ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้ตนจะเสนอโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 4 ประจำปีการศึกษา 2556 เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในปีนี้ จะขยายทุนโครงการดังกล่าวออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ทุนประเภทที่เปิดโอกาสให้เด็กยากจน แต่เรียนดี และจะเปิดรับสมัครนักเรียนตามหลักเกณฑ์เดิม คือครอบครัวมีรายได้รวมไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี และเกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 3.00 เน้นให้ไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และเนื่องจากเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงคิดเพิ่มทุนประเภทที่ 2 คือ เปิดโอกาสสำหรับเด็กทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถ แต่จะต้องเลือกเรียนในสาขาด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เบื้องต้นจำนวนทุนของแต่ละประเภทจะอยู่ที่ประเภทละ 928 ทุน แต่หาก ครม.พิจารณาแล้วเห็นว่าอาจจะเป็นภาระกับงบประมาณก็อาจปรับลดจำนวนทุนตามความเหมาะสม
"ทุนประเภทที่สองจะเน้นคัดเด็กเก่งและหัวกะทิจริงๆ ไปเรียน อาจจะต้องกำหนดเกรดเฉลี่ยที่สูงขึ้น ไม่มีการจำกัดรายได้ครอบครัว แต่ต้องไปเรียนในสาขาที่รัฐบาลกำหนดในประเทศใดก็ได้ เพราะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจะได้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถช่วยพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันปีนี้จะเน้นเรื่องเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมา คือ พบว่าเด็กที่ไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร บางประเทศกำหนดว่าเด็กจะต้องสอบภาษาบ้านเขาให้ได้ก่อน ซึ่งเมื่อเตรียมตัวไม่พอ และเร่งส่งเด็กไปก่อน สุดท้ายก็เรียนไม่ได้ ต้องเลิกเรียน ขณะเดียวกันต้องให้เด็กได้เรียนรู้การปรับตัวที่จะอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างด้วย" นายพงศ์เทพกล่าว
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า คาดว่าในวันที่ 8 มกราคม ศธ.จะเสนอที่ประชุม ครม.เห็นชอบในหลักการกรณีขอเพิ่มทุน 2 ประเภท สำหรับเด็กยากจนและเด็กทั่วไปในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน จากเดิมปีที่ผ่านมามีการปรับแก้หลักเกณฑ์ให้เด็กทั่วไปสามารถสอบชิงทุนดังกล่าวได้ จึงเป็นการแย่งที่นั่งเด็กยากจน ซึ่งนายพงศ์เทพมองว่าควรแยกทุนระหว่างเด็กเก่งและเด็กยากจน ดังนั้น ศธ.จึงเสนอเพิ่มทุนเป็น 2 ประเภท ทั้งนี้หลังจาก ครม.เห็นชอบก็จะเร่งจัดทำหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนทุน โดยทุนสำหรับเด็กทั่วไปจะให้เฉพาะสาขาขาดแคลน อาทิ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ พยาบาล ซึ่งหลักเกณฑ์และสาขาที่จะได้รับทุนนั้นคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้ จากนั้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็จะเริ่มกระบวนการคัดเลือกนักเรียนทุน ซึ่งจำนวนนักเรียนที่ได้รับทุน 928 คน รวมทั้งสองประเภท 1,856 ทุน คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท
ปลัด ศธ.กล่าวว่า ปัญหาของนักเรียนทุนโครงการนี้ ส่วนใหญ่พบว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทำให้ปรับตัวลำบาก จึงพบว่านักเรียนทุนกว่า 20% หลังจากได้รับทุนไปเรียนแล้วต้องกลับมาเรียนในประเทศ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ตามในการคัดเลือกปีนี้จะขยายประเทศที่จะไปเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมมีประมาณ 8 ประเทศ โดยเพิ่มประเทศในกลุ่มยุโรป เพื่อรองรับนักเรียนทุนประเภททั่วไปในการไปเรียนในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ด้วย
นางพนิตากล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายสมพงษ์ระบุว่าเด็กตั้งท้องในวัยเรียนมีจำนวน 1.5 แสนคนนั้น ที่ผ่านมาตนวางแผนที่จะจัดตั้งศูนย์คุ้มครองดูแลสวัสดิภาพเด็กและเยาวชนในโรงเรียน ทำหน้าที่เฝ้าระวังและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งสมัยที่เป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งศูนย์ลักษณะดังกล่าวเพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงคิดว่าภายในเร็วๆ นี้ จะมีการหารือกับผู้บริหาร ศธ.ในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาเด็กติดเกมและเด็กตั้งท้องในวัยเรียน
(ที่มา:ข่าวหน้า1 มติชนรายวัน 2 ม.ค.2556)
ศธ. ผลักดัน "1อำเภอ1ทุน"รุ่น4 ตั้งศูนย์ในรร.แก้ติดเกม
"ทุนประเภทที่สองจะเน้นคัดเด็กเก่งและหัวกะทิจริงๆ ไปเรียน อาจจะต้องกำหนดเกรดเฉลี่ยที่สูงขึ้น ไม่มีการจำกัดรายได้ครอบครัว แต่ต้องไปเรียนในสาขาที่รัฐบาลกำหนดในประเทศใดก็ได้ เพราะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจะได้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถช่วยพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันปีนี้จะเน้นเรื่องเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมา คือ พบว่าเด็กที่ไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร บางประเทศกำหนดว่าเด็กจะต้องสอบภาษาบ้านเขาให้ได้ก่อน ซึ่งเมื่อเตรียมตัวไม่พอ และเร่งส่งเด็กไปก่อน สุดท้ายก็เรียนไม่ได้ ต้องเลิกเรียน ขณะเดียวกันต้องให้เด็กได้เรียนรู้การปรับตัวที่จะอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างด้วย" นายพงศ์เทพกล่าว
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า คาดว่าในวันที่ 8 มกราคม ศธ.จะเสนอที่ประชุม ครม.เห็นชอบในหลักการกรณีขอเพิ่มทุน 2 ประเภท สำหรับเด็กยากจนและเด็กทั่วไปในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน จากเดิมปีที่ผ่านมามีการปรับแก้หลักเกณฑ์ให้เด็กทั่วไปสามารถสอบชิงทุนดังกล่าวได้ จึงเป็นการแย่งที่นั่งเด็กยากจน ซึ่งนายพงศ์เทพมองว่าควรแยกทุนระหว่างเด็กเก่งและเด็กยากจน ดังนั้น ศธ.จึงเสนอเพิ่มทุนเป็น 2 ประเภท ทั้งนี้หลังจาก ครม.เห็นชอบก็จะเร่งจัดทำหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนทุน โดยทุนสำหรับเด็กทั่วไปจะให้เฉพาะสาขาขาดแคลน อาทิ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ พยาบาล ซึ่งหลักเกณฑ์และสาขาที่จะได้รับทุนนั้นคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้ จากนั้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็จะเริ่มกระบวนการคัดเลือกนักเรียนทุน ซึ่งจำนวนนักเรียนที่ได้รับทุน 928 คน รวมทั้งสองประเภท 1,856 ทุน คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท
ปลัด ศธ.กล่าวว่า ปัญหาของนักเรียนทุนโครงการนี้ ส่วนใหญ่พบว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทำให้ปรับตัวลำบาก จึงพบว่านักเรียนทุนกว่า 20% หลังจากได้รับทุนไปเรียนแล้วต้องกลับมาเรียนในประเทศ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ตามในการคัดเลือกปีนี้จะขยายประเทศที่จะไปเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมมีประมาณ 8 ประเทศ โดยเพิ่มประเทศในกลุ่มยุโรป เพื่อรองรับนักเรียนทุนประเภททั่วไปในการไปเรียนในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ด้วย
นางพนิตากล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายสมพงษ์ระบุว่าเด็กตั้งท้องในวัยเรียนมีจำนวน 1.5 แสนคนนั้น ที่ผ่านมาตนวางแผนที่จะจัดตั้งศูนย์คุ้มครองดูแลสวัสดิภาพเด็กและเยาวชนในโรงเรียน ทำหน้าที่เฝ้าระวังและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งสมัยที่เป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งศูนย์ลักษณะดังกล่าวเพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงคิดว่าภายในเร็วๆ นี้ จะมีการหารือกับผู้บริหาร ศธ.ในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาเด็กติดเกมและเด็กตั้งท้องในวัยเรียน
(ที่มา:ข่าวหน้า1 มติชนรายวัน 2 ม.ค.2556)