ปมเขาวิหารที่ควรรู้

กระทู้คำถาม
กรณีเขาพระวิหารในบางแง่มุมของม.ร.ว.เสนีย์
Posted on August 16, 2010 by anekaud กรณีเขาพระวิหาร


โดย…วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ขณะนั้นยังเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ดูจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกปราศรัยทางโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษาของศาลโลก
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดไปควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาว่า
เราจำเป็นต้องปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลโลกโดยการถอนกำลังออกจากพระวิหาร
และต้องคืนโบราณวัตถุกลับไปให้กัมพูชา
พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา
และมอบหมายให้สหภาพพม่าเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของทางราชการไทยในพนมเปญ
และที่เมืองอื่น ๆ

ทางรถไฟที่ทอดยาวจากหัวลำโพงไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นอันต้องหยุด
ประเทศไทยประกาศปิดชายแดน ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ประเทศก็หมดความเป็นมิตรต่อกัน
แต่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศตามชายแดน
ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันต่างก็ยังไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันตามปกติ
จนนายพลลอนนอลรัฐประหารขับไล่ สมเด็จพระเจ้าสีหนุออกไปร่วมกับฝ่ายเขมรแดง
เราจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่
แล้วข่าวคราวเรื่องเขาพระวิหารก็เงียบหายไป

เมื่อปี 2506 พวกเรานิสิตรัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
ต้องเรียนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดก
กับท่านศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคณะทนายของฝ่ายไทย
หัวหน้าคณะทนายความของไทยเป็นฝรั่งเข้าใจว่าเป็นอเมริกัน
ส่วนหัวหน้าทนายความของฝ่ายกัมพูชาเป็นชาวฝรั่งเศส

พวกเราก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ว่า ประเด็นที่ต่อสู้กันนั้นว่าอย่างไร
ท่านก็บอกให้พวกเรากลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลโลกเสียก่อนแล้วท่านจะอธิบายให้ฟัง
เมื่ออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจขึ้นเป็นอันมาก
เพราะคำพิพากษาเขียนเหตุผลไว้อย่างละเอียด ทั้งคำฟ้องร้องของกัมพูชา
และคำแก้คดีของฝ่ายไทย รวมทั้งเอกสารสนธิสัญญาแผนที่แนบท้ายสัญญา
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปถึงข้าหลวงฝรั่งเศสประจำกัมพูชา
เรื่องขออนุญาตเสด็จไปเยี่ยมชมเขาพระวิหาร
ภาพถ่ายสมเด็จกับ ม.จ.พูนพิศมัยพระธิดาเสด็จเขาพระวิหาร

ประเด็นที่ต่อสู้กันก็คือ
แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับปี 1904 ที่ให้เอาสันปันน้ำเป็นเขตแดน
แต่แผนที่แนบท้ายใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขีดมาตามสันปันน้ำ
แล้วมาวกเอาปราสาทเขาวิหารไปเป็นของกัมพูชา แล้วจึงวกกลับมาบนสันปันน้ำอีกทีหนึ่ง

เรารู้ว่าแผนที่นั้นผิดไม่ตรงกับตัวหนังสือในสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ค.ศ. 1904
อีกทั้งไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำฝ่ายเดียวแล้วส่งมาให้ไทย
ไทยรับรองให้ความเห็นชอบ
เพราะฝ่ายไทยไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมคณะปักปันเขตแดนตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา

แต่ในที่สุดศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
เพราะแผนที่ แนบท้าย ค.ศ. 1904 เป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญา
ทั้งในแง่เอกสารและข้อเท็จจริงที่ทางไทยไม่ได้ทักท้วงภายใน 10 ปี
อีกทั้งหัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝ่ายไทยจะเสด็จเยี่ยมปราสาทพระวิหาร
ก็ทรงมีลายพระหัตถ์ขออนุญาตข้าหลวงฝรั่งเศส
ข้าหลวงฝรั่งเศสก็ออกมารับเสด็จพร้อมกับชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา
มีการถ่ายรูปร่วมกัน

อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเล่าให้พวกเราลูกศิษย์ฟังว่า
ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเราคงจะแพ้คดี แต่โดยหน้าที่ที่เป็น คนไทย
และจรรยาบรรณของทนายความ
ก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างถึงที่สุด

ท่านเล่าว่าทางที่ถูกเราไม่ควรตกลงให้กัมพูชานำคดีขึ้นศาลโลก
เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมให้ศาลโลกพิจารณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ท่านต้องการรักษาเกียรติภูมิของชาติว่า
เราเป็นชาติอารยะ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ
และทนายฝรั่งเชื่อว่าฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายชนะ
อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ท่านเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจแล้ว
ท่านก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในฐานะที่มีอาชีพทนายความและเป็นคนไทย

เมื่อฝ่ายเราแพ้คดีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากต้องยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา
มีผลบังคับใช้เหมือนกับกรณีเจดีย์สามองค์
ที่ด่านเจดีย์สามองค์ที่อังกฤษขีดวกเข้ามาทางฝ่ายไทยเป็นปากนกแก้วให้เป็นของพม่า

ปัญหาก็คือ ความชัดเจนว่าขอบเขตปราสาทพระวิหารนั้นกินขอบเขตพื้นที่ไปถึงไหน
เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสส่งมาให้ไทยเรารับรองหรือทักท้วงนั้นใช้มาตราส่วนย่อมาก ดูได้ไม่ชัด

คณะรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์จึงตีความคำพิพากษาว่า
ขอบเขตของปราสาทพระวิหาร หรือ ′The Temple of Pra Vihar′
(สื่อมวลชนไทยสะกดภาษาอังกฤษตามสำเนียงเขมรว่า The Temple of Preach Vihear
ซึ่งไม่ควรสะกดอย่างฝรั่ง ควรสะกดตามสำเนียงไทย
หรือสำเนียงแขกเจ้าของภาษาสันสกฤตว่า The Temple of Pra Vihar
อาจจะเพราะความไม่รู้หรือไม่ก็เพราะเห่อฝรั่ง)มีขอบเขตแค่ไหน

ทางฝ่ายกัมพูชาก็ว่า ′สระตาล′ห่างออกมาไกลสองสระ
ที่เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ขอมข้างหนึ่ง
และเป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของพราหมณ์ข้างหนึ่งก่อนขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่ปราสาท
เป็นส่วนหนึ่งของเทวสถานแห่งนี้

นอกจากนั้น ไกลออกมาถึงสถูปคู่ ซึ่งคงจะหมายถึงประตูทางเข้าพระวิหาร
ซึ่งไกลออกมาถึง 2 ก.ม. เป็นเครื่องหมายแสดงขอบเขตของพระวิหาร

รวมทั้งหมดจึงจะเป็นเทวสถานหรือ พระวิหารแห่งพระอิศวรเจ้าที่สมบูรณ์
เหมือนกับอาณาเขตของวัดคงไม่ใช่เฉพาะพระอุโบสถภายในเขตที่ลงลูกนิมิตและใบเสมา
คงเริ่มจากซุ้มประตูภายในกำแพงทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีศาลาราย วิหารคต ศาลา กุฏิพระ ฯลฯ
ด้วยประกอบเข้าจึงเป็นวัด หรือ ′พุทธสถาน′ หรือ ′พระวิหาร′

ทางเราก็ตีความว่า คำพิพากษาหมายถึงเฉพาะตัวพระวิหารสิ้นสุดที่บันไดขึ้นวิหารเท่านั้น
ดังนั้นพื้นที่รอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงยังเป็นของไทย
เขมรบอกไม่ใช่ของไทย กัมพูชาไม่เคยรับรู้
ดังนั้นต่างคนต่างอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ ดังกล่าว
จนทางฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ทางยูเนสโกจึงขอให้เขมรเจรจากับไทยว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไร
ให้เป็นเทวสถานที่สมบูรณ์ เพราะทางขึ้นอยู่ทางฝั่งไทย

หนังสือช่วยจำที่ลงนามโดย รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ปี 2543 ก็ถูกต้องแล้ว
หนังสือช่วยจำลงนามโดย รมต.นพดล ปัทมะ
ที่ทำให้เขมรยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม เป็นพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกต้อง
หนังสือของ รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เพื่อปูทางไปในการปักปันเขตแดน

ส่วนของ รมต.นพดล ปัทมะ ก็เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก
และร่วมกันพัฒนาให้เป็นมรดกโลก ทั้ง 2 บันทึกมีประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศ
และของโลกในแง่สันติภาพและวัฒนธรรมร่วมกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบใช้ประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นเครื่องมื​อ
ทางการเมืองใช้ประหัตประหารกันทางการเมือง
โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ
แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง
เมื่อฝ่ายหนึ่งทำเรื่องให้ง่ายให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน
อีกฝ่ายต้องการให้เป็นเรื่องยากให้เป็นโทษกับประเทศชาติ
อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน
มีพรรคฝ่ายค้านเหมือนกัน
ก็ใช้กรณีนี้เล่นงานผู้นำของตน เอาอย่างประเทศไทย
เรื่องก็เลยทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่

ดีที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นอารยะพอ ไม่เถื่อนกระโจนไปตามการเมือง
ซึ่งต้องชมเชยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ มิฉะนั้น
ก็ต้องรบกัน พาลูกหลานชาวบ้านไปตายโดยเปล่าประโยชน์

สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศก็พลอยไปเล่นการเมืองกับเขาด้วย
ไม่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยศึกษา
ไม่อ่านบันทึกของอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์
ดร.ชาญวิทย์ คำพิพากษาของศาลโลกก็คงไม่อ่านอยู่แล้ว

ถ้าเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคง
คณะมนตรีความมั่นคงไม่มีทางเลือกต้องกลับไปที่ศาลโลกให้ตัดสินให้ชัดเจนว่า
พื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม.เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหรือไม่
เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะได้เคยตกลงให้ศาลโลกพิจารณามาแล้ว

คิดอย่างสามัญสำนึก โอกาสที่เราจะแพ้น่าจะสูงกว่าโอกาสที่จะชนะ
ทางที่ดีปล่อยให้คลุมเครือดีกว่าให้ศาลโลกตัดสินอีกครั้ง
โดยถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่