รายงานพิเศษ : โซนนิ่งปลูกพืช ความล้มเหลวนิรันดร์

กระทู้สนทนา
.................................กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดพื้นที่ปลูกพืชเกษตร 5-6 ชนิด พูดกันทับภาษาฝรั่งง่ายๆ ว่า โซนนิ่งพืช

                               ไม่ใช่ของใหม่ แถมเป็นของเก่าขึ้นราเน่าแล้วเน่าอีก และไม่มีวันเป็นจริงได้ ตราบใดที่นักการเมืองที่คุมกระทรวงเกษตรฯ หรือรัฐบาลไทยยังคงมีวิธีคิดแบบที่เป็นอยู่

                               โซนนิ่งพืช คิดกันมานาน เพราะเห็นปัญหาว่า  ประเทศไทยไม่สามารถควบคุมปริมาณการผลิตพืชให้สมดุลกับความต้องการได้ ส่งผลกระทบต่อระดับราคามาโดยตลอด เช่น พอพืชชนิดใดราคาดีขึ้น เกษตรกรก็แห่กันปลูกจนผลผลิตล้นความต้องการ  ราคาที่เคยสูงก็ทรุดต่ำลงมาตามกลไกตลาด  แล้วเกษตรกรก็จะหันเหไปปลูกพืชอื่นแทน  เป็นวัฏจักรอุบาทว์เช่นนี้ตลอดมา

                               ไม่เว้นเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูง 15,000-20,000 บาท/ตัน  เกษตรกรส่วนหนึ่งที่ปลูกอ้อยก็ล้มอ้อยมาทำนา  ที่ปลูกกล้วยก็ล้มสวนกล้วยไปทำนา ทุกอย่างไปลงเอยที่ข้าวหมดจนเกิดผลผลิตส่วนเกินมากมาย และไม่รู้ประเทศไทยต้องขาดทุนเรื่องนี้กี่แสนล้านบาท

                               ไม่ต้องอื่นไกลในเรื่องข้าวมีการขยายพื้นที่ปลูกมากถึง 70 ล้านไร่  และพบกันในวันนี้ว่า มีพื้นที่ที่เหมาะสมเล็กน้อยหรือไม่เหมาะสมปลูกมาถึง 27-28 ล้านไร่

                               ที่สำคัญนโยบายโซนนิ่งพืชออกมาช้าเกินการณ์แล้ว  เพราะเกษตรกรแห่กันปลูกพืชเศรษฐกิจยืนต้นอย่างยางพารา และปาล์มน้ำมันกระจายไปทั่วประเทศไทย  การจะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นจึงเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้ในระยะใกล้  จนกว่าพืชเหล่านี้จะแสดงผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายว่า  ผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย  เพราะพื้นที่ปลูกไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้น  เช่น ยางพารากว่าจะรู้ว่าใช่หรือไม่ต้องใช้เวลา 7 ปีถึงพิสูจน์ผลผลิตแท้จริงออกมาได้  เช่นเดียวกับปาล์มน้ำมันต้องใช้เวลาพิสูจน์นานถึง 3-4 ปี

                               การที่เกษตรกรตื่นปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านี้   ด้านหนึ่งเป็นธรรมชาติของเกษตรกรที่พบว่า พืชทั้ง 2 ตัวมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ยางพารานอกจากขายน้ำยางหรือแผ่นยางดิบได้ราคาดีถึง 100 กว่าบาทในช่วงที่ราคาสูงสุดแล้ว  ไม้ยางยังขายทำเงินได้อีกหลังจากหมดอายุการให้น้ำยาง  เช่นเดียวกับปาล์มน้ำมัน ที่ผลผลิตนอกจากเป็นอาหารแล้ว ยังสามารถผลิตไบโอดีเซลได้ด้วย  เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้เกษตรกรเดินหน้าปลูก

                               ข้าวก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้านโยบายรับจำนำทุกเมล็ดในอีกฤดูการผลิตก็ยิ่งทำให้เกษตรกรเดินหน้าปลูกต่อไป  แม้ในช่วงหน้าแล้งที่มีข้อจำกัดเรื่องน้ำ  แต่มีเกษตรกรกี่รายที่เชื่อ  ตรงข้ามทุกคนหวังตายเอาดาบหน้ากับรางวัลชิ้นโตที่ได้จากการรับจำนำข้าวของรัฐบาล

                               มันไม่ต่างจากนโยบายที่ขัดแย้งเองของรัฐบาล  ด้านหนึ่ง รณรงค์ให้ประชาชนประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง  รณรงค์ให้ทำประเทศเป็นสีเขียว   แต่อีกด้านหนึ่ง  กลับส่งเสริมให้ประชาชนซื้อรถยนต์ใหม่ โดยคืนภาษีให้อย่างจุใจ  รถใหม่จำนวน 1 ล้านคันจากนโยบายนี้  จะทำลายนโยบายสวยหรูข้างต้นโดยสิ้นเชิง   ซ้ำร้ายยังจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่มีการบริโภคน้ำมันที่เราผลิตเองไม่ได้  แต่ต้องนำเข้ามูลค่ามหาศาลในแต่ละปี

                               รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เคยมองอะไรไกลกว่าคะแนนเสียง  แม้จะต้องแลกด้วยทรัพยากรของทั้งประเทศ   หากเปรียบเทียบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์หลายยี่ห้อ  จะพบว่าฝรั่งเศสสร้างเมืองให้สะดวกสบาย โดยการใช้บริการขนส่งสาธารณะที่เป็นเครือข่าย  ลดการใช้พลังงาน ในบางเมืองลดลงได้มากถึง 2 ใน 3 จากที่เคยใช้  กลายเป็นเมืองสีเขียว  ช่วยให้ประชาชนมีความสุขจากการอยู่อาศัย

                               แต่ประเทศไทยนั้นทำตรงกันข้ามทุกอย่าง ด้วยนโยบายมอมเมาประชาชน ทั้งคนเมืองและคนชนบท  ซึ่งไม่นานนักคงจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองทุกผู้ทุกคนว่า นโยบายประชานิยมอย่างนี้คือยาพิษดีๆนี่เอง

                               ความล้มเหลวของการเกษตรไทย และการโซนนิ่งพืชนั้น  ด้านหนึ่ง อาจโทษเกษตรกรได้ว่า ชอบแห่กันปลูก  แต่คงต้องตั้งคำถามเช่นกันว่า  แล้วที่เกษตรกรตัดสินใจอย่างนั้น เป็นเพราะอะไร เพราะใคร และเรามีกลไกหรือมาตรการให้ความรู้ ความเข้าใจมากน้อยเพียงใด  ซึ่งความจริงจะพบว่า นอกจากรัฐบาลและข้าราชการไม่เป็นหลัก ไม่มีความคิดอ่านปกป้องเกษตรกรแล้ว  ยังเป็นส่วนสำคัญในการทำร้ายเกษตรกรด้วยการมอมเมาให้ปลูกพืชเช่นนั้นด้วยซ้ำ

                               ยกตัวอย่าง  โครงการส่งเสริมปลูกยางพารา 1-4 ล้านต้นทั่วประเทศ  ซึ่งเป็นการทำลายหลักการโซนนิ่งพืชอย่างสิ้นเชิง  เหตุผลมีอยู่สองอย่าง  นอกจากหาเสียงกับเกษตรกรแล้ว ยังเป็นโครงการทุจริตทำเงินให้นักการเมืองอีกด้วย

                               เช่นเดียวกับ นโยบายส่งเสริมปลูกปาล์มน้ำมันทั่วประเทศ  ทั้งที่หลายพื้นที่ขาดความเหมาะสมโดยสิ้นเชิง  เบื้องหลังก็มีนักการเมืองหวังขายกล้าปาล์มราคาแพงๆนั่นเอง

                               ส่วนการโซนนิ่งพืชไร่อย่างข้าว  ข้าวโพด   อ้อย   มันสำปะหลัง ก็ขัดแย้งกับนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน ดังกรณีข้าว  ต่อนี้ไปรัฐบาลจะเอาเหตผลใดในการโซนนิ่งในเมื่อที่ผ่านมา  นโยบายรัฐบาลส่งเสริมให้ปลูกขนานใหญ่ด้วยการประกาศรับจำนำราคาสูง  แถมยังรับจำนำทุกเมล็ด

                               หากโซนนิ่งขึ้นมาเมื่อไหร่ คงต้องตอบหลายประเด็นคำถาม และเป็นคำถามที่มัดคอรัฐบาลไม่หลุดจากนโยบายที่ทำกันด้วยมือ หรืออาจเป็นนโยบายชักเข้าชักออก  ตามแต่อำเภอใจ

                               วันนี้โซนนิ่งการปลูกพืชเป็นเรื่องไปไกลเกินจะแก้แล้ว  ทางที่ดีนโยบายที่ควรประกาศทำจริงๆจังๆน่าจะเป็นเรื่องการลดต้นทุนการผลิต มากกว่า

                               แต่การลดต้นทุนการผลิตพืช  รัฐบาลต้องไปกวดขันพ่อค้าขายเมล็ดพันธุ์ข้าว เครื่องจักรกล  ปุ๋ยเคมี  สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และฯลฯ ซึ่งเป็นไปไม่ได้มากกว่า  ขนาดบริษัทผลิตรถยนต์ขายโบรชัวร์อย่างเดียวโดยไม่มีสายพานการผลิต  ยังสามารถเข้าโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก  ขายได้หน้าเฉยตาเฉย

                               ตราบใดที่รัฐบาลยังอิงแอบรับเงินพ่อค้านายทุนเช่นนี้   ความหวังอื่นใดของเกษตรกรคงไม่มี  ยกเว้นรอให้รัฐบาลหยิบยื่นให้ราวกับเป็นทารกไม่รู้จักโต

ที่มา  http://www.naewna.com/local/35189
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่