"พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล"หนุนเกษตรกรปลูกหญ้าเนเปีย 2 ล้านไร่ สร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส 10,000 เมกวัตต์ภายใน 3 ปี

กระทู้ข่าว
"พงษ์ศักดิ์  รักตพงศ์ไพศาล"หนุนเกษตรกรปลูกหญ้าเนเปีย 2 ล้านไร่ สร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส 10,000 เมกวัตต์ภายใน 3 ปี
ตลอดระยเวลา   2  เดือนเศษ ของการก้าวเข้ามาในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของนายพงษ์ศักดิ์  รักตพงศ์ไพศาล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน   ประกาศเดินหน้าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างชัดเจนต่อเนื่อง ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อข้าราชการระดับสูง ผู้บริหาร กรม กอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากการติดตามแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของปริมาณพลังงานสำรอง ในประเทศทั้งเรื่องก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันอยู่ในสถานะที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการใช้กลับเพิ่มขึ้นทุกภาคส่วน  ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตพลังงานกระแสไฟฟ้า   ภาคอุตสาหกรรม  ธุรกิจบริการและภาครัวเรือน ส่งให้ประเทศไทยต้องนำเข้าพลังงานในสัดส่วนที่สูงมากในรอบปี 2553ประเทศไทยพึ่งพาน้ำมันในสัดส่วน 37% และก๊าซธรรมชาติ 44% ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นเงินตราเกือบ 900 ล้านบาท ทั้งนี้การคาดการณ์ว่าอัตราเพิ่มขึ้นยังคงสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเพิ่มของความต้องการก๊าซธรรมชาติสูงกว่า 5% ต่อปี  
การผลิตไฟฟ้าสนองความต้องการของประเทศในรอบปี 2553 พบว่าทำการผลิตจากก๊าซธรรมชาติสูงกว่า 70% และในปี 2554 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 ก็สูงกว่า 66% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ส่งผลต่อสถานการณ์การกระจายแหล่งพลังงาน ที่จะกระทบต่อความมั่นคงของแหล่งผลิตไฟฟ้าในอนาคต
จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดทำแผนพัฒนาไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2010) อย่างเป็นระบบ นอกจากจะพิจารณาถึง ความมั่นคงของระบบ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และราคาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแล้ว ยังพยายามปรับแผนให้มีการกระจายแหล่งพลังงาน โดยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติลง ทั้งนี้ ตามแผนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนกำลังผลิตติดตั้งของประเทศอยู่ 50% (กำลังผลิตติดตั้งทั้งหมดประมาณ 30,000 MW) จะดำเนินการพัฒนา โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 800 MW จำนวน 13 โรง โรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดขนาด 800 MW จำนวน 9 โรง และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาด 1 000 MW จำนวน 5 โรง  ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดแผน PDP 2010 ประเทศไทยจะมีกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมดประมาณ65,000 MW  
สำหรับพลังงานสีเขียวรัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาไปสู่ความสมดุล คำนึงถึงการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดหาพลังงานให้เพียงพอ รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงของประชากร อาทิ การพัฒนาพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ โดยส่งเสริมให้เอกชนผลิตในปริมาณ 2,000 เมกกะวัตต์ขณะที่พลังงานทดแทนจากพลังงานสีเขียวหรือพืชพลังงาน มีเป้าหมายกำลังการผลิตอยู่ที่ 10,000  เมกกวัตต์  
ปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน ยังมีต้นทุนการผลิตที่สูง หากดำเนินการผลิตแบบแยกส่วน หากดำเนินการผลิตแบบผสมผสาน ในรูปแบบที่หลากหลาย โอกาสที่พลังงานทดแทนจะมีต้นทุนการผลิตที่ลดลง ย่อมเกิดขึ้นในระยะยาว อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 15 บาทต่อหน่วย พลังงานลมประมาณ 10 บาทต่อหน่วย พลังน้ำขนาดเล็กประมาณ 5 บาทต่อหน่วย สำหรับพลังงานไอโอแก๊สผลิตจากหญ้าเนเปียร์ อยู่ที่ประมาณ 6 บาท ต่อหน่วย  ส่วนพลังงานนิวเคลียร์จากผลการศึกษาพบว่าต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย แต่ก็เป็นพลังงานทางเลือกที่มีแนวโน้มความนิยมลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้แต่สหภาพยุโรปยังมีแนวโน้มที่ลดสัดส่วนการผลิตเร็วกว่าเดิมร่วม 10 ปี
รมว.พลังงานเดินหน้าส่งเสริมผลิตก๊าซชีวภาพ
นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อพลังงานสีเขียว ดุลยภาพสู่ความยั่งยืน ถือเป็นเวทีแรกที่
กระทรวงพลังงานประกาศแนวนโยบายที่ชัดเจนต่อการสนับสนุนพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยจะเดินหน้าผลิตพลังงานชีวภาพจากหญ้าเลี้ยงช้าง หรือ หญ้าเนเปียร์ ให้ได้มากกว่า 10,000 เมกะวัตต์
เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า ให้ได้ร้อยละ 20 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ร้อยละ 25 ใน 20 ปี
เดินเกมรุกเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์หญ้าเนเปียร์เตรียมพร้อมพื้นที่ปลูกและสายพันธุ์
เมื่อวันที่  6  มกราคม 2556  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ นคราชสีมา อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์หญ้าเนเปีย ปากช่อง 1
ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องของการผลิตเป็นปุ๋ย  เลี้ยงโคนมและแกะ เจริญเติบโตได้ดีมากสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างงาม จากคุณสมบัติมีโปรตีนสูง  ขณะเดียวกันจากระดับความหวานที่เหมาะสมยังมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการผลิต  ไบโอแก๊ส  เป็นแก๊สธรรมชาติที่ดีที่สุด เพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตโรงผลิตกระแสไฟฟ้า  โดยรับฟังการบรรยายในขั้นตอนการปลูกหญ้าเนเปียร์โดยละเอียด จากผู้บริหารกรมปศุสัตว์  พร้อมทั้งลงพื้นที่พบปะเกษตรกรที่ปลูกหญ้าและกลุ่มเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมและแกะ ในตำบล ลำสมพุง อำเภอมวกเหล้ก จังหวัดสระบุรี อย่างใกล้ชิด
นายพงษ์ศักดิ์   ได้กล่าวสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเกษตรกรว่า กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการผลิตอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากหญ้าเนเปียร์ ให้ได้ถึง 10,000 เมกวัตต์ มีพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกหญ้า 2 ล้านไร่  ภายในระยะเวลา 3 ปี การบริหารจัดการเป็นไปในลักษณะ คอนแท็คฟาร์มมิ่ง  โดยเกษตรกรเสมือนหนึ่งหุ้นส่วน โรงงานผลิตไฟฟ้าจะรับซื้อทั้งหมด  คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรอย่างมาก ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมภาคการผลิตด้านปศุสัตว์ให้มีต้นทุนการผลิตที่ลดลงในระยะยาว
พร้อมทั้งมอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนา ดำเนินการศึกษาแนวทางการเตรียมความพร้อมเรื่องขยายพันธุ์หญ้าเนเปีย และพื้นที่ปลูก ให้เพียงพอต่อการรองรับแผน ขยายพื้นที่ปลูกให้ครอบคลุม  2 ล้านไร่ภายใน 3 ปี
เบื้องต้นสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรเป็นอย่างดี ถือเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกร คาดว่า ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ปี 2556 จะสามารถออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้ามาลงทุน โดยโรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพจากหญ้าเนเปียร์ เบื้องต้นการลงทุนโรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท
หลังจากพูดคุยกับเกษตรกร คณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและสื่อมวลชน ได้เดินทางต่อไปยังโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานงานลม เวสสต์ ห้วยบง 2 และ เวสต์ห้วยบง 3 ของบริษัทเฟิร์ส โคราช วินด์ จำกัด บริษัท เค .อาร์.ทู จำกัดในเครือ บริษัท วินด์เอนนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศ ตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด อยู่ในพื้นที่ทำกินของราษฎรหรือผังปฏิรูปที่ดินของ สปก.ทั้งหมด โดยรับฟังการรายงานรายละเอียดโครงการจากผู้บริหาร พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ต่อแนวนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานทดแทน รวมทั้งแผนการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ที่ขอเลื่อนออกไปจนกว่าจะมีรายละเอียดของผลการศึกษากลุ่มประชาชนที่ยากจนจะได้รับการชดเชยราคาก๊าซที่ชัดเจน  อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเบื้องต้นจะมีประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับการชดเชย จำนวน  9 ล้านครัวเรือน และมีผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2 กลุ่มคือกลุ่มคนรวยและพ่อค้าที่ลักลอบ นำก๊าซขายแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานลมแห่งนี้เริ่มทำการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2549 ออกแบบและก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2553 โดยการสนับสนุนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต สำนักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม รวมทั้งองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่
ลักษณะโครงการแยกเป็น 2 ส่วน โดยออกแบบและก่อสร้างต่อเนื่องกันไปโครงการละ  45 ต้น รวม 2 โครงการเป็น 90 ต้น สูงจากระดับพื้นดิน 100  เมตร ปีกใบพัดยาว 50 เมตร รวมเป็น  3 ใบพัด ต่อ 1 ต้น  กำลังการผลิตของกระแสไฟฟ้าที่ได้จากโครงการ
เสากังกัน 1 ต้น สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 2.3 เมกกะวัตต์เทคโนโลยีกังหันลม:Siemens   SWT ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 207 เมกกะวัตต์ ความเร็วลมเฉลี่ย 6  เมตร/วินาที คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ ประมาณ 350-400 ล้านสหน่วยต่อปี
ทั้ง 2 โครงการจะส่งไฟฟ้าเข้าระบบ ของ กฟผ.ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ไม่เกินไตรมาสแรกของปี พ.ศ.2556 โดยส่งไปที่สถานีไฟฟ้าแรงสูง ของ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
หลังจากเสร็จภารกิจเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานลม นายพงษ์ศักดิ์  และคณะสื่อมวลชนได้เดินทางไปเยี่ยมชม พื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์ อีกพื้นที่หนึ่งซึ่งใช้น้ำเสียจากโรงงานแป้งมัน ขนาด 600 ไร่ ที่ตำบลสีคิ้ว  อำเภอสีคิ้ว พร้อมรับฟังการรายงานผลการดำเนินงาน และเยี่ยมชมพื้นที่ปลูกหญ้า พบว่าคุณภาพของหญ้าอุดมสมบูรณ์และมีความ เขียวมากกว่าพื้นที่แปลงอื่นๆ หลังจากนั้นได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกรก่อนเดินทางกลับ
โดยกล่าวกับเกษตรกรสร้างความเชื่อมั่นต่อโครงการปลูกหญ้าเนเปียร์ ว่าจะสามารถยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด ขณะเดียวกันก็สามารถกระจายความเสี่ยงในเรื่องของพลังงานสำรองในประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงาน ทั้งน้ำและไฟฟ้า ให้กับประชาชน หลังจากนี้จะสรุปผลแนวทางการศึกษาและแผนการดำเนินงานต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการอนุมัติโครงการต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่