คนไร้ศาสนา กับคนไม่นับถือศาสนา...?
ศาสนาเสื่อม หรือคนเสื่อมจากศาสนา..?
ศาสนาชักนำให้คนโง่ หรือคนโง่ไปงมงายกับศาสนา...?
คนมากนับถือศาสนาใด มิได้หมายความว่า ศาสนานั้นมีคำสอนดีเลิศอะไรเลย
ยังพอจดจำคำของ "ท่านครูสัญชัยปริพาชก สนทนากับพระสารีบุตร" หรือไม่
ครั้งเมื่อท่านอุปติสสะ (ภายหลังคือพระสารีบุตร) ฟังธรรมเบื้องต้นจาก พระอรหันต์อัสสชิ เกิดดวงตาเห็นธรรม สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นสมบูรณ์ จึงกลับสำนักไปลาออกจากการเป็น "ผู้จะสืบทอดสำนักของครูสัญชัยปริปาชก"
"...ท่านอาจารย์... เราควรละสำนักนี้ ไปสู่สำนักของท่านบรมครู "พุทธโคดม" กันเถิด.." ท่านสารีบุตรกล่าว
ท่านครูสัญชัย...ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับยกคำถามไถ่ถามต่อ พระสารีบุตร
"... อุปติสสะ เธอลองนึกดูดี ๆ คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ มีคนฉลาดและคนโง่ ส่วนไหนมากกว่ากัน..?..."
ท่านอุปติสสะ ผู้เป็นศิษย์ตอบต่ออาจารย์อย่างนอบน้อม ความว่า
"...แน่นอน ครับท่านอาจารย์.... คนโง่เขลาย่อมมีมากกว่าคนฉลาด หลายเท่านัก คะรับ..."
ท่านครูสัญชัยปริปาชก อารมณ์ดี ครางถูกจริต..หึหึ..กล่าว... ถูกละ ถูกละ อุปติสสะเอย ดังนี้แล้วเธอมิต้องอาวรณ์ต่อเรา เธอเป็นศิษย์ผู้ฉลาด สมควรไปอยู่กับท่านครูอย่างพุทธโคดม ส่วนเราจะอยู่กับคนข้างมากเอง เพราะเราย่อมตั้งมั่นคงอยู่ถาวรกับเอกลาภ อามิสทั้งหลายจากคนโง่เขลาจักเป็นของเราทั้งหมด ...นั่นเอง
"พุทธศาสนา" มิใช่ศาสนาเกิดขึ้นเพื่อการล่อหลอกให้เป็นสมาชิก สอนเบื้องต้นพื้นฐาน มีศีลธรรม พิธีกรรม คล้าย ๆ กันกับลัทธิ,ศาสนาทั่ว ๆ ไป หากแต่มีความตั้งมั่นอยู่กับคติปณิธาน เปรียบเสมือน "ร่มไม้ต้นโพธิ์ใหญ่" ยืนแผ่กิ่งก้านร่มเย็นอยู่ หรือเป็น "บ่อน้ำอันใสสะอาดเย็นฉ่ำ" บุคคลทุกชนชั้นไม่ปิดกั้นจำกัดด้วย "วรรณะ" ใด ๆ
ดังนั้นผู้เดินทาง ทุกหมู่เหล่าย่อมเลือกที่จะเข้ามาอาศัยร่มเงา หรือดื่มกินอาบล้างชำระตามอัธยาศัย
ศาสนาอื่น ๆ มีคนมาก เพราะแค่เชื่อ และทำตามคำสอนก็พอแล้ว สำหรับคนสามัญผู้ยินดีใฝ่หาความพอใจตามจริต จากคำสอนที่เอาอกเอาใจตน เท่านั้น
ส่วนพุทธศาสนามีคำสอนไม่ต้องเอาใจบวงสรวงอ้อนวอนใคร ให้พึ่งพาตนเอง และต้องฝึกตนทวนกระแสนึกคิดตามใจตน จึงจะดิ้นหลุดจากบ่วงกิเลสอาสวะ พ้นความทุกข์อันเป็นเครื่องเศร้าหมองได้ และจิตใจจะผ่องแผ้วสุขสงบเย็น
ในห้วงแห่งการขาดสันตติการเสวย "อารมณ์ความคิด" อันเป็นห้วง "สุญญตารมณ์" แห่ง "นิโรธธรรม" ก็ระบุชัดเจนว่า.....ห้วงนั้น
คือ.."สภาวะอันไม่มีสภาวะ"
"อุเบกขาสัมโพชฌงค์" ภาวะนิ่งงันไม่มีการเสวยอารมณ์ ของห้วงสติดับลง "สัมปชัญญะ คือสัมโพชฌงค์องค์ปัญญาอันจะนำออกจาก "อวิชชา" เพื่อการ "ตรัสรู้" กล่าวไว้ในห้วงนั้นความว่า
".... ไม่มีอารมณ์ความคิดใด ๆ ปรากฏ
ไม่มีการมา การไป ไม่มีการเข้า ไม่มีการออก
ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตใด ๆ ...
" นี่คือห้วง "อริยผล" แห่ง "นิโรธธรรม"
หลวงตาเทพสัมมา
http://www.prachatalk.com/webboard/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-3-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C
คนมากนับถือศาสนาใด มิได้หมายความว่า ศาสนานั้นมีคำสอนดีเลิศอะไรเลย
ศาสนาเสื่อม หรือคนเสื่อมจากศาสนา..?
ศาสนาชักนำให้คนโง่ หรือคนโง่ไปงมงายกับศาสนา...?
คนมากนับถือศาสนาใด มิได้หมายความว่า ศาสนานั้นมีคำสอนดีเลิศอะไรเลย
ยังพอจดจำคำของ "ท่านครูสัญชัยปริพาชก สนทนากับพระสารีบุตร" หรือไม่
ครั้งเมื่อท่านอุปติสสะ (ภายหลังคือพระสารีบุตร) ฟังธรรมเบื้องต้นจาก พระอรหันต์อัสสชิ เกิดดวงตาเห็นธรรม สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นสมบูรณ์ จึงกลับสำนักไปลาออกจากการเป็น "ผู้จะสืบทอดสำนักของครูสัญชัยปริปาชก"
"...ท่านอาจารย์... เราควรละสำนักนี้ ไปสู่สำนักของท่านบรมครู "พุทธโคดม" กันเถิด.." ท่านสารีบุตรกล่าว
ท่านครูสัญชัย...ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับยกคำถามไถ่ถามต่อ พระสารีบุตร
"... อุปติสสะ เธอลองนึกดูดี ๆ คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ มีคนฉลาดและคนโง่ ส่วนไหนมากกว่ากัน..?..."
ท่านอุปติสสะ ผู้เป็นศิษย์ตอบต่ออาจารย์อย่างนอบน้อม ความว่า
"...แน่นอน ครับท่านอาจารย์.... คนโง่เขลาย่อมมีมากกว่าคนฉลาด หลายเท่านัก คะรับ..."
ท่านครูสัญชัยปริปาชก อารมณ์ดี ครางถูกจริต..หึหึ..กล่าว... ถูกละ ถูกละ อุปติสสะเอย ดังนี้แล้วเธอมิต้องอาวรณ์ต่อเรา เธอเป็นศิษย์ผู้ฉลาด สมควรไปอยู่กับท่านครูอย่างพุทธโคดม ส่วนเราจะอยู่กับคนข้างมากเอง เพราะเราย่อมตั้งมั่นคงอยู่ถาวรกับเอกลาภ อามิสทั้งหลายจากคนโง่เขลาจักเป็นของเราทั้งหมด ...นั่นเอง
"พุทธศาสนา" มิใช่ศาสนาเกิดขึ้นเพื่อการล่อหลอกให้เป็นสมาชิก สอนเบื้องต้นพื้นฐาน มีศีลธรรม พิธีกรรม คล้าย ๆ กันกับลัทธิ,ศาสนาทั่ว ๆ ไป หากแต่มีความตั้งมั่นอยู่กับคติปณิธาน เปรียบเสมือน "ร่มไม้ต้นโพธิ์ใหญ่" ยืนแผ่กิ่งก้านร่มเย็นอยู่ หรือเป็น "บ่อน้ำอันใสสะอาดเย็นฉ่ำ" บุคคลทุกชนชั้นไม่ปิดกั้นจำกัดด้วย "วรรณะ" ใด ๆ
ดังนั้นผู้เดินทาง ทุกหมู่เหล่าย่อมเลือกที่จะเข้ามาอาศัยร่มเงา หรือดื่มกินอาบล้างชำระตามอัธยาศัย
ศาสนาอื่น ๆ มีคนมาก เพราะแค่เชื่อ และทำตามคำสอนก็พอแล้ว สำหรับคนสามัญผู้ยินดีใฝ่หาความพอใจตามจริต จากคำสอนที่เอาอกเอาใจตน เท่านั้น
ส่วนพุทธศาสนามีคำสอนไม่ต้องเอาใจบวงสรวงอ้อนวอนใคร ให้พึ่งพาตนเอง และต้องฝึกตนทวนกระแสนึกคิดตามใจตน จึงจะดิ้นหลุดจากบ่วงกิเลสอาสวะ พ้นความทุกข์อันเป็นเครื่องเศร้าหมองได้ และจิตใจจะผ่องแผ้วสุขสงบเย็น
ในห้วงแห่งการขาดสันตติการเสวย "อารมณ์ความคิด" อันเป็นห้วง "สุญญตารมณ์" แห่ง "นิโรธธรรม" ก็ระบุชัดเจนว่า.....ห้วงนั้น
คือ.."สภาวะอันไม่มีสภาวะ"
"อุเบกขาสัมโพชฌงค์" ภาวะนิ่งงันไม่มีการเสวยอารมณ์ ของห้วงสติดับลง "สัมปชัญญะ คือสัมโพชฌงค์องค์ปัญญาอันจะนำออกจาก "อวิชชา" เพื่อการ "ตรัสรู้" กล่าวไว้ในห้วงนั้นความว่า
".... ไม่มีอารมณ์ความคิดใด ๆ ปรากฏ
ไม่มีการมา การไป ไม่มีการเข้า ไม่มีการออก
ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตใด ๆ ...
" นี่คือห้วง "อริยผล" แห่ง "นิโรธธรรม"
หลวงตาเทพสัมมา
http://www.prachatalk.com/webboard/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-3-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C