โปรดทราบก่อน
เนื่องจากผมเองไม่มีเวลาเขียนบทความยาว ๆ อย่างเมื่อก่อน แต่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง จึงต้องขอลงเนื้อหาบทความเรื่องธุดงค์ธรรมชัย ที่เคยได้เขียนลงไว้เมื่อปีก่อน ที่พันทิประบบเก่า อาจมีข้อความบางอย่างที่ไม่อัพเดตทันเหตุการณ์บ้าง ก็ขอให้ถือโดยเนื้อหาส่วนใหญ่
อนึ่ง บทความนี้อาจมีบางส่วนที่กระทบกระเทียบ หรือพาดพิงไปถึงบุคคล องค์กร บางกลุ่มบางคณะ ก็ขอให้ถือว่า เป็นเรื่อง "จำเป็นต้องกระทบ" เพราะเหตุที่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรเหล่านั้น ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่โต มีอำนาจน้อย อำนาจมาก มีผู้นับถือน้อย นับถือมาก ได้มากระทำต่อ "พระพุทธศาสนา" อันเป็นสิ่งที่ผมเคารพรักอย่างที่สุด และผมไม่อาจจะอยู่เฉยได้
เพื่อความเข้าใจเรื่องธุดงค์ กับ กรณีธุดงค์ธรรมชัย
By chohokun
ภาพของขบวนพระสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป (หรือกว่านั้น) แบกกลด สะพายย่าม เดินไปตามถนนหลวงและเส้นทางต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร บ้างทำให้เกิดการจราจรติดขัดนั้น สร้างความฉงนในใจของพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก มีผู้ถามกันมากทีเดียวว่า "พระท่านเดินทำอะไรกันเยอะแยะ?"
เมื่อมีผู้ถามเช่นนั้น ก็จะมีผู้ตอบว่า "ท่านกำลังเดินธุดงค์ธรรมชัยกันอยู่"
คำตอบที่บอกว่า "ธุดงค์" ในชื่อว่า ธุดงค์ธรรมชัย นั้น ทำให้ชาวพุทธที่คุ้นเคยกับภาพพระธุดงค์ สะพายบาตร แบกกลด บุกป่าฝ่าดง หาที่วิเวกเพื่อภาวนา ปฏิบัติขัดเกลา ลดละกิเลสตัณหา มาเปรียบเทียบแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตากับภาพที่เห็น
ยิ่งมองเห็นการเดินเป็นแถว บนเสื่อ โรยด้วยกลีบกุหลาบ ดูอลังการเลิศหรู ราวกับเส้นทางในงานออสการ์ก็ไม่ปาน ยิ่งทำให้สงสัยกันมากว่า... "นี่หรือ คือธุดงค์?"
ยิ่งได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น คำชี้แจงของพระภิกษุสงฆ์ในวัดที่เป็นเจ้าภาพหลักการจัดงาน ที่ได้อธิบายเหตุผลของการเดินธุดงค์ธรรมชัย ก็ยิ่งรู้สึกชัดว่า "อย่างนี้ไม่ใช่ธุดงค์ ในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า"
ยิ่งเห็นชัดว่า อย่าว่าแต่ฆราวาสชาวพุทธ แม้แต่พระสงฆ์ ก็เข้าใจคำว่าธุดงค์ ผิดไปไกล มองเห็นธุดงค์เป็นเหมือนเครื่องมือสร้างภาพ หรือเพื่ออำนวยงานบางอย่างที่ตนเองจะทำ ให้ดูดี แทนที่จะมุ่งไปในทางขัดเกลากิเลส ซึ่งเป็นความหมายดั้งเดิม
จึงขอให้ท่านพุทธศาสนิกชน โปรดพิจารณาเนื้อหาถัดไปจากนี้ และพยายามตัดขาดซึ่งอคติทุกประการเสีย และมุ่งตรงไปสู่ความหมายแท้ที่ประสงค์ คือความเข้าใจชัด ในเรื่องธุดงค์
เพื่อที่จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้า ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สืบไป
สำหรับการเขียนบทความนี้ ใช้ข้อมูลประกอบจาก คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา รวมถึงจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค (รจนาโดยพระพุทธโฆษะเถระ)ซึ่งท่านได้อธิบายเรื่องข้อปฏิบัติในธุดงค์ไว้อย่างละเอียด เป็นข้อมูลหลัก และข้อมูลย่อยจาก หนังสือเรื่อง ความรู้เรื่องธุดงค์ ซึ่งเป็นงานนิพนธ์ของพระเดชพระคุณ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม และหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ภาคแรก
ความเข้าใจเรื่องธุดงค์
ธุดงค์คืออะไร?
มีพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก ที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องธุดงค์ เช่น..
- พระธุดงค์คือพระที่แบกกลดไว้บนหลัง สะพายย่าม สะพายบาตร
- พระธุดงค์คือพระที่นั่ง / นอน ในกลด ถ้าพระที่ไม่ได้นั่ง / นอน ในกลด ไม่ใช่พระธุดงค์
- พระธุดงค์ต้องอยู่ป่า ถ้าอยู่ในวัดบ้าน ไม่ใช่พระธุดงค์
ความเข้าใจที่ผิดอย่างนี้ ทำให้เกิดข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนสืบเนื่อง จนถึงทำให้เกิดวิธีการ และข้อปฏิบัติที่นำมาใช้แอบอ้างว่าเป็นการธุดงค์อีกมากมาย จึงควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัด
คำว่า ธุดงค์ โดยศัพท์แล้ว มาจากคำว่า ธุตะ แปลว่า กำจัด ขัดเกลา (มุ่งที่ความหมายคือการกำจัด) มีอยู่ ๔ ลักษณะ คือ ธุตะ ที่หมายถึงบุคคล หรือธรรม ที่กำจัดกิเลส ธุตวาทะ หมายถึงบุคคลผู้กำจัดกิเลส และกล่าวการกำจัดกิเลส ธุตธรรม หมายถึง ธรรมอันเป็นบริวารของการธุดงค์ และ ธุตังคะ คือ องค์แห่งการธุดงค์
สำหรับ ธุตธรรม หรือธรรมอันเป็นบริการของการธุดงค์ มีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. อัปปิจฉตา - ความมักน้อย
๒. สันตุฏฐิตา - ความพอใจ ยินดีตามที่มีที่ได้
๓. สัลเลขตา - ความฝึกฝนขัดเกลากิเลส
๔. ปวิเวกตา - ความยินดีในเสนาสนะอันสงัด
๕. ตะทัตถิกา - ความรู้ว่าธุดงค์นี้มีประโยชน์
ธรรมอันเป็นบริวาร หรือจะเรียกว่าเป็น สภาวะแวดล้อมในการปฏิบัติธุดงค์นี้ น่าจะถือเป็นเครื่องบอกได้ว่า การปฏิบัติในสิ่งนั้น ๆ เป็นการธุดงค์หรือไม่
สำหรับบทความนี้ ความหมายที่มุ่งประสงค์จะกล่าวถึง คือ ธุตังคะ องค์แห่งการธุดงค์
ปัญหาเรื่องศัพท์ ธุดงค"วัตร"
มีข้อที่ควรทราบเป็นเบื้องต้นก่อน ก็คือ มักเรียกกันว่า ธุดงค์ เป็น "วัตร" จึงมีคำที่เรียกรวมกันว่า "ธุดงค์วัตร"
แท้จริงแล้ว ธุดงค์ ไม่ใช่ "วัตร" เพราะคำว่า วัตร หมายถึงข้อปฏิบัติที่เกื้อหนุนในการบำเพ็ญศีล หรือก็คือ ระเบียบแบบแผนเพื่อความอยู่ร่วมกันด้วยดีในสังคมสงฆ์ และเป็นพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า
แต่ ธุดงค์ เป็นข้อปฏิบัติขัดเกลาพิเศษ ที่ใครจะถือปฏิบัติก็ได้ ดังนั้น ธุดงค์ จึงไม่ใช่ "วัตร" แต่เป็น "พรต"
ข้อนี้ เป็นปัญหาอย่างหนึ่งในการแปลและปัญหาเรื่องการจารึกบันทึกคำ และความ ในพระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย เนื่องจากคำว่า "พรต" มาจากคำบาลีว่า วต ส่วนคำว่า วัตร มาจากคำบาลีว่า วตฺต
ในพระไตรปิฎกบาลีฉบับอักษรพม่า ในคำว่า ธุดงค์ มีแต่ที่เรียกว่า ธุตงฺควต (ธุดงคพรต) ไม่มีที่ไหนเรียกว่า ธุตงฺควตฺต (ธุดงค์วัตร) อย่างในฉบับอักษรไทย นอกจากนั้น ในฉบับอักษรไทยเอง ในคัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิทเทส ข้อที่ ๑๒๙ ก็ทำเชิงอรรถไว้ ในคำว่า กุกฺกุรวตฺตํ โควตฺตํ... (กุกกุระวัตร- วัตรแบบสุนัข, โควัตร- วัตรแบบโค) ว่า โป. ม. ..."วตํ" ซึ่งหมายความว่า ในฉบับ โป. (พระไตรปิฎกบาลีของไทย ฉบับโบราณ) และ ม. (พม่า) คำว่า วตฺต(วัตร) ในที่นี้ เป็น วต(พรต)
อาจเป็นไปได้ว่า ในคราวที่มีการถ่ายพระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทยจากฉบับโบราณมาเป็นฉบับปัจจุบันนั้น น่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนบางอย่างในการสะกดคำ กลายเป็นซ้อนตัว ต เข้ามาในคำว่า วต (พรต) จนกลายเป็น วตฺต (วัตร) ทำให้เนื้อความบางตอน ที่แม้จะกล่าวถึงข้อปฏิบัติของพวกเดียรถีย์ ที่เขาเรียกกันว่า เป็น "พรต" ชัดเจนอยู่แล้ว กลายเป็นเรียกไปว่า "วัตร" ซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน และทำให้คำว่า ธุดงค์ พลอยกลายเป็น ธุดงควัตร ซึ่งที่ถูกต้อง ควรจะเป็น ธุดงคพรต มากกว่า
ทั้งนี้ ยังถือว่าเป็นเพียงระดับสันนิษฐาน จึงขอฝากให้ปราชญ์ทั้งหลายได้พิจารณาต่อไป
สำหรับในบทความนี้ เพื่อให้เข้าใจง่าย ไม่สับสน และไม่ยืดเยื้อเกินไป จึงขอเรียกเพียงคำว่า ธุดงค์ เท่านั้น
ธุดงค์ ๑๓ ข้อ มีอะไรบ้าง
ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น มีดังนี้
๑) ปังสุกูลิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ทรงผ้าบังสุกุล
๒) เตจีวริกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ทรงผ้าไตรจีวร
๓) ปิณฑปาติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร
๔) สปทานจาริกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเป็นวัตร
๕) เอกาสนิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียว
๖) ปัตตปิณฑิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือฉันเฉพาะในบาตร
๗) ขลุปัจฉาภัตติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ห้ามภัตรที่เขาถวายภายหลัง
๘) อารัญญิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ป่า
๙) รุกขมูลิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่โคนไม้
๑๐) อัพโภกาสิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ในที่แจ้ง
๑๑) โสสานิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าช้า
๑๒) ยถาสันถติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือ อยู่ในเสนาสนะแล้วแต่ที่เขาจัดให้
๑๓) เนสัชชิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือการนั่ง อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง เว้นจากอิริยาบถ นอน
ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในพระสูตร มีไม่ครบทุกข้อในแห่งเดียว ต้องประมวลจากพระสูตรอื่น ๆ หลายแห่ง ส่วนในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวาร ข้อที่ ๙๘๑ ได้แสดงถึงธุดงค์ ๑๓ ข้อเอาไว้ (แม้จะไม่ออกชื่อโดยตรง ๆ ว่าเป็นธุดงค์ ๑๓) และได้แสดงถึงลักษณะของพระภิกษุผู้ถือปฏิบัติในธุดงค์แต่ละข้อ ว่า มี ๕ จำพวก คือ
๑.ถือธุดงค์ข้อนั้น ๆ เพราะเป็นผู้งมงาย ไม่รู้เหตุผลบ้าง
๒.เพราะมีความปรารถนาลามก (เช่น อยากจะให้มีผู้ยกย่องสรรเสริญ) บ้าง
๓.เพราะเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง
๔.เพราะถือว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยกย่องการปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง
๕.เพราะถือความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะรู้ประโยชน์แห่งการปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง
จะเห็นได้ว่า พระภิกษุที่ถือธุดงค์อย่างเป็นประโยชน์ที่สุด ก็คือถือธุดงค์ ในลักษณะที่ ๕ คือ รู้ความหมายแท้ว่าถือธุดงค์ไปเพื่ออะไร
การถือธุดงค์ แม้จะไม่ใช่ "ข้อบังคับให้ทำ" คือไม่ใช่พุทธบัญญัติก็ตาม แต่เป็นวิธีการประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเอาไว้สำหรับพระภิกษุสงฆ์แต่ละรูปที่ปรารถนาความขัดเกลาพิเศษ จะได้ถือปฏิบัติ
และถ้าภิกษุรูปใดสมาทานธุดงค์แล้ว ก็ควรประพฤติในข้อธุดงค์นั้น ๆ ตามที่ตนเองตั้งใจเอาไว้ จะสมาทานธุดงค์แล้วประพฤตินอกเรื่องนอกแบบไป แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ทำก็ไม่ได้ เพราะตนเองเป็นผู้สมาทานธุดงค์นั้น ๆ เอง
หมายความว่า ข้อปฏิบัตินั้น ๆ สำหรับใครจะทำก็ได้ แต่เมื่อตั้งใจจะทำ ก็ทำอย่างถูกต้องตามหลัก ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรจะสมาทานธุดงค์ตั้งแต่แรก
ข้อสำคัญก็คือ ไม่ควรไปเอาลักษณะบางอย่าง ที่ดูคล้ายกับจะเป็นการธุดงค์ มาบอกว่า "นี่เป็นการประพฤติในธุดงค์" เพราะมักมีหลายท่านเข้าใจผิดไปว่า การธุดงค์ คือ การแบกกลด สะพายบาตร แล้วเดิน ทั้ง ๆ ที่การทำอย่างนั้นไม่ใช่ตัวธุดงค์ ถึงจะเดินซักพันกิโลเมตร ก็ไม่ใช่ธุดงค์อยู่นั่นเอง จึงควรเข้าใจให้ถูกต้อง
ข้อปฏิบัติในการถือในธุดงค์แต่ละข้อ
ในธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น แต่ละข้อ มีทั้งที่เป็นการถืออย่างย่อหย่อน หรืออย่างเบา อย่างกลาง และอย่างเข้มข้น (หรือเคร่งครัด) โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
(มีต่อ)
เพื่อความเข้าใจเรื่องธุดงค์ กับกรณีธุดงค์ธรรมชัย
เนื่องจากผมเองไม่มีเวลาเขียนบทความยาว ๆ อย่างเมื่อก่อน แต่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง จึงต้องขอลงเนื้อหาบทความเรื่องธุดงค์ธรรมชัย ที่เคยได้เขียนลงไว้เมื่อปีก่อน ที่พันทิประบบเก่า อาจมีข้อความบางอย่างที่ไม่อัพเดตทันเหตุการณ์บ้าง ก็ขอให้ถือโดยเนื้อหาส่วนใหญ่
อนึ่ง บทความนี้อาจมีบางส่วนที่กระทบกระเทียบ หรือพาดพิงไปถึงบุคคล องค์กร บางกลุ่มบางคณะ ก็ขอให้ถือว่า เป็นเรื่อง "จำเป็นต้องกระทบ" เพราะเหตุที่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรเหล่านั้น ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่โต มีอำนาจน้อย อำนาจมาก มีผู้นับถือน้อย นับถือมาก ได้มากระทำต่อ "พระพุทธศาสนา" อันเป็นสิ่งที่ผมเคารพรักอย่างที่สุด และผมไม่อาจจะอยู่เฉยได้
By chohokun
ภาพของขบวนพระสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป (หรือกว่านั้น) แบกกลด สะพายย่าม เดินไปตามถนนหลวงและเส้นทางต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร บ้างทำให้เกิดการจราจรติดขัดนั้น สร้างความฉงนในใจของพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก มีผู้ถามกันมากทีเดียวว่า "พระท่านเดินทำอะไรกันเยอะแยะ?"
เมื่อมีผู้ถามเช่นนั้น ก็จะมีผู้ตอบว่า "ท่านกำลังเดินธุดงค์ธรรมชัยกันอยู่"
คำตอบที่บอกว่า "ธุดงค์" ในชื่อว่า ธุดงค์ธรรมชัย นั้น ทำให้ชาวพุทธที่คุ้นเคยกับภาพพระธุดงค์ สะพายบาตร แบกกลด บุกป่าฝ่าดง หาที่วิเวกเพื่อภาวนา ปฏิบัติขัดเกลา ลดละกิเลสตัณหา มาเปรียบเทียบแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตากับภาพที่เห็น
ยิ่งมองเห็นการเดินเป็นแถว บนเสื่อ โรยด้วยกลีบกุหลาบ ดูอลังการเลิศหรู ราวกับเส้นทางในงานออสการ์ก็ไม่ปาน ยิ่งทำให้สงสัยกันมากว่า... "นี่หรือ คือธุดงค์?"
ยิ่งได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น คำชี้แจงของพระภิกษุสงฆ์ในวัดที่เป็นเจ้าภาพหลักการจัดงาน ที่ได้อธิบายเหตุผลของการเดินธุดงค์ธรรมชัย ก็ยิ่งรู้สึกชัดว่า "อย่างนี้ไม่ใช่ธุดงค์ ในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า"
ยิ่งเห็นชัดว่า อย่าว่าแต่ฆราวาสชาวพุทธ แม้แต่พระสงฆ์ ก็เข้าใจคำว่าธุดงค์ ผิดไปไกล มองเห็นธุดงค์เป็นเหมือนเครื่องมือสร้างภาพ หรือเพื่ออำนวยงานบางอย่างที่ตนเองจะทำ ให้ดูดี แทนที่จะมุ่งไปในทางขัดเกลากิเลส ซึ่งเป็นความหมายดั้งเดิม
จึงขอให้ท่านพุทธศาสนิกชน โปรดพิจารณาเนื้อหาถัดไปจากนี้ และพยายามตัดขาดซึ่งอคติทุกประการเสีย และมุ่งตรงไปสู่ความหมายแท้ที่ประสงค์ คือความเข้าใจชัด ในเรื่องธุดงค์
เพื่อที่จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้า ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สืบไป
สำหรับการเขียนบทความนี้ ใช้ข้อมูลประกอบจาก คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา รวมถึงจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค (รจนาโดยพระพุทธโฆษะเถระ)ซึ่งท่านได้อธิบายเรื่องข้อปฏิบัติในธุดงค์ไว้อย่างละเอียด เป็นข้อมูลหลัก และข้อมูลย่อยจาก หนังสือเรื่อง ความรู้เรื่องธุดงค์ ซึ่งเป็นงานนิพนธ์ของพระเดชพระคุณ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม และหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ความเข้าใจเรื่องธุดงค์
ธุดงค์คืออะไร?
มีพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก ที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องธุดงค์ เช่น..
- พระธุดงค์คือพระที่แบกกลดไว้บนหลัง สะพายย่าม สะพายบาตร
- พระธุดงค์คือพระที่นั่ง / นอน ในกลด ถ้าพระที่ไม่ได้นั่ง / นอน ในกลด ไม่ใช่พระธุดงค์
- พระธุดงค์ต้องอยู่ป่า ถ้าอยู่ในวัดบ้าน ไม่ใช่พระธุดงค์
ความเข้าใจที่ผิดอย่างนี้ ทำให้เกิดข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนสืบเนื่อง จนถึงทำให้เกิดวิธีการ และข้อปฏิบัติที่นำมาใช้แอบอ้างว่าเป็นการธุดงค์อีกมากมาย จึงควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัด
คำว่า ธุดงค์ โดยศัพท์แล้ว มาจากคำว่า ธุตะ แปลว่า กำจัด ขัดเกลา (มุ่งที่ความหมายคือการกำจัด) มีอยู่ ๔ ลักษณะ คือ ธุตะ ที่หมายถึงบุคคล หรือธรรม ที่กำจัดกิเลส ธุตวาทะ หมายถึงบุคคลผู้กำจัดกิเลส และกล่าวการกำจัดกิเลส ธุตธรรม หมายถึง ธรรมอันเป็นบริวารของการธุดงค์ และ ธุตังคะ คือ องค์แห่งการธุดงค์
สำหรับ ธุตธรรม หรือธรรมอันเป็นบริการของการธุดงค์ มีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. อัปปิจฉตา - ความมักน้อย
๒. สันตุฏฐิตา - ความพอใจ ยินดีตามที่มีที่ได้
๓. สัลเลขตา - ความฝึกฝนขัดเกลากิเลส
๔. ปวิเวกตา - ความยินดีในเสนาสนะอันสงัด
๕. ตะทัตถิกา - ความรู้ว่าธุดงค์นี้มีประโยชน์
ธรรมอันเป็นบริวาร หรือจะเรียกว่าเป็น สภาวะแวดล้อมในการปฏิบัติธุดงค์นี้ น่าจะถือเป็นเครื่องบอกได้ว่า การปฏิบัติในสิ่งนั้น ๆ เป็นการธุดงค์หรือไม่
สำหรับบทความนี้ ความหมายที่มุ่งประสงค์จะกล่าวถึง คือ ธุตังคะ องค์แห่งการธุดงค์
ปัญหาเรื่องศัพท์ ธุดงค"วัตร"
มีข้อที่ควรทราบเป็นเบื้องต้นก่อน ก็คือ มักเรียกกันว่า ธุดงค์ เป็น "วัตร" จึงมีคำที่เรียกรวมกันว่า "ธุดงค์วัตร"
แท้จริงแล้ว ธุดงค์ ไม่ใช่ "วัตร" เพราะคำว่า วัตร หมายถึงข้อปฏิบัติที่เกื้อหนุนในการบำเพ็ญศีล หรือก็คือ ระเบียบแบบแผนเพื่อความอยู่ร่วมกันด้วยดีในสังคมสงฆ์ และเป็นพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า
แต่ ธุดงค์ เป็นข้อปฏิบัติขัดเกลาพิเศษ ที่ใครจะถือปฏิบัติก็ได้ ดังนั้น ธุดงค์ จึงไม่ใช่ "วัตร" แต่เป็น "พรต"
ข้อนี้ เป็นปัญหาอย่างหนึ่งในการแปลและปัญหาเรื่องการจารึกบันทึกคำ และความ ในพระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย เนื่องจากคำว่า "พรต" มาจากคำบาลีว่า วต ส่วนคำว่า วัตร มาจากคำบาลีว่า วตฺต
ในพระไตรปิฎกบาลีฉบับอักษรพม่า ในคำว่า ธุดงค์ มีแต่ที่เรียกว่า ธุตงฺควต (ธุดงคพรต) ไม่มีที่ไหนเรียกว่า ธุตงฺควตฺต (ธุดงค์วัตร) อย่างในฉบับอักษรไทย นอกจากนั้น ในฉบับอักษรไทยเอง ในคัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิทเทส ข้อที่ ๑๒๙ ก็ทำเชิงอรรถไว้ ในคำว่า กุกฺกุรวตฺตํ โควตฺตํ... (กุกกุระวัตร- วัตรแบบสุนัข, โควัตร- วัตรแบบโค) ว่า โป. ม. ..."วตํ" ซึ่งหมายความว่า ในฉบับ โป. (พระไตรปิฎกบาลีของไทย ฉบับโบราณ) และ ม. (พม่า) คำว่า วตฺต(วัตร) ในที่นี้ เป็น วต(พรต)
อาจเป็นไปได้ว่า ในคราวที่มีการถ่ายพระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทยจากฉบับโบราณมาเป็นฉบับปัจจุบันนั้น น่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนบางอย่างในการสะกดคำ กลายเป็นซ้อนตัว ต เข้ามาในคำว่า วต (พรต) จนกลายเป็น วตฺต (วัตร) ทำให้เนื้อความบางตอน ที่แม้จะกล่าวถึงข้อปฏิบัติของพวกเดียรถีย์ ที่เขาเรียกกันว่า เป็น "พรต" ชัดเจนอยู่แล้ว กลายเป็นเรียกไปว่า "วัตร" ซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน และทำให้คำว่า ธุดงค์ พลอยกลายเป็น ธุดงควัตร ซึ่งที่ถูกต้อง ควรจะเป็น ธุดงคพรต มากกว่า
ทั้งนี้ ยังถือว่าเป็นเพียงระดับสันนิษฐาน จึงขอฝากให้ปราชญ์ทั้งหลายได้พิจารณาต่อไป
สำหรับในบทความนี้ เพื่อให้เข้าใจง่าย ไม่สับสน และไม่ยืดเยื้อเกินไป จึงขอเรียกเพียงคำว่า ธุดงค์ เท่านั้น
ธุดงค์ ๑๓ ข้อ มีอะไรบ้าง
ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น มีดังนี้
๑) ปังสุกูลิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ทรงผ้าบังสุกุล
๒) เตจีวริกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ทรงผ้าไตรจีวร
๓) ปิณฑปาติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร
๔) สปทานจาริกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเป็นวัตร
๕) เอกาสนิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียว
๖) ปัตตปิณฑิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือฉันเฉพาะในบาตร
๗) ขลุปัจฉาภัตติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ห้ามภัตรที่เขาถวายภายหลัง
๘) อารัญญิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ป่า
๙) รุกขมูลิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่โคนไม้
๑๐) อัพโภกาสิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ในที่แจ้ง
๑๑) โสสานิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าช้า
๑๒) ยถาสันถติกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือ อยู่ในเสนาสนะแล้วแต่ที่เขาจัดให้
๑๓) เนสัชชิกังคะ - สมาทานองค์แห่งผู้ถือการนั่ง อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง เว้นจากอิริยาบถ นอน
ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในพระสูตร มีไม่ครบทุกข้อในแห่งเดียว ต้องประมวลจากพระสูตรอื่น ๆ หลายแห่ง ส่วนในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวาร ข้อที่ ๙๘๑ ได้แสดงถึงธุดงค์ ๑๓ ข้อเอาไว้ (แม้จะไม่ออกชื่อโดยตรง ๆ ว่าเป็นธุดงค์ ๑๓) และได้แสดงถึงลักษณะของพระภิกษุผู้ถือปฏิบัติในธุดงค์แต่ละข้อ ว่า มี ๕ จำพวก คือ
๑.ถือธุดงค์ข้อนั้น ๆ เพราะเป็นผู้งมงาย ไม่รู้เหตุผลบ้าง
๒.เพราะมีความปรารถนาลามก (เช่น อยากจะให้มีผู้ยกย่องสรรเสริญ) บ้าง
๓.เพราะเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง
๔.เพราะถือว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยกย่องการปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง
๕.เพราะถือความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะรู้ประโยชน์แห่งการปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง
จะเห็นได้ว่า พระภิกษุที่ถือธุดงค์อย่างเป็นประโยชน์ที่สุด ก็คือถือธุดงค์ ในลักษณะที่ ๕ คือ รู้ความหมายแท้ว่าถือธุดงค์ไปเพื่ออะไร
การถือธุดงค์ แม้จะไม่ใช่ "ข้อบังคับให้ทำ" คือไม่ใช่พุทธบัญญัติก็ตาม แต่เป็นวิธีการประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเอาไว้สำหรับพระภิกษุสงฆ์แต่ละรูปที่ปรารถนาความขัดเกลาพิเศษ จะได้ถือปฏิบัติ
และถ้าภิกษุรูปใดสมาทานธุดงค์แล้ว ก็ควรประพฤติในข้อธุดงค์นั้น ๆ ตามที่ตนเองตั้งใจเอาไว้ จะสมาทานธุดงค์แล้วประพฤตินอกเรื่องนอกแบบไป แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ทำก็ไม่ได้ เพราะตนเองเป็นผู้สมาทานธุดงค์นั้น ๆ เอง
หมายความว่า ข้อปฏิบัตินั้น ๆ สำหรับใครจะทำก็ได้ แต่เมื่อตั้งใจจะทำ ก็ทำอย่างถูกต้องตามหลัก ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรจะสมาทานธุดงค์ตั้งแต่แรก
ข้อสำคัญก็คือ ไม่ควรไปเอาลักษณะบางอย่าง ที่ดูคล้ายกับจะเป็นการธุดงค์ มาบอกว่า "นี่เป็นการประพฤติในธุดงค์" เพราะมักมีหลายท่านเข้าใจผิดไปว่า การธุดงค์ คือ การแบกกลด สะพายบาตร แล้วเดิน ทั้ง ๆ ที่การทำอย่างนั้นไม่ใช่ตัวธุดงค์ ถึงจะเดินซักพันกิโลเมตร ก็ไม่ใช่ธุดงค์อยู่นั่นเอง จึงควรเข้าใจให้ถูกต้อง
ข้อปฏิบัติในการถือในธุดงค์แต่ละข้อ
ในธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนั้น แต่ละข้อ มีทั้งที่เป็นการถืออย่างย่อหย่อน หรืออย่างเบา อย่างกลาง และอย่างเข้มข้น (หรือเคร่งครัด) โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
(มีต่อ)