน 

เช่นเดียวกับที่ได้เปลี่ยนชื่อภรรยาของท่านที่เป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าบนีมัสตอลิด ซึ่งเดิมนางชื่อ บุรเราะหฺ บินตุ อัลฮาริษ หลังจากแต่งงาน ท่านได้เปลี่ยนเป็น ญุวัยรียะฮฺ บินตุ อัลฮาริส แทน และสาเหตุของการเปลี่ยนชื่อทั้งสองท่านนี้อาจมีความลับซ่อนอยู่ในนั้น กล่าวคือ การเปลี่ยนชื่อจาก บุรเราะหฺ บินตุ อัลฮาริษ เป็น ญุวัยรียะฮฺ ซึ่งแปลว่า –ผู้ให้ความช่วยเหลือ – หมายความว่านางได้ให้ความช่วยเหลือเผ่าของนางให้พ้นจากการเป็นเชลย และสภาพการเป็นชิริกมาสู่อิสลาม 

ส่วนบุรเราะหฺ บินตุ อัลฮาริษ ซึ่งเป็นชาวมักกะฮฺ หลังจากการแต่งงานกับท่านนบี  ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น “มัยมูนะฮฺ” แปลว่า ผู้ถูกโปรดปราน เนื่องจากเป็นเวลาที่อัลลอฮฺ ได้โปรดปรานให้ท่านนบี  และศอฮาบะฮฺทั้งหลาย สามารถกลับเข้าไปมักกะฮฺ อีกครั้งเพื่อทำการฏอวาฟและซะแอ ซึ่งหลังจากท่านนบี  อพยพไปมะดีนะฮฺ  บรรดากุเรชก็ห้ามบรรดามุสลิมเข้ามักกะฮฺ เป็นเวลานานถึง 7 ปี(นับตั้งแต่ท่านอพยพจากมักกะฮฺไปมะดีนะฮฺ) 

http://www.islammore.com/main/content.php?page=news&category=4&id=2984

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่