ถือเอาประโยชน์ จากการแท็กได้ หลายหมวด เสนอข้อมูลในเชิ่งสนทนา ทั้งทาง พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจจะเกิดการสอบถามสนทนากันด้วยเหตุผล ในหลายมิติ และอาจจะมีการกวนกระทู้สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งได้ ซึ่งผมจะสนทนาอย่างมีเหตุมีผล แต่สงวนสิทธิ์ในการกล่าวตรงๆ ในบางประการบางเรื่อง เท่าที่ทำได้นะครับ
ชีวิตคนแต่ละคนที่เกิดมา ย่อมประสบสิ่งที่แตกต่างหลากหลายกัน หาได้เหมือนกันไม่
สำหรับชีิวิตผม นั้นตั้งแต่เกิดมาจำความได้เริ่มจากวัยเด็ก ก็มีความทุกข์ในฐานะทางสังคม และความทุกข์จากพ่อที่คับแคบจากปกติตามที่ท่านกำหนด
แต่ชีวิตผมตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ประสงค์แสวงหาปัญญา เป็นอย่างยิ่ง แต่ฐานะทางสังคมนั้นได้ปิดกั่นไว้ แล้วยกด้วยกำลังสองเมื่อพ่อนั้นขัดขวางทุกวิธีทางของท่าน จนจะเรียนจบชั้นประถม พ่อก็สั่งให้หยุดเรียน แม้่แต่แม่และครู ช่วยพูดกับพ่อก็ไม่ได้ และพี่ชายคนโต เพี้ยนๆ จนบ้าไปแล้วเพราะอยากเรียนต่อ.
แล้วมีสิ่งใดแหละ ที่สามารถทำให้ผมแสวงหาปัญญาได้ ก็มีแต่สิ่งที่เกินไปจากมนุษย์เท่านั้นคือ พระพุทธเจ้า ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนด้วยตนเอง อธิฐานขอเพื่อให้ได้ศึกษาต่อ และพยายามนั่งสมาธิตามพระพุทธรูป โดยไม่มีอุบายใดๆ เพียงแต่ให้รู้สึกตัว ไม่ไปคิดใดๆ ด้วยตนเอง
แต่ผมก็ต้องไม่ได้เรียนต่อเมื่อจบชั้นประถมนั้นอยู่ดี อุปสรรคนั้นชั่งโหดร้ายนักแต่ผมก็หาได้ละความตั้งใจ ยังปฏิบัติเหมือนเดิมไหว้พระสวดมนตร์อธิฐานเพื่อให้ได้เรียนต่อ ก่อนนอนทุกคืนไม่เคยขาดสักคืนเดียว ช่วยพ่อซ่อมจักรยาน ซ่อมวิทยุ ลับมีด เป็นปี.
ปาธิหารย์เล็กก็ได้เกิดขึ้น เมื่อครูในชั้นประถมนั้น จะเปิดโรงเรียนราชในตำบลที่ผมอยู่ ผมจึงขอร้องแม่ ให้ช่วยพูดกับพ่อ ผมขอร้องแล้วก็ร้องอีก อย่างมีจังหวะ ให้เหตุผล ว่าโรงเรียนใกล้บ้าน ค่าเทอมก็ถูก ตอนเช้าก็ยกของไปจัดร้านขายของซำให้แม่ได้เหมือนเดิม ตอนเย็นเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์ ทำงานซ้อมจักรยาน ช่วยพ่อได้ดังเดิม จนพ่อใจอ่อน เหตุผลประกอบอย่างหนึ่งเพราะ งานซ้อมจักรยาน จะมีมากก็ช่วงเย็นและเสาร์-อาทิตย์
ผมจึงได้เรียนระดับชั้นมัธยมในปีถัดมา (นี้คือปาธิหารย์อย่างหนึ่งสำหรับผม) และทำตามสัญญากับแม่และพ่อการเีรียนของผมก็เก่งขึ้นตามลำดับ พร้อมทั้งได้รายได้ของพ่อกับแม่ที่เก็บไว้ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ และผมก็ไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนทุกคืน แล้วได้พัฒนาปฏิบัติธรรม ดูลมหายใจ ตามแนวของพระอาจารย์มั่น.
จนผมเรียนใกล้จบมัธยมปลาย ก็สอบโคต้าเอ็นทรานซ์ ได้คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ) ซึ่งใจผมนั้นก็ชอบวิทยาศาสตร์มากกว่า วิศวะ เพราะผมประสงค์แสวงปัญญานั้นเอง แต่ถูกระงับไม่ให้เรียนเพราะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา (คงไม่ต้องพูดถึงจิตใจของผมว่ามันทุกข์อย่างไรนะครับ เพียงแต่ถอยและหยุดเตรียมที่จะเดินหน้าต่อ) ผมจึงเริ่มอธิฐานขอให้ได้ศึกษาต่อทุกคืนเช่นเดิม
เมื่อพ่อทราบท่านก็ประกาศเสียงดังว่า จะไม่ให้ผมเรียนต่ออีกแล้ว แม้ว่าจะไปเรียนมหาลัยรามคำแหง แต่ผมก็แอบข้อร้องแม่เพื่อให้แม่ส่งผมเรียน จนแม่ใจอ่อนยอมให้ผมเรียนโดยผมแอบหนีพ่อไป สมัครเรียนที่มหาลัยรามคำแหง แต่อาจารย์ที่รับสมัครท่านไม่รับให้เข้าเรียนเช่นเดียวกันกับ มหาลัยสงขลานครินทร์ นั้นเอง (เช่นเดียวกันคงไม่ต้องพูดถึงจิตใจผมจะทุกข์อย่างไรนะครับ ต้องหยุดและทำใจยอมรับ) แต่ก็ยังไหว้พระสวดมนตร์ อธิฐานให้ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและดูลมหายใจทุกคืนเช่นเดิม ท้อแต่ยังไม่ถอยจนหมดตัว .
ต้องซ้อมจักรยานยนตร์ และทำสีรถยนตร์เกือบ 1 ปี อยู่มาในคืนหนึ่งฝันว่า ราชรถมาเกย แต่ลืนลางไม่ชัดนัก ตื่นมาก็คิดว่าเราอาจจะมีหวังได้เรียน
ไม่กีวันต่อมาน้า ที่อยู่ในตัวจังหวัดมาบอกที่ผมที่บ้านว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะได้เรียนต่อเป็นรายๆ ไป. นี้แหละคือปาฐิหารย์สำหรับผมครั้งที่ 2 แต่เมื่อพ่อผมได้ยิน ท่านพูดตะคอกเสียงดังว่า
"กูจะไม่ให้มันเรียน และจะขัดขวางมันทุกวิธิทาง"
น้านี้หน้าเสียเลย ต้องรีบกลับบ้านไป แต่ผมมีความหวังเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว จึงข้อร้องให้แม่ช่วยส่งเรียน ด้วยเงินเพียงนิดเดียวต่อเดือน (900บาท/เดือน ในปี 1 -2) จนแม่ใจอ่อน ผมจึงไปคุยกับน้า แล้วยื่นหลักฐานที่ขาดของพ่อไป ได้เพียงเอกสารสอบถามกลับมาเท่านั้น ยังไม่มีเอกสารอนุมัติใดๆ เลย เอาหลักฐานเพียงเท่านั้นไปสมัครเรียนคณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่มหาลัยรามคำแห่ง เรื่องถึง สวป. แต่ท่านใจดี ให้เรียนไปก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาสมบูรณ์ จนกว่าได้เอกสารอนุมัติให้เรียนในระดับอุดมศึกษา
แล้วตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยได้เอกสารอนุมัติให้เรียนระดับอุดมศึกษาอีกเลย แม่ผมต้องทุกข์ยิ่งนักแทบบ้าจากพ่อที่กดดันขัดขวางทุกวิธีทาง จนพี่ชายต้องขอร้องให้ผมหยุดเรียนเพราะทนเห็นแม่ทุกข์ไม่ไหว จนผมต้องขอร้องพี่ว่า ผมขอเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น แล้วผมจะหวาดผวาในตลอดเวลาที่เีรียนอยู่อย่างไรคงไม่ต้องกล่าวถึง จนต้องกำหนดดูลมหายใจอยู่เนื่องๆ โดยตลอดที่ระลึกได้แม้ในยามใดๆ จนต้องเข้าห้องสมุดมหาลัยอ่านหนึีงสือธรรม โดยแบ่งเวลาเท่าๆ กันกับการอ่านในวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อหล่อเลิ้ยงใจที่เกิดปิติเล็กๆ ต่อสู่กับความกดดันต่างๆ ที่ประดังอยู่.
ถ้ามีผู้ถามผมว่า ผมอยู่ได้อย่างไร ผมสามารถตอบได้ว่า "ผมอยู่ได้ด้วยใจที่ปรารถนาในปัญญาความรู้ แม้จะลำบากแลกด้วยชีวิตก็่ยอม"
จนผมเรียนเก็บเกือบหมดทุกวิชาเีรียน ภายใน 3 ปี ผมเป็นทุกข์มีความกดดันทั้งปิดบังตน ที่เสมือนอาจจะปะทุเป็นบ้าได้ ถ้าขาดการมีสติ ดูลมหายใจอยู่เนื่องๆ และขาดการอ่านศึกษาธรรมในหอสมุด ที่ทำให้เกิดปิติสุขเล็กๆ หล่อเลี้ยงต้านไว้อยู่ และอาจจะกลายเป็นคนไรความสามารถได้ กึ่งดีกึ่งบ้าได้ เมื่อไม่ได้รับปริญญาดังผู้อื่น ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีโอกาศถึงจุดนั้นสูงมาก ด้วยปัญญาความรู้ที่ประมาลได้ในช่วงนั้น.
ดังนั้นปาธิหารย์สำหรับผมนั้นมีจริงด้วยตนเองที่ปรากฏ 2 ครั้งในชีวิตที่ผ่านมา ในการได้เรียนต่อตั้งแต่วัยเด็ก แต่การนำไปสู่ปาธิหารย์ครังต่อไปนั้น ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะ...
หลังสอบเสร็จเพื่อนได้ชวนไปเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรมที่เป็นรูปแบบที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ครั้งแรกในชีวิต ก่อนเีรียนจบในภาคฤดูร้อนที่เป็นเทอมสุดท้าย เป็นเวลา 8 วัน แล้วกลับมาเรียนวิชาเลือกเสรีเท่านั้นจนสอบเสร็จคือเรียนจบชัวร์แน่นอนนั้นเอง แต่ใจผมนั้นทิ้งให้กับกรรมฐานจนหมดสิ้น ถือเอากายใจนี้เป็นห้องทดลองแบบในเชิงทางวิทยาศาสตร์ เพราะแม้จะเรียนจบแล้วการที่จะมีห้องทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์คงไม่มีความสามารถหาได้ จึงถือเอา กาย-ใจ นี้เป็นห้องทดลองในเชิงแบบวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง.
เป็นอันว่าผมเรียนจบ วิทยาศาสตร์ มีฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ คนหนึ่งแม้จะเพียงปริญญาตรี แต่ศึกษาและปฏิบัติทางพุทธศาสตร์ ควบคู่กัน และในที่สุดตัดสินใจเอา ร่างกายและใจนี้ เป็นห้องทดลองอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เมื่อเรียนจบเป็นนักวิทยาศาสตร์
ดังนั้นการเอา กายและใจ เป็นห้องทดลองอย่างยิ่งยวดในการปฏิบัติธรรม ย่อมปรากฏผลออกมาเป็นลำดับ ๆ ต่อไป .
เมื่อทางชีวิต ศึกษาเป็นนักวิทยาศาสตร์ และศึกษาปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
ชีวิตคนแต่ละคนที่เกิดมา ย่อมประสบสิ่งที่แตกต่างหลากหลายกัน หาได้เหมือนกันไม่
สำหรับชีิวิตผม นั้นตั้งแต่เกิดมาจำความได้เริ่มจากวัยเด็ก ก็มีความทุกข์ในฐานะทางสังคม และความทุกข์จากพ่อที่คับแคบจากปกติตามที่ท่านกำหนด
แต่ชีวิตผมตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ประสงค์แสวงหาปัญญา เป็นอย่างยิ่ง แต่ฐานะทางสังคมนั้นได้ปิดกั่นไว้ แล้วยกด้วยกำลังสองเมื่อพ่อนั้นขัดขวางทุกวิธีทางของท่าน จนจะเรียนจบชั้นประถม พ่อก็สั่งให้หยุดเรียน แม้่แต่แม่และครู ช่วยพูดกับพ่อก็ไม่ได้ และพี่ชายคนโต เพี้ยนๆ จนบ้าไปแล้วเพราะอยากเรียนต่อ.
แล้วมีสิ่งใดแหละ ที่สามารถทำให้ผมแสวงหาปัญญาได้ ก็มีแต่สิ่งที่เกินไปจากมนุษย์เท่านั้นคือ พระพุทธเจ้า ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนด้วยตนเอง อธิฐานขอเพื่อให้ได้ศึกษาต่อ และพยายามนั่งสมาธิตามพระพุทธรูป โดยไม่มีอุบายใดๆ เพียงแต่ให้รู้สึกตัว ไม่ไปคิดใดๆ ด้วยตนเอง
แต่ผมก็ต้องไม่ได้เรียนต่อเมื่อจบชั้นประถมนั้นอยู่ดี อุปสรรคนั้นชั่งโหดร้ายนักแต่ผมก็หาได้ละความตั้งใจ ยังปฏิบัติเหมือนเดิมไหว้พระสวดมนตร์อธิฐานเพื่อให้ได้เรียนต่อ ก่อนนอนทุกคืนไม่เคยขาดสักคืนเดียว ช่วยพ่อซ่อมจักรยาน ซ่อมวิทยุ ลับมีด เป็นปี.
ปาธิหารย์เล็กก็ได้เกิดขึ้น เมื่อครูในชั้นประถมนั้น จะเปิดโรงเรียนราชในตำบลที่ผมอยู่ ผมจึงขอร้องแม่ ให้ช่วยพูดกับพ่อ ผมขอร้องแล้วก็ร้องอีก อย่างมีจังหวะ ให้เหตุผล ว่าโรงเรียนใกล้บ้าน ค่าเทอมก็ถูก ตอนเช้าก็ยกของไปจัดร้านขายของซำให้แม่ได้เหมือนเดิม ตอนเย็นเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์ ทำงานซ้อมจักรยาน ช่วยพ่อได้ดังเดิม จนพ่อใจอ่อน เหตุผลประกอบอย่างหนึ่งเพราะ งานซ้อมจักรยาน จะมีมากก็ช่วงเย็นและเสาร์-อาทิตย์
ผมจึงได้เรียนระดับชั้นมัธยมในปีถัดมา (นี้คือปาธิหารย์อย่างหนึ่งสำหรับผม) และทำตามสัญญากับแม่และพ่อการเีรียนของผมก็เก่งขึ้นตามลำดับ พร้อมทั้งได้รายได้ของพ่อกับแม่ที่เก็บไว้ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ และผมก็ไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนทุกคืน แล้วได้พัฒนาปฏิบัติธรรม ดูลมหายใจ ตามแนวของพระอาจารย์มั่น.
จนผมเรียนใกล้จบมัธยมปลาย ก็สอบโคต้าเอ็นทรานซ์ ได้คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ) ซึ่งใจผมนั้นก็ชอบวิทยาศาสตร์มากกว่า วิศวะ เพราะผมประสงค์แสวงปัญญานั้นเอง แต่ถูกระงับไม่ให้เรียนเพราะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา (คงไม่ต้องพูดถึงจิตใจของผมว่ามันทุกข์อย่างไรนะครับ เพียงแต่ถอยและหยุดเตรียมที่จะเดินหน้าต่อ) ผมจึงเริ่มอธิฐานขอให้ได้ศึกษาต่อทุกคืนเช่นเดิม
เมื่อพ่อทราบท่านก็ประกาศเสียงดังว่า จะไม่ให้ผมเรียนต่ออีกแล้ว แม้ว่าจะไปเรียนมหาลัยรามคำแหง แต่ผมก็แอบข้อร้องแม่เพื่อให้แม่ส่งผมเรียน จนแม่ใจอ่อนยอมให้ผมเรียนโดยผมแอบหนีพ่อไป สมัครเรียนที่มหาลัยรามคำแหง แต่อาจารย์ที่รับสมัครท่านไม่รับให้เข้าเรียนเช่นเดียวกันกับ มหาลัยสงขลานครินทร์ นั้นเอง (เช่นเดียวกันคงไม่ต้องพูดถึงจิตใจผมจะทุกข์อย่างไรนะครับ ต้องหยุดและทำใจยอมรับ) แต่ก็ยังไหว้พระสวดมนตร์ อธิฐานให้ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและดูลมหายใจทุกคืนเช่นเดิม ท้อแต่ยังไม่ถอยจนหมดตัว .
ต้องซ้อมจักรยานยนตร์ และทำสีรถยนตร์เกือบ 1 ปี อยู่มาในคืนหนึ่งฝันว่า ราชรถมาเกย แต่ลืนลางไม่ชัดนัก ตื่นมาก็คิดว่าเราอาจจะมีหวังได้เรียน
ไม่กีวันต่อมาน้า ที่อยู่ในตัวจังหวัดมาบอกที่ผมที่บ้านว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะได้เรียนต่อเป็นรายๆ ไป. นี้แหละคือปาฐิหารย์สำหรับผมครั้งที่ 2 แต่เมื่อพ่อผมได้ยิน ท่านพูดตะคอกเสียงดังว่า
"กูจะไม่ให้มันเรียน และจะขัดขวางมันทุกวิธิทาง"
น้านี้หน้าเสียเลย ต้องรีบกลับบ้านไป แต่ผมมีความหวังเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว จึงข้อร้องให้แม่ช่วยส่งเรียน ด้วยเงินเพียงนิดเดียวต่อเดือน (900บาท/เดือน ในปี 1 -2) จนแม่ใจอ่อน ผมจึงไปคุยกับน้า แล้วยื่นหลักฐานที่ขาดของพ่อไป ได้เพียงเอกสารสอบถามกลับมาเท่านั้น ยังไม่มีเอกสารอนุมัติใดๆ เลย เอาหลักฐานเพียงเท่านั้นไปสมัครเรียนคณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่มหาลัยรามคำแห่ง เรื่องถึง สวป. แต่ท่านใจดี ให้เรียนไปก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาสมบูรณ์ จนกว่าได้เอกสารอนุมัติให้เรียนในระดับอุดมศึกษา
แล้วตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยได้เอกสารอนุมัติให้เรียนระดับอุดมศึกษาอีกเลย แม่ผมต้องทุกข์ยิ่งนักแทบบ้าจากพ่อที่กดดันขัดขวางทุกวิธีทาง จนพี่ชายต้องขอร้องให้ผมหยุดเรียนเพราะทนเห็นแม่ทุกข์ไม่ไหว จนผมต้องขอร้องพี่ว่า ผมขอเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น แล้วผมจะหวาดผวาในตลอดเวลาที่เีรียนอยู่อย่างไรคงไม่ต้องกล่าวถึง จนต้องกำหนดดูลมหายใจอยู่เนื่องๆ โดยตลอดที่ระลึกได้แม้ในยามใดๆ จนต้องเข้าห้องสมุดมหาลัยอ่านหนึีงสือธรรม โดยแบ่งเวลาเท่าๆ กันกับการอ่านในวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อหล่อเลิ้ยงใจที่เกิดปิติเล็กๆ ต่อสู่กับความกดดันต่างๆ ที่ประดังอยู่.
ถ้ามีผู้ถามผมว่า ผมอยู่ได้อย่างไร ผมสามารถตอบได้ว่า "ผมอยู่ได้ด้วยใจที่ปรารถนาในปัญญาความรู้ แม้จะลำบากแลกด้วยชีวิตก็่ยอม"
จนผมเรียนเก็บเกือบหมดทุกวิชาเีรียน ภายใน 3 ปี ผมเป็นทุกข์มีความกดดันทั้งปิดบังตน ที่เสมือนอาจจะปะทุเป็นบ้าได้ ถ้าขาดการมีสติ ดูลมหายใจอยู่เนื่องๆ และขาดการอ่านศึกษาธรรมในหอสมุด ที่ทำให้เกิดปิติสุขเล็กๆ หล่อเลี้ยงต้านไว้อยู่ และอาจจะกลายเป็นคนไรความสามารถได้ กึ่งดีกึ่งบ้าได้ เมื่อไม่ได้รับปริญญาดังผู้อื่น ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีโอกาศถึงจุดนั้นสูงมาก ด้วยปัญญาความรู้ที่ประมาลได้ในช่วงนั้น.
ดังนั้นปาธิหารย์สำหรับผมนั้นมีจริงด้วยตนเองที่ปรากฏ 2 ครั้งในชีวิตที่ผ่านมา ในการได้เรียนต่อตั้งแต่วัยเด็ก แต่การนำไปสู่ปาธิหารย์ครังต่อไปนั้น ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะ...
หลังสอบเสร็จเพื่อนได้ชวนไปเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรมที่เป็นรูปแบบที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ครั้งแรกในชีวิต ก่อนเีรียนจบในภาคฤดูร้อนที่เป็นเทอมสุดท้าย เป็นเวลา 8 วัน แล้วกลับมาเรียนวิชาเลือกเสรีเท่านั้นจนสอบเสร็จคือเรียนจบชัวร์แน่นอนนั้นเอง แต่ใจผมนั้นทิ้งให้กับกรรมฐานจนหมดสิ้น ถือเอากายใจนี้เป็นห้องทดลองแบบในเชิงทางวิทยาศาสตร์ เพราะแม้จะเรียนจบแล้วการที่จะมีห้องทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์คงไม่มีความสามารถหาได้ จึงถือเอา กาย-ใจ นี้เป็นห้องทดลองในเชิงแบบวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง.
เป็นอันว่าผมเรียนจบ วิทยาศาสตร์ มีฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ คนหนึ่งแม้จะเพียงปริญญาตรี แต่ศึกษาและปฏิบัติทางพุทธศาสตร์ ควบคู่กัน และในที่สุดตัดสินใจเอา ร่างกายและใจนี้ เป็นห้องทดลองอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เมื่อเรียนจบเป็นนักวิทยาศาสตร์
ดังนั้นการเอา กายและใจ เป็นห้องทดลองอย่างยิ่งยวดในการปฏิบัติธรรม ย่อมปรากฏผลออกมาเป็นลำดับ ๆ ต่อไป .