เมื่อเวลา14.30 น.วันที่ 24 ธันวาคม ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี องค์คณะศาลนั่งบังลังก์อ่านคำพิพากษาคดีนายเมธัส หรือเก่ง สวนศรี จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2162/2555 ให้จำคุกมีกำหนด1 ปี 6 เดือน และปรับ4,500 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี และมีคำสั่งให้คุมความประพฤติให้ทำงานบริการสังคมและสาธารณะประโยชน์เป็นเวลา 30 ชั่วโมง คดีฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยพนักงานอัยการได้บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2555 เวลากลางคืน นายเก่งขับรถยนต์เก๋ง ป้ายแดงหมายเลขทะเบียน ก 1111กรุงเทพ ผ่านไปบริเวณที่ตำรวจตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและก่อความไม่สงบ และตำรวจได้เรียกรถยนต์คันที่นายเก่งขับขี่มาเพื่อทำการตรวจค้น และตรวจการดื่มแอลกอฮอล์ แต่นายเก่ง ไม่ยอมหยุดรถยนต์ ขัดขืนคำส่งไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ และยังดูหมิ่นตำรวจด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ แล้วนายเก่งได้ขับขี่รถยนต์หลบหนีไปด้วยความรวดเร็วเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียหลัก และถูกรถยนต์เก๋งที่นายเก่งขับขี่ลากไปจนล้มลงกับพื้นถนนได้รับอันตรายแก่กาย ภายหลังได้จับกุมนายเก่งและตรวจค้นรถยนต์พบเครื่องกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. จำนวน 3 นัด ซึ่งมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.ท่าอิฐ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งนายเก่งให้การปฎิเสธฟ้องของโจทก์ตลอดข้อกล่าวหา
ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีเป็นที่สนใจของประชาชน การนำจำเลยในคดีไปรับโทษจำคุกระยะสั้นไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ในทางกลับกันหากเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า จุดเหมาะสมของคดี นายเก่ง ต้องได้รับโทษที่สังคมรับได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียหายต้องได้รับการเยียวยา ด้วยความพึงพอใจ
ศาลจึงนำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี โดยเรียกนายเก่งและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี เช่น ผู้เสียหาย ทนายจำเลย ญาติจำเลย เข้ามาตกลงเจรจา และชี้แจงอธิบาย ถึงกระบวนการพิจารณาคดี แนวทางการต่อสู้คดีการสืบพยานหลังฐาน ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลย จนเป็นที่เข้าใจว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้สังคมเกิดความไม่สงบสุขและผิดกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งนายเก่งได้สำนึกในการกระทำความผิดของตน จึงได้ขอกลับคำให้การเดิมจากให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และประสงค์จะเยียวยาสังคมและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข
ศาลจึงให้โอกาสนายเก่งได้กระทำคุณความดี เพื่อบรรเทาผลร้ายจากการกระทำความผิด โดยกล่าวขอขมาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย นายเก่งได้เข้าร่วมบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ เช่น ช่วยงานกาชาดจังหวัดนนทบุรีที่ผ่านมา ทั้งแถลงรับว่าจะประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ก่อปัญหาแก่สังคม และจะร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ในจังหวัดนนทบุรี และรับปากว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ถูกคุมประพฤติจะบำเพ็ญประโยชน์ให้ จ.นนทบุรี
ด้านนายเก่ง กล่าวว่า ศาลท่านให้โอกาสและเมตตา ตนก็สำนึกในความผิดที่ดื่มแล้วขับรถ และสัญญาว่าจะปฎิบัติงาน เพี่อช่วยเหลือสังคมต่อไป
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356351447&grpid=00&catid=&subcatid= -------------------------
อ่านข่าวนี้แล้วขอไว้อาลัยกับกระบวนการยุติธรรมของไทย หากผู้ก่อเหตุเป็นเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้มีเงินมากมาย คิดว่าทำความผิดขนาดนี้แล้วคงจะไม่รอดนอนคุกแน่นอน ศาลเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นสองมาตรฐาน ไม่ใช่ตำรวจหรืออัยการเพียงอย่างเดียว
ท่านคิดเห็นยังไงกับข่าว ศาลจำคุกเก่งเมธัส 1 ปี 6เดือน ปรับ4,500 บาท บำเพ็ญประโยชน์30ชั่วโมง คดีขับรถผ่าด่านตำรวจ
โดยพนักงานอัยการได้บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2555 เวลากลางคืน นายเก่งขับรถยนต์เก๋ง ป้ายแดงหมายเลขทะเบียน ก 1111กรุงเทพ ผ่านไปบริเวณที่ตำรวจตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและก่อความไม่สงบ และตำรวจได้เรียกรถยนต์คันที่นายเก่งขับขี่มาเพื่อทำการตรวจค้น และตรวจการดื่มแอลกอฮอล์ แต่นายเก่ง ไม่ยอมหยุดรถยนต์ ขัดขืนคำส่งไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ และยังดูหมิ่นตำรวจด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ แล้วนายเก่งได้ขับขี่รถยนต์หลบหนีไปด้วยความรวดเร็วเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียหลัก และถูกรถยนต์เก๋งที่นายเก่งขับขี่ลากไปจนล้มลงกับพื้นถนนได้รับอันตรายแก่กาย ภายหลังได้จับกุมนายเก่งและตรวจค้นรถยนต์พบเครื่องกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. จำนวน 3 นัด ซึ่งมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.ท่าอิฐ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งนายเก่งให้การปฎิเสธฟ้องของโจทก์ตลอดข้อกล่าวหา
ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีเป็นที่สนใจของประชาชน การนำจำเลยในคดีไปรับโทษจำคุกระยะสั้นไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ในทางกลับกันหากเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า จุดเหมาะสมของคดี นายเก่ง ต้องได้รับโทษที่สังคมรับได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียหายต้องได้รับการเยียวยา ด้วยความพึงพอใจ
ศาลจึงนำคดีเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธี โดยเรียกนายเก่งและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี เช่น ผู้เสียหาย ทนายจำเลย ญาติจำเลย เข้ามาตกลงเจรจา และชี้แจงอธิบาย ถึงกระบวนการพิจารณาคดี แนวทางการต่อสู้คดีการสืบพยานหลังฐาน ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลย จนเป็นที่เข้าใจว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้สังคมเกิดความไม่สงบสุขและผิดกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งนายเก่งได้สำนึกในการกระทำความผิดของตน จึงได้ขอกลับคำให้การเดิมจากให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และประสงค์จะเยียวยาสังคมและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข
ศาลจึงให้โอกาสนายเก่งได้กระทำคุณความดี เพื่อบรรเทาผลร้ายจากการกระทำความผิด โดยกล่าวขอขมาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย นายเก่งได้เข้าร่วมบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ เช่น ช่วยงานกาชาดจังหวัดนนทบุรีที่ผ่านมา ทั้งแถลงรับว่าจะประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ก่อปัญหาแก่สังคม และจะร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ในจังหวัดนนทบุรี และรับปากว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ถูกคุมประพฤติจะบำเพ็ญประโยชน์ให้ จ.นนทบุรี
ด้านนายเก่ง กล่าวว่า ศาลท่านให้โอกาสและเมตตา ตนก็สำนึกในความผิดที่ดื่มแล้วขับรถ และสัญญาว่าจะปฎิบัติงาน เพี่อช่วยเหลือสังคมต่อไป
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356351447&grpid=00&catid=&subcatid=
-------------------------
อ่านข่าวนี้แล้วขอไว้อาลัยกับกระบวนการยุติธรรมของไทย หากผู้ก่อเหตุเป็นเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้มีเงินมากมาย คิดว่าทำความผิดขนาดนี้แล้วคงจะไม่รอดนอนคุกแน่นอน ศาลเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นสองมาตรฐาน ไม่ใช่ตำรวจหรืออัยการเพียงอย่างเดียว