วรรณกรรม มติชน 23 ธันวาคม 2555

ตลาดของนิยายไทยใหญ่แค่ไหน?
ลองกวาดตามองในร้านหนังสือน่าจะได้คำตอบชัด โดยวัดจากปริมาณที่วางขาย
โดยเฉพาะนิยายรักที่มากมายละลานตา
แน่ละ,เมื่อตลาดใหญ่ แต่มีของให้เลือกมาก แต่ละรายจึงงัดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาแข่งขันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะในแง่ผู้เขียน ที่รายไหนแฟนเยอะ บางครั้งเราจะเห็นชื่อคนเขียนใหญ่กว่าชื่อหนังสือด้วยซ้ำ ส่วนการออกแบบปกนั้นก็ครีเอทกันไป
มีทั้งที่เป็นเรื่องรักหวาน กุ๊กกิ๊กทั่วไป รวมถึงที่ขายความเป็นอีโรติก ซึ่งอย่างหลังนี้บางเล่มมาแบบชัดด้วยภาพปกชายหญิงตระกองกอด เข้ากันได้ดีกับชื่อที่จะมีคำประเภทโหด, หื่น, พิศวาส ฯลฯ ประดับอยู่ และแบบแอบเนียนคือปกเป็นการ์ตูนลายเส้นน่ารัก หรือภาพถ่ายสวยงาม ซึ่งเห็นแล้วจินตนาการไม่ได้เลยเนื้อในน่ะ ขนาดไหน!!
ซึ่งประเภทนี้ละที่เข้าข่าย ผู้ปกครองเป็นห่วง และกระทรวงวัฒนธรรมก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าจะมีการจัดเรตติ้งหนังสือให้เหมือนกับที่รายการโทรทัศน์มี
แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ เหมือนๆ จะดำเนินการไปอย่างเนิบช้าราวกับคนเดินทางที่แวะพักระหว่างทางนานเสียจนเกรงว่าจะลืมมีเป้าหมายที่รออยู่เบื้องหน้า
ถามผู้เกี่ยวข้อง ก็ได้คำตอบว่า ตอนนี้ยังไม่มีข้อยุติทางวิชาการที่ชัดเจนว่าจะสามารถจำแนกประเภทของหนังสือออกมาได้อย่างชัดเจน หรือจะแยะประเภทผู้อ่านอย่างไร
แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็ยังไม่น่าหนักใจเท่า เอาเข้าจริงเราจะควบคุมการจำหน่ายได้ไหม
แล้วยังต้องพิจารณาไม่ให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญด้วย
เพราะทุกครั้งที่มีการออกมาพูดถึงการจัดเรตหนังสือ มักมีเสียงแตกออกเป็น 2 ฝ่ายเสมอ ด้วยฝ่ายหนึ่งมองเรื่องวุฒิภาวะ ว่าทุกคนย่อมสามารถวินิจฉัยได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรยังไง ขณะอีกฝ่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองจะกังวลว่าเด็กจะอ่านอะไร เสพอะไรที่เหมาะสมหรือไม่
ขณะเดียวกันยังต้องพิจารณาว่าการจัดเรตจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นจริงหรือ
ไม่รู้ว่ายิ่งจัดยิ่งแย่รึเปล่า,ถ้าจัดไปแล้วยิ่งเป็นการทำให้คนที่อายุไม่ถึงหรือไม่อยู่ในเกณฑ์ของหนังสือเล่มนั้นยิ่งจะอยากอ่านรึไม่ หรอสิ่งที่หลายคนกังวล
"แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้เขาอยากหยิบมาอ่าน" "ภัทราพร ภัทร์โญธิน" กรรมการผู้จัดการ บริษัท อักษรศาสตร์ พับลิเคชั่น จำกัด และบริษัทในเครือ 1 ในสำนักพิมพ์ที่มีการผลิตนิยายโรมานซ์-อีโรติกออกมาแสดงความเห็นกับข้อกังวลข้างต้น
อย่างไรก็ดี ในฐานะผู้ผลิตเธอไม่ได้ต่อต้านกับมาตรการใดๆ ที่จะออกมา
"เพราะเราเองก็อยากให้มีการจัดเรตติ้งและระบุเรื่องนี้ เพราะบางครั้งสำนักพิมพ์ไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ว่าเราควรทำหนังสือในขอบเขตจำกัดแค่ไหน"
แค่ไหนที่เนื้อหาเข้าข่ายรุนแรงเหมาะกับผู้ใหญ่วัยใด เพราะถ้าจะให้ต่างคนต่างใช้วิจารณญาณ แน่นอนว่าจะได้ผลไม่ตรงกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ระหว่างที่ไม่มีการจัดเรตติ้งอย่างเป็นทางการสำนักพิมพ์ใช้วิธีกำหนดเรตให้ตัวเอง
"มันเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้อ่านอย่างหนึ่ง" เธอว่า
เพื่อที่เมื่อเด็กหรือเยาวชนหยิบขึ้นมาจะได้รู้ว่าไม่ใช่หนังสือสำหรับตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังสือแนวโรมานซ์ ที่สำนักพิมพ์ตั้งใจทำให้คนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่
และเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดีมากทีเดียว
ฟากฝั่ง"วรพันธ์ โลหิตสถาพร" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยนั้นไม่เห็นด้วยกับการมีเรตติ้ง
"การทำหนังสือเรายึดถึงเรื่องเสรีภาพการนำเสนอ ไม่เห็นด้วยกับการมีเรต เพราะถ้าจัดไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ถ้าจะทำอาจเป็นแค่ข้อตกลงภายในระหว่างสมาชิกในสมาคมว่าเท่าไหนที่ได้"
ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมได้มีการพูดคุยกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการนำมาขายในงานหนังสือว่าแค่ไหนเหมาะ แค่ไหนควร และกำลังจะมีการตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
"แต่การจะบอกว่าอะไรมากเกินไปมันก็น่าสงสัย ว่าเราจะใช้อะไรมาเป็นวิจารณญาณ" วรพันธ์กล่าว
"จริงๆ แล้วเลิฟซีนมีอยู่ในทุกอย่างในทุกสื่อ หนัง ละคร มันเป็นธรรมชาติ แต่ที่ต้องมาพูดกันคือระดับความลึกของเรื่องพวกนี้มากกว่า"
"ระดับการบ่งชี้ความรุนแรงของเนื้อหาพวกนี้มันคาบเกี่ยวและคลุมเครือ แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน คุยกันมาหลายยุคหลายสมัยก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย มันคลุมไปถึงบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย"
ส่วนการที่นิยายแนวนี้มากขึ้นทุกทีๆ วรพันธ์มองว่าอาจเป็นเพราะสังคมต้องการเรื่องเหล่านี้อยู่
ดูจากหลักง่ายๆ คือ เพราะมีคนซื้อถึงได้มีคนทำ
"แต่ในอีกทางคือจะทำอะไรก็ตามต้องนึกถึงกฎหมาย ที่สำคัญคือนึกถึงศีลธรรม"
"ต้องประกอบธุรกิจภายใต้ศีลธรรม และจรรยาบรรณด้วย"
เพราะสุดท้ายแล้วถึงจะเป็นเรื่องพูดยาก จะมีเรตติ้งหรือไม่มีเรตติ้งมากำกับ สิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ คงอยู่ที่จริยธรรมในใจ
"ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรก็คงไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง"
นิยายรัก-อีโรติกปี 2556 สำคัญที่"เรตติ้ง"หรือ"จรรยาบรรณ"!?
ลองกวาดตามองในร้านหนังสือน่าจะได้คำตอบชัด โดยวัดจากปริมาณที่วางขาย
โดยเฉพาะนิยายรักที่มากมายละลานตา
แน่ละ,เมื่อตลาดใหญ่ แต่มีของให้เลือกมาก แต่ละรายจึงงัดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาแข่งขันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะในแง่ผู้เขียน ที่รายไหนแฟนเยอะ บางครั้งเราจะเห็นชื่อคนเขียนใหญ่กว่าชื่อหนังสือด้วยซ้ำ ส่วนการออกแบบปกนั้นก็ครีเอทกันไป
มีทั้งที่เป็นเรื่องรักหวาน กุ๊กกิ๊กทั่วไป รวมถึงที่ขายความเป็นอีโรติก ซึ่งอย่างหลังนี้บางเล่มมาแบบชัดด้วยภาพปกชายหญิงตระกองกอด เข้ากันได้ดีกับชื่อที่จะมีคำประเภทโหด, หื่น, พิศวาส ฯลฯ ประดับอยู่ และแบบแอบเนียนคือปกเป็นการ์ตูนลายเส้นน่ารัก หรือภาพถ่ายสวยงาม ซึ่งเห็นแล้วจินตนาการไม่ได้เลยเนื้อในน่ะ ขนาดไหน!!
ซึ่งประเภทนี้ละที่เข้าข่าย ผู้ปกครองเป็นห่วง และกระทรวงวัฒนธรรมก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าจะมีการจัดเรตติ้งหนังสือให้เหมือนกับที่รายการโทรทัศน์มี
แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ เหมือนๆ จะดำเนินการไปอย่างเนิบช้าราวกับคนเดินทางที่แวะพักระหว่างทางนานเสียจนเกรงว่าจะลืมมีเป้าหมายที่รออยู่เบื้องหน้า
ถามผู้เกี่ยวข้อง ก็ได้คำตอบว่า ตอนนี้ยังไม่มีข้อยุติทางวิชาการที่ชัดเจนว่าจะสามารถจำแนกประเภทของหนังสือออกมาได้อย่างชัดเจน หรือจะแยะประเภทผู้อ่านอย่างไร
แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็ยังไม่น่าหนักใจเท่า เอาเข้าจริงเราจะควบคุมการจำหน่ายได้ไหม
แล้วยังต้องพิจารณาไม่ให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญด้วย
เพราะทุกครั้งที่มีการออกมาพูดถึงการจัดเรตหนังสือ มักมีเสียงแตกออกเป็น 2 ฝ่ายเสมอ ด้วยฝ่ายหนึ่งมองเรื่องวุฒิภาวะ ว่าทุกคนย่อมสามารถวินิจฉัยได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรยังไง ขณะอีกฝ่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองจะกังวลว่าเด็กจะอ่านอะไร เสพอะไรที่เหมาะสมหรือไม่
ขณะเดียวกันยังต้องพิจารณาว่าการจัดเรตจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นจริงหรือ
ไม่รู้ว่ายิ่งจัดยิ่งแย่รึเปล่า,ถ้าจัดไปแล้วยิ่งเป็นการทำให้คนที่อายุไม่ถึงหรือไม่อยู่ในเกณฑ์ของหนังสือเล่มนั้นยิ่งจะอยากอ่านรึไม่ หรอสิ่งที่หลายคนกังวล
"แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้เขาอยากหยิบมาอ่าน" "ภัทราพร ภัทร์โญธิน" กรรมการผู้จัดการ บริษัท อักษรศาสตร์ พับลิเคชั่น จำกัด และบริษัทในเครือ 1 ในสำนักพิมพ์ที่มีการผลิตนิยายโรมานซ์-อีโรติกออกมาแสดงความเห็นกับข้อกังวลข้างต้น
อย่างไรก็ดี ในฐานะผู้ผลิตเธอไม่ได้ต่อต้านกับมาตรการใดๆ ที่จะออกมา
"เพราะเราเองก็อยากให้มีการจัดเรตติ้งและระบุเรื่องนี้ เพราะบางครั้งสำนักพิมพ์ไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ว่าเราควรทำหนังสือในขอบเขตจำกัดแค่ไหน"
แค่ไหนที่เนื้อหาเข้าข่ายรุนแรงเหมาะกับผู้ใหญ่วัยใด เพราะถ้าจะให้ต่างคนต่างใช้วิจารณญาณ แน่นอนว่าจะได้ผลไม่ตรงกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ระหว่างที่ไม่มีการจัดเรตติ้งอย่างเป็นทางการสำนักพิมพ์ใช้วิธีกำหนดเรตให้ตัวเอง
"มันเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้อ่านอย่างหนึ่ง" เธอว่า
เพื่อที่เมื่อเด็กหรือเยาวชนหยิบขึ้นมาจะได้รู้ว่าไม่ใช่หนังสือสำหรับตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังสือแนวโรมานซ์ ที่สำนักพิมพ์ตั้งใจทำให้คนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่
และเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดีมากทีเดียว
ฟากฝั่ง"วรพันธ์ โลหิตสถาพร" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยนั้นไม่เห็นด้วยกับการมีเรตติ้ง
"การทำหนังสือเรายึดถึงเรื่องเสรีภาพการนำเสนอ ไม่เห็นด้วยกับการมีเรต เพราะถ้าจัดไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ถ้าจะทำอาจเป็นแค่ข้อตกลงภายในระหว่างสมาชิกในสมาคมว่าเท่าไหนที่ได้"
ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมได้มีการพูดคุยกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการนำมาขายในงานหนังสือว่าแค่ไหนเหมาะ แค่ไหนควร และกำลังจะมีการตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
"แต่การจะบอกว่าอะไรมากเกินไปมันก็น่าสงสัย ว่าเราจะใช้อะไรมาเป็นวิจารณญาณ" วรพันธ์กล่าว
"จริงๆ แล้วเลิฟซีนมีอยู่ในทุกอย่างในทุกสื่อ หนัง ละคร มันเป็นธรรมชาติ แต่ที่ต้องมาพูดกันคือระดับความลึกของเรื่องพวกนี้มากกว่า"
"ระดับการบ่งชี้ความรุนแรงของเนื้อหาพวกนี้มันคาบเกี่ยวและคลุมเครือ แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน คุยกันมาหลายยุคหลายสมัยก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย มันคลุมไปถึงบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย"
ส่วนการที่นิยายแนวนี้มากขึ้นทุกทีๆ วรพันธ์มองว่าอาจเป็นเพราะสังคมต้องการเรื่องเหล่านี้อยู่
ดูจากหลักง่ายๆ คือ เพราะมีคนซื้อถึงได้มีคนทำ
"แต่ในอีกทางคือจะทำอะไรก็ตามต้องนึกถึงกฎหมาย ที่สำคัญคือนึกถึงศีลธรรม"
"ต้องประกอบธุรกิจภายใต้ศีลธรรม และจรรยาบรรณด้วย"
เพราะสุดท้ายแล้วถึงจะเป็นเรื่องพูดยาก จะมีเรตติ้งหรือไม่มีเรตติ้งมากำกับ สิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ คงอยู่ที่จริยธรรมในใจ
"ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรก็คงไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง"