สวัสดีปีใหม่ ด้วยพุทธวจน "อยู่ด้วยความประมาทและไม่ประมาท"

ยิ้มนันทิยสูตร
อยู่ด้วยความประมาทและไม่ประมาท


๑๕๙๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม
ใกล้พระนครกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้น เจ้าศากยะ
พระนามว่านันทิยะ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

[๑๖๐๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อริยสาวกใด ไม่มีโสตาปัตติยังคธรรม ๔ ประการ
โดยประการทั้งปวง ในกาลทุกเมื่อ อริยสาวกนั้นหรือหนอที่พระองค์ตรัสเรียกว่า อยู่ด้วยความไม่ประมาท?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรนันทิยะ อริยสาวกใด
ไม่มีโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ เราเรียกอริยสาวกนั้นว่า
เป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน อนึ่ง อริยสาวก
เป็นผู้อยู่ด้วยความประมาท และอยู่ด้วยความไม่ประมาท
โดยวิธีใด ท่านจงฟังวิธีนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
นนทิยศากยะทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

[๑๖๐๑] ดูกรนันทิยะ
ก็อริยสาวกเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทอย่างไร?

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ... เป็นผู้จำแนกธรรม
อริยสาวกนั้นพอใจแล้วด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธเจ้านั้น ไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป
เพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน
เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ประมาทอยู่อย่างนี้
ย่อมไม่มีปราโมทย์ เมื่อไม่มีปราโมทย์ ก็ไม่มีปีติ
เมื่อไม่มีปีติ ก็ไม่มีปัสสัทธิ
เมื่อไม่มีปัสสัทธิ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
จิตของผู้มีความทุกข์ ย่อมไม่เป็นสมาธิ
เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิ ธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ
เพราะธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ อริยสาวกนั้น
ย่อมถึงความนับว่า อยู่ด้วยความประมาท
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกประกอบด้วยเลื่อมใส
อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ...
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ
เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกนั้นพอใจแล้วด้วยศีล
ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป
เพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน
เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ประมาทอยู่อย่างนี้
ย่อมไม่มีปราโมทย์ เมื่อไม่มีปราโมทย์ ก็ไม่มีปีติ
เมื่อไม่มีปีติ ก็ไม่มีปัสสัทธิ
เมื่อไม่มีปัสสัทธิ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
จิตของผู้มีความทุกข์ ย่อมไม่มีสมาธิ
เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิ ธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ
เพราะธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ อริยสาวกนั้น
ย่อมถึงความนับว่า อยู่ด้วยความประมาท
ดูกรนันทิยะ อริยสาวกเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทอย่างนี้แล.

[๑๖๐๒] ดูกรนันทิยะ
ก็อริยสาวกผู้เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างไร?

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ
เป็นผู้จำแนกธรรม อริยสาวกนั้น
ยังไม่พอใจด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธเจ้านั้น พยายามให้ยิ่งขึ้นไป
เพื่อความสงัดในกลางวัน เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน
เมื่ออริยสาวกนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบ ย่อมได้เสวยสุข
จิตของผู้มีความสุข ย่อมเป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ
เพราะธรรมทั้งหลายปรากฏ อริยสาวกนั้น
ย่อมถึงความนับว่า อยู่ด้วยความไม่ประมาท
อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ...
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ
เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกนั้น
ยังไม่พอใจด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว
พยายามให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อความสงัดในกลางวัน
เพื่อหลีกเร้นในกลางคืน
เมื่ออริยสาวกนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจกอปรด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบ ย่อมได้เสวยสุข
จิตของผู้มีความสุข ย่อมเป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ
อริยสาวกนั้นย่อมถึงความนับว่า อยู่ด้วยความไม่ประมาท
ดูกรนันทิยะ อริยสาวกเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างนี้แล.
____________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่